SPCG โชว์ผลงาน Q2/2568: มุ่งสู่ Net Zero พร้อมอัปเดตโครงการในญี่ปุ่นและแผนลงทุน

P/E 21.02 YIELD 14.12 ราคา 8.50 (0.00%)

SPCG โชว์ผลงาน Q2/2568: มุ่งสู่ Net Zero พร้อมอัปเดตโครงการในญี่ปุ่นและแผนลงทุน

สวัสดีครับท่านนักลงทุนทุกท่าน กลับมาพบกับ Opportunity Day ของบริษัท SPCG จำกัด (มหาชน) อีกครั้งนะครับ ผมและทีมงานจะมาอัปเดตภาพรวมของธุรกิจใน Q2 นะครับ โดยโครงสร้างของบริษัทยังคงเป็น Holding Company มีบริษัทในเครือรวม 43 บริษัทย่อยครับ

Timeline ของบริษัทเริ่มตั้งแต่ปี 2007 และเริ่ม COD ไซต์แรกประมาณปี 2010 และ COD Solar Farm ในประเทศไทยครบในปี 2014 เริ่มทำธุรกิจ Solar Power Roof ในปี 2013 และเริ่มไปลงทุนในต่างประเทศในปี 2018 ครับ

โปรเจกต์ล่าสุดที่เพิ่ง COD ไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาคือ Kagoshima ขนาด 8 เมกะวัตต์ และมี Target ในปี 2573 ที่จะเข้าสู่ Carbon Neutral Community ครับ

ภาพรวมธุรกิจเป็น 3 ธุรกิจหลัก คือ Solar Farm, Solar Power Roof และ Sole Agent ของ Inverter แบรนด์ SMA จากเยอรมัน

หุ้นของ SPCG อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในหมวดของกลุ่มพลังงาน ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 1,055 ล้าน 790,000 บาทถ้วน และจำนวนหุ้นเท่ากันครับ

10 ผู้ถือหุ้นหลักยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยท่านประธาน ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ถือหุ้นสูงสุด และมี UBS จากสิงคโปร์ กับ Internet Garanti จากฮ่องกง เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่

หุ้นของ SPCG มีการจ่ายปันผลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2014 หลังจากที่ COD Solar Farm ในประเทศไทยครบ โดยเริ่มจากปี 2014 และปันผลต่อเนื่องมาทุกปี ล่าสุดบอร์ดบริหารได้อนุมัติจ่ายปันผลที่ 40 สตางค์ต่อหุ้น XD วันที่ 1 กันยายน และจ่ายปันผลวันที่ 12 กันยายน ครับ

ธุรกิจหลักของ SPCG คือ Solar Farm Business มี 2 จุดหลัก คือในเมืองไทยและที่ญี่ปุ่น ในเมืองไทยมี 36 Solar Farm ที่ส่วนใหญ่อยู่ในโซนภาคอีสาน และที่ญี่ปุ่นมีประมาณ 3 โปรเจกต์ใหญ่ๆครับ

ปีนี้จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ผลิตไฟฟ้าได้แล้ว 189,544,000 กิโลวัตต์ ซึ่งมากกว่า 6 เดือนของปีที่แล้ว Year-on-Year ครับ

โรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นมี 3 โปรเจกต์ที่ On-Hand อยู่ คือที่ Tottori, Kagoshima และ Fukushima ที่กำลังก่อสร้างอยู่ Tottori ลงทุนตั้งแต่ปี 2018 และ COD ไปนานแล้ว ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยประมาณปีละ 5-6% โดยประมาณครับ

โปรเจกต์ Fukushima ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีเงินลงทุนอยู่ที่ 9,000 ล้านเยน ซึ่ง SPCG ถือสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 17.92% ปัจจุบันมีการลงทุนไปแล้วประมาณ 4,240 ล้านเยน และอยู่ระหว่างการที่จะลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 4,759 ล้านเยน โดยประมาณครับ

โครงการ Kagoshima ซึ่ง COD ไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ขนาด 8.02 กิโลวัตต์ ถือหุ้นอยู่ประมาณ 20% ใช้เงินลงทุนประมาณ 85 ล้านเยน โดยประมาณ เมื่อวันที่ 27 เดือน 5 ที่ผ่านมา มีการฉลองการเปิดโรงไฟฟ้าครับ

ธุรกิจ Solar Roof Business ยังคงถือปรัชญา Best Value, Best Design, Best Output, Best Service และ Best Safety ตั้งแต่ปี 2015 ถึงปี 2024 มียอดขายไม่ต่ำกว่า 7,600 ล้านบาทโดยประมาณ

ธุรกิจแบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อย คือ บ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ และโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มหลักจะเป็นกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่ครับ

มีการอัปเดตเรื่องของ REC (Renewable Energy Certificate) ซึ่งปัจจุบัน SPCG มีการจำหน่ายตัวนี้อยู่ และถ้า ณ สิ้นเดือน 6 ยังมี REC ที่ Variable ขายอยู่ประมาณ 2,900,000 หน่วย โดยประมาณ

ต่อไปจะเป็นการอัปเดตสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงาน

ผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงิน

ผลการดำเนินงานของบริษัท SPCG และบริษัทย่อย สำหรับงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีรายละเอียดดังนี้

รายได้รวมของกลุ่มกิจการอยู่ที่ 922.9 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนประมาณ 306.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 33% Year-on-Year โดยมาจากธุรกิจ Solar Farm และ Solar Roof

Solar Farm มีรายได้รวมมาจาก 36 Solar Farm ในไทยอยู่ที่ 709.7 ล้านบาท ลดลง 351.5 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 33% Year-on-Year หลักๆ เกิดจากผลกระทบที่ไม่ได้รายได้ส่วนของ Adder แล้ว

Solar Roof มีรายได้อยู่ที่ 213.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 58.4 ล้านบาท หรือคิดเป็น 38% Year-on-Year ก็จะสอดคล้องกับการรับรู้รายได้ของโครงการในปีนี้ เมื่อรวมรายได้ของ Solar Farm และ Solar Roof จะเป็นประมาณ 922.9 ล้านบาท

กำไรสุทธิปีนี้อยู่ที่ 232.8 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 315.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นการลดลงประมาณ 58% หากมองถึง Net Profit Margin ปีก่อนมี 45% ลดลงมาเหลือ 25% ในปีปัจจุบัน หลักๆ จะเป็นผลกระทบจากเรื่องของ Adder ที่ไม่ได้รับแล้วในปีนี้ ประมาณ 352 ล้าน และมีการรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ 2 บริษัทย่อยประมาณ 35 ล้านบาท

รายได้ของธุรกิจ Solar Farm ที่ลดลงจากปีก่อนประมาณ 351.5 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบใหญ่ๆ คือ

  1. Adder ที่หมดลงไป 352.2 ล้านบาท
  2. ปัจจัยราคา ลดลง 9.8 ล้านบาท
  3. ปัจจัยปริมาณ เพิ่มขึ้น 10.5 ล้านบาท

หากไม่มองถึงเรื่อง Adder ถ้ามองส่วนของปัจจัยราคาและปริมาณ จะเห็นว่ามีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 700,000 บาทครับ

รายได้รวมของกลุ่มกิจการในไตรมาสปัจจุบัน 3 เดือน มีรายได้อยู่ที่ 388.5 ล้านบาท ลดลง 105.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21% Year-on-Year และลดลง 145.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 27% Q-on-Q มาจาก Solar Farm และ Solar Roof

Solar Farm มีรายได้ในไตรมาสปัจจุบันอยู่ที่ 320.8 ล้านบาท ลดลง 122.8 ล้านบาท หรือ 28% Year-on-Year และลดลง 68.1 ล้านบาท หรือลดลง 18% Q-on-Q

Solar Roof มีรายได้ในไตรมาสปัจจุบันอยู่ที่ 67.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 47% Year-on-Year แต่ลดลงประมาณ 77.7 ล้านบาท หรือ 53% Q-on-Q

ในปัจจุบันกำไรสุทธิอยู่ที่ 93.3 ล้านบาท ลดลง 96.3 ล้านบาท หรือ 51% Year-on-Year และลดลง 46.2 ล้านบาท หรือว่า 33% Q-on-Q หากมองในส่วนของ Net Profit Margin ในไตรมาสเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 38% ในไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 26% และไตรมาสปัจจุบันอยู่ที่ 24%

รายได้ของ Solar Farm ในช่วง 3 เดือนที่ลดลง Year-on-Year อยู่ที่ 122.8 ล้านบาท มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ Adder, Energy Output และ FT

Year-on-Year ลดลงจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนอยู่ที่ 122.8 ล้านบาท หรือลดลง 28% มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ

  1. Adder ลดลง 97.8 ล้านบาท
  2. Energy Output ลดลง 16.1 ล้านบาท
  3. FT ลดลง 8.9 ล้านบาท

Q on Q เหลือแค่ 2 ปัจจัยเนื่องจากทั้งไตรมาสที่ 1 ปีนี้และไตรมาสที่ 2 ปีนี้ไม่มีรายได้ adder ทั้งคู่ ก็จะเหลือแค่ปัจจัย Energy Output ที่ลดลง 61.7 ล้านบาท และปัจจัยราคา FT ลดลง 6.4 ล้านบาท

สินทรัพย์รวม ณ สิ้นไตรมาส 2 อยู่ที่ 2943.5 ล้านบาท ในขณะที่สิ้นปีก่อนมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 21,435.2 ล้านบาท ลดลงไปประมาณ 2.3%

  1. เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นไตรมาสปัจจุบันอยู่ที่ 87.3 ล้านบาท
  2. เงินลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงินระยะสั้นอยู่ที่ประมาณ 2,827 ล้านบาท รวมเป็น Free Cash ประมาณ 2,914.3 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อนประมาณ 116.1 ล้านบาท หลักๆ มาจากการจ่ายเงินปันผลออกไป 815.5 ล้านบาท
  3. เงินสดที่เป็นกำไรจากการดำเนินงาน 670.9 ล้านบาท
  4. เงินลงทุนในโครงการในประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าอยู่ที่ 1,386.9 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อนประมาณ 1.1 ล้านบาท
  5. PPE ประมาณ 70% ของสินทรัพย์รวม มีมูลค่าอยู่ที่ 15,319.2 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อนประมาณ 270.8 ล้านบาท หลักๆ จะลดลงจากค่าเสื่อมราคา 317 ล้านบาท
  6. การรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ในบริษัทย่อย 35.3 ล้านบาท
  7. สินทรัพย์สิทธิการใช้ที่เพิ่งต่อสัญญาในปี เป็นเรื่องของ โกดัง
  8. ค่าที่ดินบริษัท ย่อยอีก 42.3 ล้านบาท ที่เกิดขึ้น
  9. สินทรัพย์อื่น 1,323.1 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อนประมาณ 103.7 ล้านบาท
  10. ลูกหนี้การค้ารวม 90 ล้านบาท
  11. สินค้าคงเหลือ 59 ล้านบาท

หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น

  • หนี้สินมีมูลค่าในสิ้นไตรมาสปัจจุบันอยู่ที่ 349.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 94.5 ล้านบาท
  • หนี้สินการค้า เพิ่มขึ้น 60.2 ล้านบาท
  • หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยส่วนของ สัญญาเช่า เพิ่มขึ้น 29.9 ล้านบาท
  • ส่วนของทุนที่ออกและชำระแล้ว 5,059.6 ล้านบาท
  • ส่วนของผู้ถือหุ้น 12,972.3 ล้านบาท ลดลง 510.3 ล้านบาท
  • ส่วนของ NCI ลดลง 75.9 ล้านบาท

Key Financial Ratio

  • DE Ratio ณ สิ้นไตรมาสปัจจุบันอยู่ที่ 0.02 เท่า เพิ่มขึ้น
  • ROA ลดลงเหลือ 2.4%
  • ROE ลดลงเหลือ 2.4%

ภาพรวมทั้งหมดนี้คือผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของบริษัท SPCG และบริษัท ย่อยประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ครับ

ถัดมา จะเข้าสู่ช่วงของ Q&A นะคะ ซึ่งตอนนี้มีคำถาม จากนักลงทุนเข้ามาเพียงแค่ 1 คำถามนะคะ ค่ะ ก็เราเริ่มที่คำถามแรกนะคะ เอ่อคำถามที่ 1.1 นะคะ จะมี 2 คำถามย่อย ก็คือโครงการโซล่าฟาร์มที่ญี่ปุ่น จะต้องชำระเงินลงทุนที่เหลือในจำนวนเท่าไร แล้วก็แผนชำระเงินเป็นเมื่อไหร่ แล้วก็แหล่งเงินมาจากไหน

ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [เริ่มในนาทีที่ 44:19]

โครงการ Solar Farm ในญี่ปุ่น

  • เงินที่ต้องชำระเพิ่มเติมในโครงการที่ญี่ปุ่น คือ Fukushima Mega Solar ประมาณ 4,759 ล้านเยน
  • คาดว่าจะจ่ายเงินเข้าไปในช่วงประมาณภายในปีนี้ ที่เป็นเงินสดก็อยู่ประมาณสัก 1,200 ล้านเศษ โดยประมาณ ในอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน
  • แหล่งเงินทุน คือเงินที่ Generate Cash สะสมไว้ เพื่อเตรียมในการลงทุน
  • อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ และผลตอบแทนที่ได้รับแล้ว สำหรับโครงการในปัจจุบัน ในส่วนโครงการน่ะค่ะ เป็นเท่าไหร่คะ
  • โครงการที่ COD แล้วรับรู้รายได้มา 6-7 ปีแล้ว คือ Tottori เฉลี่ยประมาณ 5-6% โดยประมาณ
  • โครงการ Kagoshima ซึ่ง COD ไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ อาจจะอย่างเร็วสุดอาจจะเป็นช่วงประมาณปีหน้า
  • โครงการในญี่ปุ่นที่ Model ตัวเลข ผลตอบแทนจะอยู่เฉลี่ยประมาณ 7-8% โดยประมาณ แต่ว่าตอนนี้อยู่ระหว่าง Revise ตัว Model ทางการเงิน

โครงการ EEC

  • โครงการ EEC มีความคืบหน้า คดีฟ้องร้องไหมคะ
  • ข้อมูล ณ ปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้า ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของทางศาล

สำหรับความคืบหน้าของโครงการ EEC เนี่ย ทางบริษัท เนี่ย ก็จะได้มีการเปิดเผยเอาไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงินนะคะ สงบการเงินไตรมาสที่ 1 กับ ไตรมาสที่ 2 รวม ถึงมีการแจ้งข่าวในเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์นะคะ ที่อัปเดตล่าสุดนะคะ ก็คือเริ่มต้น ที่เดือนกุมภาพันธ์นะคะ ได้มีการยื่นฟ้องร้อง นะคะ ต่อ กกพ นะคะ ประมาณช่วงปลาย ๆ เดือนกุมภาพันธ์นะคะ ต่อ ศาลปกครอง ส่วน ในเดือนมีนาคมนะคะ ก็ได้เพิ่มเติม โดยการยื่น ฟ้องร้องต่อศาลแพ่ง นะคะ ส่วน ในเดือนเมษายนนะคะ เราก็ได้มีการแจ้งข่าวว่า ทางศาลปกครองนะคะ ก็ ไม่ได้รับ ฟ้องนะคะ อยู่ อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ค่ะ ก็ จะ ความคืบหน้า ก็จะมี สเต็ป เพียงเท่า นี้นะคะ ที่ตอนนี้เราได้แจ้งข่าว ตลาดหลักทรัพย์ แล้วก็ได้เปิด ของการเงินเอาไว้นะคะ เอ่อทางนักลงทุนสามารถ เอ่อติดตามได้นะคะ ข่าวจาก เว็บไซต์ตลาดทรัพย์ ได้เรื่อย ๆ นะคะ

ก็หมดคำถามแล้วนะคะสำหรับวันนี้นะคะ หากท่านนักลงทุนนะคะ ท่านใดมีคำถามเพิ่มเติมนะคะ ก็สามารถส่งคำถามเข้ามาได้นะคะ ตาม Contact ที่เราให้ไว้ในสไลด์หลังสุดนะคะ ไม่ว่าจะเป็นทางอีเมลนะคะ หรือว่าติดต่อเข้ามา ทางโทรศัพท์นะคะ อีเมลก็คือ info@spcg.co.th นะคะ แล้วก็โทรศัพท์ 020118111 นะคะ สามารถโทรเข้ามาสอบถามได้ตลอดเวลานะคะ หากวันนี้ เอ่อส่งคำถามเข้ามาไม่ทัน ก็หลังจากนี้ ก็สามารถส่งคำถามเข้ามาได้ค่ะ

โดยสรุปแล้ว SPCG ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น พร้อมทั้งมุ่งสู่การเป็นองค์กรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

หัวข้อที่ถามและคำตอบที่ผู้บริหารตอบในคลิป
  • เงินลงทุนที่เหลือในโครงการโซลาร์ฟาร์มญี่ปุ่น และแหล่งเงินทุน
  • อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากโครงการในญี่ปุ่น
  • ความคืบหน้าคดีฟ้องร้องโครงการ EEC

โพสต์ล่าสุด