บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
SAPPE ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจโลก! ชูโมเดล Brand Localization สร้างยอดขาย Q3 ปี 2568
P/E 11.32 YIELD 7.26 ราคา 31.25 (0.00%)
SAPPE ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจโลก! ชูโมเดล Brand Localization สร้างยอดขาย Q3 ปี 2568
สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับนักลงทุนทุกท่านสู่งาน Oppday ไตรมาส 3 ปี 2568 ของบริษัท เซ็ปเป้ จำกัด มหาชน วันนี้ผมอเนก ลาภสุขสถิต CFO และคุณปิยจิต รักเรียงพงศ์ CEO จะมาพูดคุยให้ข้อมูลผลประกอบการในวันนี้
Agenda วันนี้มี 4 หัวข้อหลักๆ ได้แก่ ภาพรวม (Overview), ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 (Past Performance), อัปเดตธุรกิจ (Business Update) และความยั่งยืน (Sustainability)
ในส่วนของภาพรวม ธุรกิจเซ็ปเป้ยังคงมุ่งมั่นและโฟกัสในการสร้างองค์กรจากคนไทย เพื่อสร้างแบรนด์ระดับโลก จากความสำเร็จกว่า 20 ปีที่ผ่านมา มีทั้งหมด 5 categories สินค้า สร้างมากกว่า 20 แบรนด์ และมี footprint อยู่มากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก แบรนด์ที่เป็น top คือ "โมกุ โมกุ" ซึ่งได้รับความนิยมในหลายประเทศ
การเดินทางของเซ็ปเป้ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา มีการ accelerate growth ในตลาดต่างประเทศค่อนข้างเยอะ และประสบความสำเร็จในประเทศเกาหลี กลุ่มประเทศยุโรปต่างๆ รวมถึง journey ของการ expand ในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
โครงสร้างธุรกิจของเซ็ปเป้ยังคงเหมือนเดิม แบ่งเป็นธุรกิจในประเทศ ต่างประเทศ และ OEM โดย OEM จะเป็นเฉพาะสำหรับ strategic partner เช่น Danone ภายใต้แบรนด์ของ Blue
Portfolio ของเซ็ปเป้วันนี้มีทั้งหมด 5 portfolio เพื่อ capture segment ของลูกค้าที่แตกต่างกัน ได้แก่:
- Juice Drink (พอร์ตใหญ่สุด, แบรนด์โมกุ โมกุ)
- Functional Drink (เซ็ปเป้ บิวตี้ ดริ้งค์, แบรนด์ Blue)
- Functional Powder กาแฟ
- Healthy Snack
- Supplement
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)
ภาพรวมไตรมาส 3 ปี 2568 ยอดขายติดลบ 13.9% เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เทียบกับไตรมาสก่อนหน้ามีการ recover ในหลาย region
การติดลบหลักๆ มาจากต่างประเทศ แต่ไทยยังเติบโตได้ดี 2% เป็นไปตามแผน สำหรับตลาดต่างประเทศติดลบ 19% แต่ลดลงเรื่อยๆ และมีสัญญาณที่ดีขึ้น
ภาพรวม year-to-date ติดลบ 25% มาจากในประเทศเติบโต 19% และต่างประเทศติดลบ 35%
Net profit ไตรมาส 3 อยู่ที่ 183 ล้านบาท ลดลง 39% year-on-year มองทั้ง 9 เดือนลดลง 38% year-on-year ซึ่งการลดลงมีอัตราที่มากกว่าการลดลงของยอดขาย ปัจจัยหลักมาจาก FX (อัตราแลกเปลี่ยน)
ต้นทุนตลอด 3 ปีที่ผ่านมามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไตรมาส 3 ต้นทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นเทียบกับไตรมาส 2 อยู่ที่ 0.8% ปัจจัยหลักมาจาก FX เนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปแตะประมาณ 31.7 บาท แต่ภาพรวมไตรมาส 3 ยังอยู่ที่ 32.1 บาทต่อ USD
Selling expense ในไตรมาส 3 ลดลงกว่าไตรมาส 2 เล็กน้อย อยู่ที่ 273 ล้านบาท เทียบกับ 299 ล้านบาท แต่เมื่อเทียบเป็นอัตราส่วนแล้วปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 15.8%
Admin มีการจัดการได้ดี อยู่ที่ 8.7% ของยอดขาย หรือ 117 ล้านบาท
สัดส่วน Domestic เติบโตดีกว่าต่างประเทศ ทำให้สัดส่วนของ Domestic เพิ่มขึ้นมาที่ประมาณ 33%
สัดส่วนของต่างประเทศ major มาจากเอเชีย 36% Middle East ลดลงพอสมควรจากปัจจัยภายนอก อเมริกาใกล้เคียงเดิมกับยุโรปก็เริ่มกลับมาในระดับที่ใกล้เคียงเดิม
การติดลบของไตรมาส 3 หากแบ่งตาม region: ไทยบวก 2%, ยุโรปปิด flat เทียบกับปีก่อนหน้า มีสัญญาณการฟื้นตัว, Middle East และอเมริกาติดลบ 20% จากปัจจัยภายนอก (Middle East) และภาษีที่เพิ่มขึ้น (อเมริกา), เอเชียอ่อนตัวลงจากเกาหลีและอินโดนีเซีย
Q on Q: ยุโรปและอเมริกาเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว Middle East และเอเชียยังคงใกล้เคียงเดิม ไทยติดลบลงมาจากการออก activation หรือ NPD ในไตรมาส 2 ค่อนข้างเยอะ
Domestic เติบโต 19% year-on-year ยุโรปติดลบเยอะกับ Middle East เป็น 2 region หลัก และอเมริกากับเอเชียติดลบอยู่ที่ประมาณ 26% ใกล้เคียงกัน
ปี 2568 อาจจะได้รับผลกระทบจากต่างประเทศค่อนข้างเยอะ ทำให้ไตรมาส 1 ติดลบ 38% ไตรมาส 2 ติดลบลดลงมาที่ 22% และไตรมาส 3 ติดลบลดลงไปอยู่ที่ 14% ธุรกิจในต่างประเทศเริ่มมีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับ
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)
โมเดลในการ run business ในตลาดต่างประเทศยังเหมือนเดิม แบ่งเป็น Trading Model, Rising Star และ Consumer Market (Gems) โดยจะอธิบายในส่วนของ Gems มากกว่า
สินค้า Product ที่ยังเป็น champion คือ "โมกุ โมกุ" เหมือนเดิม และมี Aloe Vera เสริมทัพเข้ามามากขึ้น
ในโซนของเอเชีย ทั้งปีติดลบ 27% แต่ Q on Q ติดลบ 24% หลักๆ มาจากอินโดนีเซีย (ปัญหา current distributor) ซึ่งอยู่ใน process ของการพูดคุยและ shape up distributor คาดว่าปีหน้า Q2 จะมี distributor เพิ่มอีก 1 ราย
อีกประเทศที่มีการ drop คือเกาหลี เนื่องจาก economy ไม่ค่อยดี ทำให้ sell-in ของเราไปเกาหลีมีการติดลบอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์ ยังถือว่า online กับ target ที่เราวางไว้
marketing activity ในเกาหลีค่อนข้างเยอะ เช่น cross branding กับ Baskin Robbins มี seasonal product (โมกุ โมกุ x Baskin Robbins) มีการ launch new product (โมกุ Zero) และมีการทำ festive ต่างๆ
โซนยุโรป ปี 2568 เป็นปีที่หินสำหรับเรา เพราะมีปัญหา carry on มาจากปีที่แล้วในเรื่องของ stock ในประเทศฝรั่งเศส แต่ทั้งปีติดลบไปอยู่ที่ 44% แต่การติดลบเริ่มจะหยุดแล้ว เริ่มเห็น growth/zero growth year-on-year และเริ่มมีการบวกถ้าเทียบเป็น Q on Q ปัญหาในฝรั่งเศสหรือ UK ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เริ่มมี baseline ใหม่ และประเทศอื่นๆ ในโซนยุโรปเริ่มเห็นการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Channel mix ของเราในฝรั่งเศส MT ยัง consist อยู่ที่ 47% TT อยู่ที่ 53% ปีนี้พยายามทำเพิ่มขึ้นในส่วนของ TT โดยเฉพาะในเรื่องของ wholesaler ที่พยายามสร้าง fundamental ที่ดีขึ้น
marketing activity ที่ทำ เข้าใจว่าไตรมาสที่แล้วคุณอเนกอาจจะมีการ update นักลงทุนไปแล้วว่าเรามีการทำ sampling (แจกให้ผู้บริโภคทาน) ในส่วนของฝรั่งเศส และทำเข้าไปในหัวเมืองใหญ่ๆ ด้วย
ส่วนของ Middle East ปีนี้ติดลบอยู่ 40 กว่า % เป็นการติดลบปีแรกของเรา สิ่งที่ประสบคือ geopolitical (สงคราม) ทำให้บางประเทศไม่สามารถส่งสินค้าได้ หลังสงครามเริ่มมี tariff เกิดขึ้น ทำให้บางประเทศไม่สามารถส่งสินค้าเราไปได้ แต่เป็นการ set standard ใหม่ เพราะฉะนั้น expect ว่าปีหน้า Middle East น่าจะเริ่มกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแรง
โซนอเมริกา Q on Q เริ่มกลับมาดีขึ้น เริ่มเติบโตไปอยู่ที่ 19% แต่ year-on-year ยังติดลบอยู่ แต่หลังจาก tariff เริ่ม clear มีความชัดเจนมากขึ้น เริ่มเห็นการสั่งซื้อจากลูกค้าในโซน USA กลับมาแล้ว US เป็นหนึ่งในประเทศที่เราให้ความสำคัญในการเติบโตในเรื่องของการขยาย Channel ด้วย
Domestic Market ปีนี้ทำได้ดีมาก โตไปประมาณ 19% Q3 อาจจะไม่โตมากนัก เพราะไม่ได้มีสินค้าใหม่ rollout คีย์แบรนด์หลักคือ Beauty Drink Blue และ Pure Coffee Beauty Drink มี campaign ต่างๆ ออกไป ทั้ง online offline และ above the line ใช้โยชิเป็น presenter คนเดิม และมี activity ทั้ง on ground ด้วย
Blue target ในโซนของ Gen C เด็กมัธยมและเด็กมหาวิทยาลัยเป็น core target หลัก Blue perform ได้ดีมากๆ เป็น trend ที่อยู่ในใจของ Gen C
Pure หลักๆ marketing ของเรายังผ่าน online และ TikTok และเริ่มทำมากขึ้นในเรื่องของการเป็นสินค้าหนึ่งใน leading product ของเราในการขายสินค้า online
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)
Olgo ครับ ในไตรมาส 3 Report ในมุมของยอดขาย ถ้าเทียบกับปีก่อนหน้าเติบโตแค่ 1% year-on-year และอาจจะติดลบ 4% Q on Q
แต่มะพร้าวจะมีความผันผวนของราคาในแต่ละปีค่อนข้างเยอะ ถ้ามาพิจารณาเฉพาะ volume จะเห็นว่าในไตรมาส 3 เติบโตในเชิง volume ถึง 55% year-on-year และ 43% Q on Q
Olgo เองปีนี้โดยภาพรวมสามารถทำกำไรได้ในอัตราที่ค่อนข้างดี ในไตรมาส 3 ทำ NI อยู่ที่ 11% หรือกำไรที่ 14 ล้านบาท
การเติบโตของ Olgo จะไปอยู่บน business ของ Industrial เป็นหลัก ซึ่ง Industrial จะ drive ในเรื่องของ supply ซึ่งเรามี sourcing ที่ certify อยู่ถึง 3,400 ไร่ ทั้งหมดเป็นการ certify organic (US Organic)
บริษัทมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาสิ่งที่ beyond organic เพิ่มเติมอีก เราเรียกว่า Regenerative Farming หรือการทำ agriculture แบบผสมผสานที่นอกจากการ grow มะพร้าวแล้วจะเป็นการ preserve หรือการรักษาธรรมชาติหน้าดินต่างๆ ควบคู่กันไป target ของเราในปี 2570 ประมาณ 50% จะกลายเป็น regenerative ทั้งหมด
ปี 2566 ในส่วนของเป้าหมายการเติบโต target ไว้ที่ 15% เป็นการเติบโตทั้งในส่วนของต่างประเทศและตลาดในประเทศ
ในส่วนของตลาดต่างประเทศ การเติบโตในมิติของแบรนด์คือ Brand Localization เรียนรู้ว่าการทำเป็น Global อย่างเดียวอาจจะไม่ fit กับทุก region ของลูกค้า เราต้องมีความเป็น local เข้าไปด้วยเพื่อให้แบรนด์ relevant กับ key country หรือ key customer แต่ละประเทศ การทำแบรนด์ของเราจะแบ่งเป็น Global และ Local ผสมผสานกัน
Channel Expansion ยังคงเป็น major key growth driver ของ Sappe ในหลายๆ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของยุโรป โซนของอเมริกา หรือ even ในบางเอเชียบางประเทศ สินค้าของเรายังหลายประเทศยังมีช่องทางการเพิ่ม Channel อีกอย่างต่อเนื่อง