บทความ ข่าวสาร กิจกรรม

บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ DTCENT โชว์ผลงานปี 2567 สุดปัง กำไรสุทธิพุ่ง 14.88% แม้ตลาดระบบติดตามยานยนต์จะแข่งขันดุเดือด พร้อมเผยกลยุทธ์รักษาตำแหน่งผู้นำด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า

ไฮไลท์สำคัญ: กำไรสุทธิโตแรง 14.88%

DTCENT ประกาศผลประกอบการปี 2567 สุดแข็งแกร่ง ด้วยรายได้รวม 760.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.69% จากปีก่อนหน้า และที่สำคัญ กำไรสุทธิพุ่งสูงถึง 114.44 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตถึง 14.88% จาก 99.62 ล้านบาทในปี 2566 ปัจจัยหลักมาจากพฤติกรรมลูกค้าที่เปลี่ยนไป หันมาใช้อุปกรณ์ติดตามยานยนต์ที่มีเทคโนโลยีสูงขึ้น และการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ

ผู้นำตลาดท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้น

แม้ตลาดระบบติดตามยานยนต์ (605 Tracking) จะมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ให้บริการเพิ่มขึ้นจาก 140 รายในปี 2560 เป็น 220 รายในปี 2567 แต่ DTCENT ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดได้อย่างเหนียวแน่น โดยมีส่วนแบ่งการตลาดสำหรับรถที่ติดตั้งระบบติดตามยานพาหนะที่เชื่อมต่อกับระบบกรมการขนส่งทางบกมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ตั้งแต่ปี 2560 และในปี 2567 มีสัดส่วนการให้บริการรถที่ติดตั้งระบบติดตามยานพาหนะจำนวน 41,732 คัน หรือประมาณ 9.25% ของทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อ DTCENT

รายได้บริการโตเด่น ต้นทุนลดฮวบ หนุนกำไรขั้นต้นกระเตื้อง

DTCENT เผยว่า รายได้หลักมาจากการบริการ คิดเป็น 92.42% ของรายได้รวมในปี 2567 โดยเฉพาะรายได้จากการให้บริการเช่าอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 28.22% เนื่องจากการอัพเกรดอุปกรณ์ของลูกค้าเดิม นอกจากนี้ ต้นทุนขายและบริการรวมยังลดลง 6.48% จากการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ การพัฒนาเทคโนโลยี และการเปิด DTC Service Center ส่งผลให้ กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 7.20% อย่างน่าพอใจ แม้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจะเพิ่มขึ้น 9.57% จากการขยายทีมขายและการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ

สรุป: DTCENT แข็งแกร่งต่อเนื่อง พร้อมรับมือความท้าทาย

โดยสรุปแล้ว DTCENT มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งในปี 2567 แม้จะอยู่ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง การเป็นผู้นำตลาด การบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และการให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยีและบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า เป็นปัจจัยที่ช่วยให้ DTCENT สามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรและการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง การให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการจัดการที่ยั่งยืน ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย