สรุปงบล่าสุด BAY
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 3 ปี 2567
สรุปสั้น
กำไรสุทธิลดลง 6.5% QoQ และ 6.2% YoY โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงตามการหดตัวของพอร์ตสินเชื่อ ทั้งนี้ NPL เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.20% จาก 2.53% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 และ Coverage Ratio สูงขึ้นเป็น 245% จาก 149% การตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความรอบคอบของธนาคารในช่วงเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
การลดลงของสินเชื่อรวม 4.5% YoY ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยลดลง โดยสินเชื่อรายย่อยหดตัวถึง 7.0% รวมถึงสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่ลดลง 2.9% แม้ว่า NIM ยังอยู่ในระดับที่ดีที่ 4.28% แต่การลดลงของอัตราผลตอบแทนจากสินเชื่อและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นส่งผลต่อกำไรขั้นต้น โดยมี Cost to Income Ratio 44.7% เพิ่มขึ้นจาก 43.6% ในไตรมาสที่ผ่านมา
สรุปด้วย AI(O) BOT
## บทวิเคราะห์ผลประกอบการ บริษัท ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) ไตรมาส 3 ปี 2567
ผลประกอบการของบริษัท ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) ในไตรมาส 3 ปี 2567 แสดงให้เห็นถึงความท้าทายของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 7,672 ล้านบาท ลดลง 6.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และลดลง 6.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลงสอดคล้องกับการลดลงของสินเชื่อรวมในไตรมาส ส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้น 23.4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2566 เงินให้สินเชื่อรวมลดลง 4.5% จากสิ้นปี 2566 โดยสินเชื่อเพื่อรายย่อยลดลง 7.0% สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ลดลง 2.9% และสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมลดลง 0.5%
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 27,255 ล้านบาท ลดลง 3.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อ ส่วนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง 8.6% จากไตรมาสที่ผ่านมา ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ในไตรมาส 3 ปี 2567 ลดลง 5 เบสิสพอยท์ มาอยู่ที่ 4.28% สาเหตุหลักมาจากการลดลงของอัตราผลตอบแทนจากการให้สินเชื่อ
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 11,053 ล้านบาท ลดลง 1.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า การลดลงดังกล่าวมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ และรายได้จากการดำเนินงานอื่น ส่วนอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) ในไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 44.7% โดยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 17,116 ล้านบาท ลดลง 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยการลดลงส่วนใหญ่มาจากการลดลงของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานและการตั้งสำรองของทรัพย์สินรอการขาย
NPL ของ BAY ในไตรมาส 3 ปี 2567 อยู่ที่ 3.20% เพิ่มขึ้นจาก 2.53% ณ สิ้นปี 2566 โดยกรุงศรีมีการตั้งสำรองอย่างรอบคอบ ส่งผลให้สัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวม (Coverage Ratio) อยู่ที่ 245 เบสิสพอยท์ และอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 124.6%
เงินให้สินเชื่อรวมลดลง 3.3% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 4.5% จากสิ้นปี 2566 โดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ลดลง 3.7% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 2.9% จากสิ้นปี 2566 สินเชื่อบรรษัทไทยลดลง 4.4% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 0.8% จากสิ้นปี 2566 สินเชื่อบรรษัทญี่ปุ่นและบรรษัทข้ามชาติลดลง 2.3% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 7.0% จากสิ้นปี 2566 สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมลดลง 1.4% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 0.5% จากสิ้นปี 2566 สินเชื่อเพื่อรายย่อยลดลง 3.6% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 7.0% จากสิ้นปี 2566 สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ลดลง 3.4% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 6.7% จากสิ้นปี 2566 สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยลดลง 3.0% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 7.6% จากสิ้นปี 2566 สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และอื่น ๆ ลดลง 0.9% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 5.8% จากสิ้นปี 2566 สินเชื่ออาเซียนลดลง 9.9% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 8.5% จากสิ้นปี 2566
แม้จะมีความท้าทายจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ แต่กรุงศรียังคงมุ่งมั่นในการสนับสนุนลูกค้าทั้งภาคธุรกิจและรายย่อย เพื่อช่วยให้ธุรกิจฟื้นตัวและมีความมั่นคงทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยเหลือลูกค้าผู้ประกอบการ SME และรายย่อยที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในไตรมาสนี้ นอกจากนี้ กรุงศรียังคงมุ่งมั่นในเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยเปิดตัวสินเชื่อ "Krungsri SME Transition Loan" เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ SME ในการเปลี่ยนผ่านสู่การลดการปล่อยคาร์บอนอย่างมีประสิทธิภาพ
### โอกาส
* การเติบโตของธุรกิจในอาเซียน
* การสนับสนุนจากนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในการขับเคลื่อนภาคการเงินสู่อนาคตที่ยั่งยืน
* การเปิดตัวสินเชื่อ "Krungsri SME Transition Loan"
* ความสามารถในการบริหารความเสี่ยงและการรักษาฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง
* อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 18.94%
### ความเสี่ยง
* ผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม
* การแข็งค่าของเงินบาท
* อุปสรรคเชิงโครงสร้าง เช่น หนี้ครัวเรือนและความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิต
* ผลกระทบจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
* การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ
โดยสรุป ผลประกอบการของ BAY ในไตรมาส 3 ปี 2567 แสดงให้เห็นถึงความท้าทายจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม BAY ยังคงมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง การดำเนินธุรกิจภายใต้หลัก ESG (Environmental, Social, and Governance) โดยเฉพาะการให้สินเชื่อเพื่อสังคม แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม BAY จึงยังคงมีความน่าสนใจในแง่ของการลงทุน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนระยะยาวเพื่อรับเงินปันผล แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้น อาจต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและผลประกอบการของ BAY อย่างใกล้ชิดก่อนตัดสินใจลงทุน
NIM
4.28 %
NPL
3.20 %
COV
245.00 %
CREDIT
1,926,936.00 ล้านบาท
(2.95%)
(8.24%)
(3.74%)
(8.19%)
(0.81%)
(0.04%)
(1.02%)
(9.39%)
(6.54%)
(5.23%)