สรุป Oppday MEGA: เจาะลึกกลยุทธ์ปี 2568 ฟื้นพม่า, รุกเวียดนาม, ขยายแอฟริกา

P/E 13.86 YIELD 5.00 ราคา 32.00 (-1.54%)

สรุป Oppday MEGA: เจาะลึกกลยุทธ์ปี 2568 ฟื้นพม่า, รุกเวียดนาม, ขยายแอฟริกา

สวัสดีค่ะท่านนักลงทุนทุกท่าน พบกันอีกครั้งกับการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทเมก้าไลฟ์ไซแอ้นซ์จำกัดมหาชนสำหรับปี 2024

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

รายได้รวมของบริษัทในปี 2024 อยู่ที่ 15,344 ล้านบาท คงที่เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • ธุรกิจ Mega We Care: มีรายได้ 8,371 ล้านบาท เติบโต 4.6% จากการเติบโตของส่วน pharmaceutical และ OTC
  • ธุรกิจ Max Care: มีรายได้ 6,667 ล้านบาท ลดลง 9.9% จากปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากการลดลงของรายได้จากประเทศเมียนมาร์ (หากปรับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนในเมียนมาร์ รายได้จะลดลง 20.5%)
  • รายได้ตามภูมิภาค:

  • เอเชียตะวันออกเฉียงใต้: สร้างรายได้ 78.4% ของธุรกิจ Mega We Care
  • อินโดจีน: สร้างรายได้ 61.8% ในปี 2024
  • สัดส่วนรายได้:

  • Mega We Care: ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 54.6% (จาก 51% ในปี 2023)
  • Max Care: 43.5% (จาก 47.2% ในปี 2023)
  • อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin): ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นตามส่วนงานและการปรับตัวดีขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ Mega We Care

  • Mega We Care: ปรับตัวดีขึ้นเป็น 65.9% (จาก 65% ในปี 2023) จากการเติบโตของรายได้ Product Mix, Country Mix และ Economy of Scale
  • Max Care: หลังปรับปรุงอยู่ที่ 23.5% ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนที่ 23.1% จาก Principal Mix
  • SGA เพิ่มขึ้น 4.6% ตามแผนการใช้จ่ายของบริษัทและสอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจ Mega We Care โดย SGA ต่อรายได้จาก การดำเนินงานรวมอยู่ที่ 28.6% ในปี 2024 (จาก 26.7% ในปี 2023) ซึ่งสูงขึ้นจากการลดลงของธุรกิจ Max Care

    กำไรสุทธิตามรายงานในปี 2024 อยู่ที่ 2,012.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1% เมื่อเทียบกับปี 2023 โดยหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจ Mega We Care และการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง

    2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

    บริษัทให้ความสำคัญกับการเติบโตของธุรกิจ Mega We Care และขยายตลาดในประเทศต่างๆ โดยมีแผนการลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

  • การลงทุนในเวียดนาม: สร้างโรงงานผลิตยา EU GMP คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2027 หรือ 2028 และส่งออกไปยังประเทศรอบข้าง
  • การขยายตลาดในไนจีเรีย: ลงทุนในการสร้างตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และบุคลากร
  • การขยายโรงงานในออสเตรเลีย: เพิ่มกำลังการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์
  • การขยายโรงงานในอินโดนีเซีย: เพิ่มกำลังการผลิตยาและผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศ
  • 3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

    บริษัทเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายหลายด้านดังนี้:

  • สถานการณ์ในเมียนมาร์: ปัญหาการนำเข้าสินค้า FMCG ที่ยากขึ้น ตลาดหดตัว และความยากลำบากในการดำเนินงานเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบ
  • อัตราแลกเปลี่ยน: ความผันผวนของค่าเงินในประเทศต่างๆ เช่น ไนจีเรีย
  • การแข่งขัน: การแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น จีนและอินเดีย
  • กฎระเบียบ: การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในประเทศต่างๆ เช่น ข้อกำหนด OEM ในเวียดนาม
  • 4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

    บริษัทมีแผนการรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ ดังนี้:

  • ลดผลกระทบจากสถานการณ์ในเมียนมาร์: มุ่งเน้นตลาดในประเทศที่ยังเข้าถึงได้ (40 ล้านคนจาก 55 ล้านคน) และพิจารณาลงทุนผลิตสินค้าในประเทศ
  • บริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: กู้เงินในประเทศไนจีเรีย ใช้ Local Credit Line และปรับราคาสินค้า
  • รับมือกับการแข่งขัน: พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็น Unique และมีคุณภาพสูง รวมถึงการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
  • ปรับตัวตามกฎระเบียบ: สร้างโรงงานในประเทศที่ต้องการ OEM และปฏิบัติตามกฎหมาย
  • 5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):

    บริษัทมีเป้าหมายที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นที่:

  • การเติบโตของ Branded Business Mega We Care
  • การลงทุนในโรงงานและขยายกำลังการผลิต
  • การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีนวัตกรรม
  • การขยายตลาดในภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกา
  • บริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่ม Bottom Line เป็นสองเท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยการลงทุนประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ (3,000 ล้านบาท) ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

    6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): เริ่มต้นที่ นาที 44:24

    1. Forex Risk และปัจจัยกระทบผลกำไร
      • คำถาม: นอกจาก Forex Risk มีปัจจัยใดที่กระทบผลกำไร MEGA บ้าง?
      • คำตอบ:
        • มีการทำ Credit Line ในแต่ละประเทศเพื่อลดความเสี่ยงจาก Local Currency
        • ขึ้นราคาสินค้าในบางประเทศ
        • ความเสี่ยงทางการเมือง (Political Risk) ในพม่าและยูเครน
        • ความเสี่ยงจากผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Risk) หากไม่เป็นที่ต้องการ
        • กฏระเบียบการนำเข้าที่เข้มงวดขึ้นในบางประเทศ
    2. การเติบโตของผลิตภัณฑ์ใหม่
      • คำถาม: Product Launch ใหม่ๆ มีผลต่อยอดขายอย่างไร?
      • คำตอบ:
        • ผลิตภัณฑ์ใหม่ต้องใช้เวลา 2-3 ปีในการสร้างตลาดและติดตลาด
        • เน้นผลิตภัณฑ์ที่เป็น Unique และทำยาก
        • Generic ไม่ใช่ธรรมดาที่ต้องลงทุนในการวิเคราะห์และพัฒนา
        • ลงทุนใน Brand Monoclonal Antibody
        • สร้าง Brand ที่แข็งแกร่งและขยาย Line Extension
        • สร้างตลาดใหม่หากตลาดเดิมมีขนาดเล็ก
        • ยา Generic ที่เป็นยาแทน Original
    3. Pay Out Ratio
      • คำถาม: แนวโน้ม Pay Out Ratio ในอนาคตจะเป็นอย่างไร?
      • คำตอบ:
        • ยังคงอยู่ที่ 60-70% เนื่องจากมีแผนลงทุน 100 ล้านเหรียญใน 2-3 ปี
        • สร้าง Internal Cash Flow และ Borrowing
        • มี Extra Support และลงทุนใน 5 ปีเพื่อให้ Brand เติบโต 2 เท่า
    4. ยอดขาย Max Care ที่ลดลง
      • คำถาม: ยอดขาย Max Care ลดลงจากลูกค้าใดและแนวโน้มในอนาคตเป็นอย่างไร?
      • คำตอบ:
        • ลูกค้าส่วนใหญ่มาจากพม่า (65-70%)
        • FMCG มีปัญหาเรื่อง License และผลกระทบมาก
        • กำลังซื้อลดลง, การนำเข้ายากขึ้น, License ช้า
        • คาดว่า Max Care จะลดลงแต่กำไรจาก Brand โตขึ้น

    สรุป

    MEGA มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการรับมือกับความท้าทายและสร้างการเติบโตในอนาคต โดยการมุ่งเน้นที่ Branded Business Mega We Care, การลงทุนในโรงงานและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ, และการขยายตลาดในภูมิภาคต่างๆ แม้ว่าสถานการณ์ในเมียนมาร์จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ Max Care แต่บริษัทก็มีแผนการรับมือและปรับตัวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ตั้งไว้

    

    โพสต์ล่าสุด