3/11

เดือนนี้ / เดือนก่อน

179/70

ปีนี้ / ปีก่อน

  • kaohoon

    BAY เพิ่มสัดส่วนถือหุ้น TIDLOR ดันกำไรเพิ่ม 06/12/68

    BAY รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 มีกำไรสุทธิ 8,782.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.48% จากไตรมาส 3/2567 และขยายตัว 5.88% จากไตรมาส 2/2568 ที่มีกำไรสุทธิ 8,295.37 ล้านบาท กำไรสุทธิไตรมาส 3 สูงกว่าประมาณการของ บล.กสิกรไทย 9% และสูงกว่าคาดการณ์ของตลาด 17% สาเหตุหลักจากกําไรพิเศษครั้งเดียวจากการประเมินมูลค่าการลงทุนใน TIDLOR จํานวน 2.8 พันล้านบาทในไตรมาส 3/2568 เนื่องจาก BAY เข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีก 16.33% ใน TIDLOR ทําให้สัดส่วนการถือหุ้นใน TIDLOR เพิ่มขึ้นเป็น 46.51% จาก 30.18% ในไตรมาส 3/2568 ส่งผลให้สินเชื่อรวม และรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจากการรวมสินเชื่อ และรายได้ดอกเบี้ยของ TIDLOR เข้ามา กําไรก่อนตั้งสํารอง (PPOP) อยู่ที่ 1.63 หมื่นล้านบาท ลดลง 12% จากไตรมาส 2/2568 และ 13% จากไตรมาส 3/2567 สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายดําเนินงาน (Opex) ที่เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาส 2/2568 และ 24% จากไตรมาส 3/2567 จากบันทึกค่าเผื่อด้อยค่าความนิยมบริษัทย่อยในต่างประเทศจํานวน 2.58 พันล้านบาท และค่าใช้จ่ายพนักงาน 1.12 พันล้านบาท ส่งผลให้กำไรก่อนตั้งสำรองในไตรมาสนี้ต่ำกว่าที่ บล.กสิกรไทยคาดไว้ราว 7% ทั้งนี้ สินเชื่อรวมไตรมาส 3/2568 เพิ่มขึ้น 4.4% จากไตรมาส 2/2568 จากการรวมสินเชื่อของ TIDLOR ขณะที่สินเชื่อรายย่อย และสินเชื่อ SME ลดลงเมื่อเทียบไตรมาส 2/2568 แม้ว่า NPL รวมในไตรมาส 3/2568 จะเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาส 2/2568 และ 3% จากไตรมาส 3/2567 แต่ NPL ratio ลดลงเหลือ 4.0% จาก 4.1% เนื่องจากการรวมพอร์ตสินเชื่อของ TIDLOR ซึ่งมี NPL ratio ต่ำกว่า รวมถึง NPL ratio ของสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อในกลุ่มอาเซียนที่ลดลง อย่างไรก็ตาม NPL ratio ของสินเชื่อ SME และสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังคงเพิ่มขึ้นเป็น 8.8% และ 7.9% ในไตรมาส 3/2568 จาก 8.2% และ 7.4% ในไตรมาส 2/2568 ตามลําดับ บล.กสิกรไทยมองว่ามูลค่าหุ้น BAY ในปัจจุบันถูก แต่คาดว่าหุ้นจะขาดปัจจัยหนุนในระยะสั้น เนื่องจากอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ต่ำกว่าคู่แข่ง และปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ในกลุ่มสินเชื่อ SME และสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ยังคงกดดันอยู่

  • mitihoon

    BAY แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2569: ปีแห่งการประคองตัวท่ามกลางกระแสความไม่แน่นอน 02/12/68

    มิติหุ้น – ปี 2569 กำลังจะเป็นอีกหนึ่งปีที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญแรงปะทะจากรอบด้าน ทั้งแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว การดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของประเทศมหาอำนาจ ตลอดจนความเปราะบางเชิงโครงสร้างภายในประเทศและความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2569 เป็นปีของการประคองตัวมากกว่าจะเป็นปีของการเติบโตแบบเร่งตัว โดยวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะเติบโตเพียง 1.8% ชะลอลงจากปี 2568 ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.1% เนื่องจากเครื่องยนต์สำคัญหลายด้านมีแนวโน้มแผ่วลง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออก การบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ โดยทิศทางของปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญมีดังนี้ (i) ภาคส่งออก คาดว่าจะเผชิญผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เต็มปี 2569 แม้ภาคส่งออกเคยได้แรงหนุนชั่วคราวในปี 2568 จากการเร่งสั่งซื้อสินค้าก่อนมาตรการภาษีนำเข้าใหม่จะมีผลบังคับใช้ (Front-loading) แต่ในปี 2569 การส่งออกสินค้าของไทยจะได้รับผลกระทบจากทั้งการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ สู่อัตรา 19% ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังได้รับผลจากภาษีนำเข้ารายสินค้าอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่มาตรการภาษีศุลกากรอาจครอบคลุมเพิ่มเติมไปยังสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทย ขณะเดียวกันองค์การการค้าโลก (WTO) ประเมินว่าปริมาณการค้าโลกปี 2569 จะชะลอตัวลงโดยขยายตัวเพียง 0.5% จาก 2.4% ในปี 2568 ซึ่งสะท้อนอุปสงค์ในตลาดโลกที่อ่อนแอลง ปัจจัยเหล่านี้จึงอาจกดดันการส่งออกไทยในปี 2569 ให้พลิกกลับมาหดตัวที่ -1.8% หลังจากเติบโตสูงเกินคาดในปี 2568 (ii) ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวแต่ไม่เต็มศักยภาพ ภาคท่องเที่ยวยังคงเป็นความหวังที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2569 คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 35.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากราว 33.3 ล้านคนในปี 2568 โดยเครื่องชี้ที่สะท้อนการฟื้นตัว ได้แก่ จำนวนเที่ยวบินเข้าสู่ไทยในช่วงฤดูหนาว 2568/2569 (ช่วงวันที่ 26 ตุลาคม 2568 – 28 มีนาคม 2569) ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งมีการขยายเส้นทางการบินใหม่ๆ จากทั้งจีนและอินเดีย อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวยังค่อนข้างช้า โดยเฉพาะตลาดจีนซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทย เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยและการแข่งขันที่รุนแรงจากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2569 ยังมีแนวโน้มต่ำกว่าระดับก่อนโควิดที่ราว 40 ล้านคนในปี 2562 สะท้อนการฟื้นตัวที่ยังไม่กลับสู่ศักยภาพเดิมและความท้าทายจากโครงสร้างตลาดท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปหลัง โควิด

  • mitihoon

    BAY คาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 31.80-32.50 จับตาค่าเงินหยวนและทองคำ 01/12/68

    มิติหุ้น – กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.80-32.50 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 32.20 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในกรอบ 32.16-32.52 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ ขณะตลาดค่อนข้างเงียบเนื่องจากเทศกาลขอบคุณพระเจ้าในสหรัฐฯ ดัชนีดอลลาร์เผชิญแรงกดดันด้านขาลงเล็กน้อย หลังจากข้อมูลการจ้างงานจาก ADP ที่อ่อนตัวลง และรายงานว่าที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของปธน.ทรัมป์ เป็นตัวเต็งสำหรับตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนใหม่ ตอกย้ำความคาดหวังของตลาดต่อท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นจากเฟด ส่วนกรรมการธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ระบุว่าบีโอเจกำลังเข้าใกล้เป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% และเตือนถึงความเสี่ยงของราคาที่สูงขึ้นหากเงินเยนอ่อนค่าต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ยังขาดความชัดเจนว่าดอกเบี้ยจะปรับขึ้นเมื่อใด ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 1,119 ล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรสุทธิ 9,788 ล้านบาท ขณะที่ในเดือนพ.ย. เงินบาทแข็งค่าขึ้น 0.5% ท่ามกลางความผันผวนที่ต่ำลง สำหรับในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะติดตามการกล่าวสุนทรพจน์ของผู้ว่าบีโอเจเพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับจังหวะการขึ้นดอกเบี้ยขณะที่เงินเฟ้อญี่ปุ่นยังอยู่ในระดับสูง โดยผู้ร่วมตลาดไม่แน่ใจว่าบีโอเจจะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้หรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่น่าสนใจ ได้แก่ ผลสำรวจ ISM ภาคการผลิตและบริการเดือนพ.ย. โดยดอลลาร์จะเผชิญแรงขายหากตัวเลขต่าง ๆ ยืนยันความเชื่อของนักลงทุนที่ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยลงอีกในเดือนธ.ค. นี้ ในขณะเดียวกัน ทิศทางค่าเงินหยวนจีนและราคาทองคำโลกยังมีอิทธิผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ กระทรวงพาณิชย์รายงานยอดส่งออกเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 5.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากที่พุ่งขึ้น 19% ในเดือนก.ย. ขณะที่มูลค่านำเข้าเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 16.3% จากหมวดทองคำเป็นหลัก ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า 3.44 พันล้านดอลลาร์ อีกทั้งข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาบ่งชี้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยอยู่ที่ 28.97 ล้านคนนับตั้งแต่ต้นปี ลดลง 7.2% ทางด้านธปท. รายงานไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 1.8 พันล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค. พร้อมกล่าวว่าประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามต่อไป ได้แก่ ผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม มาตรการภาษีของสหรัฐฯ และการส่งออกของไทย รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

  • mitihoon

    TIDLOR เด่นสุดกลุ่มนอนแบงก์ กูรูเคาะเป้าราคา24บ. 28/11/68

    มิติหุ้น – TIDLOR หรือ บมจ.ติดล้อ โฮลดิ้งส์ โดย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ภายใต้ความกังวลด้านภาวะเศรษฐกิจจากตลาด ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่ม Non – Bank ในช่วงที่ผ่านมา ในมุมฝ่ายวิจัยมองว่า TIDLOR ยังน่าสนใจในกลุ่มฯ จาก Coverage ratio สูงกว่ากลุ่มฯ รวมทั้งการมี BAY เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และ DPR ที่มีแนวโน้มจะสูงกว่าสมมติฐาน เป็นปัจจัยหนุน ROE โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 24.00 บาท จากราคาปัจจุบันที่ 18.40 บาท ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง Web : https://www.mitihoon.com/ Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770 Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon

  • mitihoon

    BAY คาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 32.20-32.70 ตลาดไม่แน่ใจแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด 24/11/68

    มิติหุ้น – กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.20-32.70 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 32.47 บาท/ดอลลาร์ โดยการซื้อขายยังคงอยู่ในกรอบแคบ ๆ ระหว่าง 32.38-32.52 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญ ขณะที่ข้อมูลจ้างงานเดือนกันยายนของสหรัฐฯสะท้อนภาพที่ผสมผสาน โดยตำแหน่งจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด แต่อัตราการว่างงานเดือนกันยายนขยับขึ้นเป็น 4.4% จาก 4.3% ทำให้นักลงทุนไม่แน่ใจเกี่ยวกับโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ในเดือนธันวาคม ทางด้านเงินเยนร่วงลงต่อเนื่องท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนโยบายภายในประเทศ โดยรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 21.3 ล้านล้านเยน ซึ่งจะมีการออกพันธบัตรเพิ่มเติมเพื่อเป็นแหล่งเงินทุน ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวพุ่งขึ้น บ่งชี้ความกังวลเกี่ยวกับการใช้จ่ายภาครัฐ ขณะที่การแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนด้วยวาจาครั้งล่าสุดยังไม่สามารถหยุดการอ่อนค่าของเงินเยนได้ ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 3,515 ล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรสุทธิ 1,958 ล้านบาท สำหรับในสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯก่อนเทศกาลขอบคุณพระเจ้า โดยจะมีรายงานยอดค้าปลีกเดือนกันยายน ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังเติบโตแข็งแกร่งในไตรมาส 3 ก่อนที่การปิดหน่วยงานรัฐบาลจะกดดันการขยายตัวในไตรมาส 4 นอกจากนี้ ความเห็นล่าสุดจากรองประธานเฟดได้เปิดช่องไว้สำหรับการลดดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 9-10 ธันวาคม อนึ่ง เรามองว่ากรณีที่เฟดตัดสินใจคงดอกเบี้ยไว้ในเดือนธันวาคมจะเป็นเพียงการหยุดพักชั่วคราว ไม่ใช่การสิ้นสุดวัฏจักรดอกเบี้ยขาลง สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ จีดีพีไทยไตรมาส 3/2568 เติบโต 1.2% y-o-y แต่หดตัว 0.6% q-o-q ซึ่งเป็นการลดลงรายไตรมาสครั้งแรกในรอบเกือบสามปี สะท้อนการส่งออกชะลอ การใช้จ่ายภาครัฐหดตัว และภาคท่องเที่ยวอ่อนแรง ขณะที่การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนประคองจีดีพีได้เพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ดี มาตรการภาครัฐจะช่วยเศรษฐกิจฟื้นตัวได้บ้างใน ไตรมาส 4/2568 โดยวิจัยกรุงศรีประเมินการเติบโตปี 2568 ที่ 2.1% ขณะที่ปี 2569 มีแนวโน้มชะลอลงจากผลของภาษีศุลกากรและความไม่แน่นอนทางการเมือง เพิ่มโอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้เพื่อหนุนอุปสงค์ภายในและบรรเทาภาระทางการเงินของภาคเอกชน

  • set
  • mitihoon

    BAY คาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 32.20-32.80 รอข้อมูลสหรัฐฯ 17/11/68

    มิติหุ้น – กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.20-32.80 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 32.38 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายกรอบแคบระหว่าง 32.26-32.53 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ยกเว้นเยนและปอนด์ ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามบังคับใช้กฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อยุติ Government Shutdown ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ โดยกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลมีงบประมาณใช้จ่ายไปจนถึงวันที่ 30 มกราคม 2569 ทางด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ)ระบุว่ามีเป้าหมายที่จะรักษาอัตราเงินเฟ้อในระดับปานกลางควบคู่ไปกับการขึ้นค่าจ้าง ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเป้าหมายดังกล่าวสอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขณะที่รมต.คลังญี่ปุ่นกล่าวว่าเงินเฟ้อยังไม่สามารถยืนระยะที่ 2% ได้อย่างยั่งยืน สะท้อนมุมมองของรัฐบาลที่เห็นว่ายังเร็วเกินไปสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งของบีโอเจ ส่วนอังกฤษเปิดเผยตัวเลขจีดีพีที่น่าผิดหวังขณะที่ทิศทางด้านการคลังมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 6,589 ล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรสุทธิ 2,613 ล้านบาท สำหรับในสัปดาห์นี้ ผู้ร่วมตลาดจะติดตามข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่จะทยอยประกาศออกมาซึ่งรวมถึงรายงานจ้างงานนอกภาคเกษตรและค่าจ้างที่แท้จริงเดือนกันยายน โดยข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)เห็นภาพเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้น เราตั้งข้อสังเกตว่าในระยะนี้ดูเหมือนเจ้าหน้าที่เฟดหลายรายจงใจแสดงท่าทีที่เป็นอิสระต่อกันทั้งในแง่การประเมินภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อทั้งๆที่ระหว่าง Shutdown ไม่มีประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการ ทำให้ตลาดไม่มั่นใจว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมหรือไม่ นอกจากนี้ การเปิดเผยรายงานการประชุมเฟดรอบล่าสุดอาจช่วยให้ตลาดเข้าใจมากขึ้นว่าคณะกรรมการมีความเห็นแตกแยกเพียงใดเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายในระยะข้างหน้า ส่วนปัจจัยในประเทศตลาดจะให้ความสนใจกับตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ซึ่งมีแนวโน้มชะลอลง สำหรับค่าเงินเยน นักลงทุนมองว่าโอกาสการเข้าแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนโดยทางการญี่ปุ่นในเวลานี้มีน้อยยกเว้น USD/JPY จะพุ่งทดสอบระดับ 160 อนึ่ง ท่ามกลางนโยบายการเงินที่ระมัดระวังของบีโอเจและนโยบายการคลังของนายกฯทาคาอิจิ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรฝั่งสหรัฐฯอาจต้องลดลงอย่างมากเพื่อเป็นเงื่อนไขให้ค่าเงินเยนฟื้นตัว

  • mitihoon

    #BAY แจ้งงบ Q3/68 กำไรแตะ 8.7 พันลบ. 13/11/68

    มิติหุ้น – BAY แจ้งผลประกอบการ งวดไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. 2568 บริษัทมีกำไร 8,782.89ลบ. จากไตรมาส 3 ปี 2567 ที่มีกำไร 7,672.20 ลบ. ติดตามช่องทางมิติหุ้นเพื่อรับข่าวสารตลาดทุนได้ตามลิงค์ด้านล่าง Web : https://www.mitihoon.com/ Facebook : https://www.facebook.com/mitihoon Youtube : https://www.youtube.com/@mitihoonofficial7770 Tiktok : www.tiktok.com/@mitihoon

  • set
  • set