บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
TSE: โอกาสเติบโตในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและสุขภาพ ปี 2568
P/E -100.00 YIELD 0.00 ราคา 0.37 (0.00%)
TSE: โอกาสเติบโตในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและสุขภาพ ปี 2568
สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับนักลงทุนและผู้สนใจทุกท่าน เข้าสู่งาน Opportunity Days ประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ของกลุ่มบริษัท ไทยโซล่าร์เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ค่ะ
Agenda ในวันนี้มี 4 หัวข้อหลัก ได้แก่
- Company Overview: ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและการดำเนินงานของบริษัท
- Highlight ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2568
- Company Outlook: Business Outlook ของบริษัทในอนาคต
- Q&A Session: เปิดโอกาสให้ผู้สนใจถามคำถาม
Company Overview: กลุ่มบริษัท ไทยโซล่าร์เอ็นเนอร์ยี่ ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้งไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน โซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ โซลาร์ฟาร์ม Rooftop บนหลังคา และโรงไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวล จำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้ทั้งภาครัฐและเอกชน ในปี 2568 มีการแตกไลน์ธุรกิจไปสู่กลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพ คลินิก IVF และกำลังต่อยอดไปสู่กลุ่มธุรกิจด้าน Wellness เพื่อสร้าง New S-Curve ใหม่ๆ ให้กับกลุ่มบริษัท
ปัจจุบัน บริษัท ไทยโซล่าร์เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) เข้าสู่ตลาด MAI ตั้งแต่ปี 2557 และเข้าสู่ตลาด SET ในปี 2562 ในกลุ่มหมวดหมู่พลังงาน มี CG Score หรือคะแนนด้านธรรมาภิบาลขององค์กรอยู่ที่ 4 ดาว และมี Triss Rating อยู่ที่ Triple B Stable (As of เดือนมีนาคม 2568)
ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท อันดับที่ 1 คือ UBS AG Singapore อันดับ 2 คือ คุณแคทลีน มาลีนนท์ และอันดับ 3 คือ บริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง ตามลำดับ
Timeline สำคัญของ TSE:
- ปี 2551: เริ่มก่อตั้ง Thai Solar
- ปี 2554: เริ่ม COD โซลาร์ฟาร์มแห่งแรก (Solar Farm Thermal) จำนวน 44.5 MW
- ปี 2556: COD โครงการโซลาร์ฟาร์มเพิ่มอีก 5 โครงการ ร่วมกับ GPSC (รวมทั้งหมด 10 โครงการ)
- ปี 2557: เข้าสู่ตลาด MAI และ COD โครงการโซลาร์ฟาร์มเพิ่มเติมกับ GPSC
- ปี 2558-2560: ขยายธุรกิจไปทำโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่น และโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล ขยายธุรกิจไปยังประเทศญี่ปุ่น และ COD โซลาร์ฟาร์มแห่งแรก ขนาด 0.5 MW และต่อยอด COD Solar Rooftop เพิ่มเติมอีก 9 MW
- ปี 2560: เริ่มลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล 3 แห่ง และโครงการ Onikoube ในประเทศญี่ปุ่น
- ปี 2561-2562: เริ่มทำ M&A (Mergers and Acquisitions) เพื่อ acquire โครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ เพิ่มเติมใน portfolio COD โรงไฟฟ้าชีวมวลเพิ่มเติม 22.2 MW, COD โครงการโรงไฟฟ้าญี่ปุ่นเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง 15 MW และ acquire โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มในประเทศไทย 20 MW
- ปี 2562: ก้าวเข้าสู่ตลาด SET
- ปี 2563-2567: ขยายธุรกิจในกลุ่มธุรกิจด้าน Private PPA หรือการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่หน่วยงานเอกชนเพิ่มเติม, ซื้อโครงการโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มเพิ่มอีก 10 MW, COD โครงการโซลาร์ลอยน้ำแห่งแรก (Private PPA ร่วมกับเอกชน) ขนาด 8 MW, ได้รับการคัดเลือกในโครงการ RE Big Lot (Solar Big Lot) เฟส 1 ทั้งหมด 7 โครงการ รวมทั้งสิ้น 92.96 MW และเฟส 2 ทั้งสิ้น 21 โครงการ รวมทั้งสิ้น 136.1 MW
- ปลายปี 2567: ปรับปรุงประสิทธิภาพโครงการโรงไฟฟ้า ทำให้เพิ่มผลการผลิตได้ประมาณ 15%
- ปี 2568: ปรับปรุง Debt Restructuring, ไถ่ถอนหุ้นกู้ และจ่ายคืน Bond 200 ล้านบาท, อนุมัติจากบอร์ดในการ divest โครงการ SSE1 ที่เป็น Solar Farm ออกไป 80 MW และในกลุ่มชีวมวลได้มีการ acquire MW เพิ่มเติมจาก PEA 0.6 MW (สัญญา 2 ปี), ขยายไปสู่กลุ่มธุรกิจสุขภาพ โดย acquire BIC ธุรกิจกลุ่ม IVF และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไวทาห์พาม จำกัด และต่อยอดสู่กลุ่มธุรกิจสุขภาพ
ปัจจุบันมีกำลังไฟเสนอขายทั้งสิ้น 62 โครงการ จำนวน 382.86 MW แบ่งเป็น:
- โครงการโซลาร์ฟาร์มและโซลาร์ Floating ในประเทศไทย 17 โครงการ (117 MW PPA)
- โซลาร์ Rooftop 14 โครงการ (14 MW)
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล (Biomass) 3 โครงการ (22.80 MW)
- โครงการ Solar Big Lot เพิ่มเติม 28 โครงการ (229.06 MW)
โครงการต่างๆ ในประเทศไทย:
- โครงการโซลาร์ฟาร์มของกลุ่มบริษัท
- โครงการโซลาร์ฟาร์ม Floating ที่อุตสาหกรรมกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี
- โครงการโซลาร์บนหลังคา HomePro และ The Mall ทั่วประเทศ
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล 3 แห่ง (22.8 MW)
Highlight ของปี 2568 (Q1):
- เข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมด (100%) ของ BIC (Bangkok Infertility Center) หรือคลินิก Bangkok IVF
- ชำระคืนหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2566 มูลค่า 1,200 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยครบถ้วนตามกำหนด สะท้อนถึงสถานะการเงินของกลุ่มบริษัทที่แข็งแกร่ง
- คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจำหน่ายหุ้นของบริษัท ไทยโซล่าร์ รีนิวเอเบิล จำกัด (TSR) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ TSE โดย TSR ถือหุ้นในกลุ่มธุรกิจนี้ 60% หรือจำนวน 35 ล้านหุ้น มูลค่าประมาณ 1,800 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2568
ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2568:
- รายได้รวม: 345 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจาก 312 ล้านบาท หรือ 11% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน)
- ต้นทุนขาย: 225 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 203 ล้านบาท หรือ 11%)
- กำไรขั้นต้น: 120 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจาก 109 ล้านบาท หรือ 10%)
- ต้นทุนทางการเงิน: 56 ล้านบาท (ลดลง 19 ล้านบาท หรือ 25%)
- กำไรสุทธิ: 65 ล้านบาท (ลดลง 33% เนื่องจากปีที่แล้วมีส่วนแบ่งกำไรเข้ามา 101 ล้านบาท)
หากไม่รวมส่วนแบ่งกำไรของปีที่แล้ว ผลการดำเนินงานปี 2568 จะพบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่มบริษัทสามารถพลิกจากขาดทุน 4 ล้านบาท มาเป็นกำไรสุทธิ 65 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 17% จากการดำเนินงานปกติเฉพาะที่เป็นส่วนของบริษัท
- EBITDA จากการดำเนินงานปกติ: 187 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 37 ล้านบาท หรือ 24%)
- กำไรต่อหุ้น: 0.03 บาทต่อหุ้น (ลดลงจาก 0.05 บาทต่อหุ้น)
- อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio): 1.56 เท่า (ลดลงจาก 1.58 เท่า ณ สิ้นปี 2567)
- อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) จากการดำเนินงานปกติ: 2% (เท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน)
สินทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 7,724 ล้านบาท มาอยู่ที่ 7,884 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2% สาเหตุหลักคือการเข้าลงทุนในสายธุรกิจ Healthcare หนี้สินรวมเพิ่มขึ้นจาก 4,736 ล้านบาท มาอยู่ที่ 4,807 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2% ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 2,988 ล้านบาท มาอยู่ที่ 3,077 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 3%
โครงสร้างหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยรวมอยู่ที่ราว 4,000 ล้านบาท สัดส่วนของหนี้จากหุ้นกู้ลดลงจาก 59% (สิ้นปี 2567) เหลือ 29% (ไตรมาส 1 ปี 2568) ในขณะที่สัดส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงิน (Corporate Finance) เพิ่มขึ้นจาก 9% (สิ้นปี 2567) เป็น 40% (ไตรมาส 1 ปี 2568) การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลมาจากการชำระคืนหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2566 มูลค่า 1,200 ล้านบาท
อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อผู้ถือหุ้นปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.31 เท่า จากสิ้นปี 2567 ที่อยู่ที่ 1.35 เท่า
Business Outlook: ปัจจุบันความต้องการการใช้ไฟฟ้าของประเทศยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของภาคธุรกิจต่างๆ ในปี 2568 พลังงานหมุนเวียนยังมีแนวโน้มในการเติบโต โดยมีความต้องการในพลังงานหมุนเวียนจากทางภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวราว 2% และในภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้นถึง 15% กลุ่มไฟฟ้าที่ยังเป็นความต้องการหลักคือ Renew จากพลังงานแสงอาทิตย์และชีวมวล ซึ่งยังคงเป็นพลังงานหมุนเวียนหลักที่จำหน่าย โดยในปี 2568 คิดเป็นสัดส่วนรวมกันราว 78% ของการจำหน่ายให้ทางภาครัฐ และ 96% ของการจำหน่ายให้แก่ภาคเอกชน กลุ่มบริษัท TSE ดำเนินธุรกิจทั้งสองกลุ่มนี้
สำหรับภาคเอกชน มีการเติบโตในด้าน Renewable Energy จากกฎระเบียบทางการค้าที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น มาตรการการเก็บภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดนจากยุโรป ทำให้ภาคอุตสาหกรรมหันปรับตัวมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น องค์กรเอกชนในปัจจุบันมีการเห็นความสำคัญในกลุ่ม RE หรือการใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดมากขึ้น รวมถึงกลุ่มธุรกิจ Data Center ต่างๆ ที่มีความต้องการในการใช้พลังงานสะอาด ทำให้กลุ่มธุรกิจ Renewable Energy ยังเป็นความต้องการที่มากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน
จาก PDP Plan ในปี 2567 ล่าสุด ทางรัฐบาลได้มีการเพิ่มสัดส่วน Renewable Energy โดยมีการเพิ่มสัดส่วน Renew จากเดิม 30% เป็นถึง 50% ในตัวแผน PDP ปี 2567 สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการและเทรนด์ของการใช้พลังงานสะอาดที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน
TSE ได้ follow ตาม PDP Plan โดยในการคัดเลือก Solar Big Lot ในเฟสที่ 1 กลุ่มบริษัท TSE ได้รับการคัดเลือกทั้งสิ้น 88 MW เป็นจำนวนทั้งหมด 7 โครงการ และในปลายปี 2567 ในการคัดเลือก Solar Big Lot ในเฟสที่ 2 TSE ได้รับการคัดเลือกเช่นเดียวกัน จำนวน 21 โครงการ 136 MW PPA หรือกำลังไฟเสนอขาย ซึ่งคาดว่าจะได้มีการลงนามสัญญาและเห็นความชัดเจนเร็วๆ นี้
Business Plan 3 ปี (2567-2569):
- ปี 2567: เข้ามา focus ในกลุ่ม Solar Farm ในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น, เริ่มการลงทุน ก่อสร้าง เตรียมความพร้อมในการก่อสร้างโครงการ Solar Big Lot เฟส 1 และโซลาร์บิ๊กล็อต เฟส 2
- ต้นปี 2568: ขยายกลุ่มธุรกิจไปยังกลุ่มธุรกิจสุขภาพ และ acquire หุ้นของ BIC ที่ดำเนินธุรกิจด้านคลินิก IVF 100% และเปลี่ยนชื่อกลุ่มบริษัทเป็น บริษัท ไวทาห์พาม จำกัด เพื่อต่อยอดในกลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพและ Wellness ให้กับกลุ่มบริษัทเพิ่มเติม
- ขยายในกลุ่มธุรกิจด้าน Renewable Energy ในรูปแบบใหม่ๆ เช่น Solar Private PPA หรือการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับภาคเอกชนมากยิ่งขึ้น, โครงการ Private PPA ที่ทำร่วมกับรัฐบาล หรือESCO Model ตั้งเป้าในการ acquire MW เพิ่มเติม เพิ่มขึ้นในจำนวน 5-10 MW ต่อปี ในกลุ่ม Solar Private PPA นี้
- ศึกษาในกลุ่มธุรกิจด้านพลังงานสะอาดด้านอื่นๆ เพิ่มเติม โดยมีความสนใจในกลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะ และมีการศึกษา พูดคุยกับ partner ในการทำโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ คาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนภายใน 1-2 เดือนนี้
- แสวงหาโอกาสทางธุรกิจในการ acquisition หรือ M&A โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ เพิ่มเติมในประเทศไทย ตั้งเป้าในการ acquire เพิ่มเติมในส่วน renew ในปี ปีละ 10-20 MW PPA โดยคัดเลือกจากโครงการที่มีรายได้มั่นคงสม่ำเสมอ และโครงการที่สามารถรับรู้รายได้เข้ามาได้ทันที
- ปี 2569: มองหาในการ JV โครงการ Renewable อื่นๆ เพิ่มเติม ในตัว Solar Farm มีแผนในการ JV โครงการ Solar Farm เพิ่มเติมเช่นเดียวกัน, โครงการ Private PPA, โครงการ ESCO Model หรือ Direct PPA ตามนโยบายของทางภาครัฐที่จะประกาศเพิ่มเติมเข้ามา
- ปี 2570 เป็นต้นไป: จะมา focus กับตัวโครงการ Renew ตามแผนของรัฐบาล ทั้งในกลุ่ม Solar, Biomass และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะเพิ่มเติม, ขยายกลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพ และ Wellness เพื่อสร้าง New S-Curve ใหม่ๆ ให้กับกลุ่มบริษัท
Megawatt ของกลุ่มธุรกิจหลัก (Renewable Energy): ตั้งแต่ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน มีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยในปี 2567 มี MW acquire ทั้งสิ้น 246 MW และปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 390 MW คาดว่าในอนาคตในปี 2569 จะมีตั้งเป้าไปจนถึง 400 MW
กลุ่มบริษัทได้มีการขยายการลงทุนไปยังในกลุ่มธุรกิจเพิ่มเติมอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ กลุ่มธุรกิจสุขภาพ เนื่องจากกลุ่มบริษัทเห็นความเป็นไปได้ของกลุ่มธุรกิจนี้ในอนาคต โดยจะมีทั้งกลุ่มธุรกิจหลักในด้าน Renewable Energy และขยายการลงทุนไปยังกลุ่มธุรกิจสุขภาพและ Wellness เพิ่มเติมในอนาคต
ปัจจุบันได้ลงทุนในกลุ่มธุรกิจด้าน IVF และกำลังศึกษาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Wellness, คลินิกเฉพาะทาง, ขยายไปสู่ความงาม และด้านยาเภสัชกรรม
ด้วยประสบการณ์ของกลุ่มบริษัทกว่า 16 ปี ทางด้านพลังงานหมุนเวียนและเพิ่มเติมในด้านสุขภาพ กลุ่มบริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพในการเป็นผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนที่มีประสิทธิภาพและเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทั้งด้านธุรกิจและสังคม และมูลค่าเพิ่มในระยะยาวให้กับผู้ถือหุ้นของกลุ่มบริษัทต่อไป
Q&A Session:
เริ่ม นาทีที่ 49:21
-
หัวข้อ: การเติบโตในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน
- คำถาม: การเติบโตของบริษัทในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนจะเน้นไปที่ส่วนใด
- คำตอบ: การเติบโตจะเน้นใน 2 ส่วนหลัก คือ โซลาร์ฟาร์มในประเทศ และการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
-
หัวข้อ: แผนการลงทุนในต่างประเทศ
- คำถาม: มีแผนการลงทุนในต่างประเทศอย่างไรบ้าง
- คำตอบ: มองหาโอกาสในการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยจะเน้นการลงทุนในโครงการที่มีความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนที่แน่นอน
-
หัวข้อ: การเติบโตในธุรกิจสุขภาพ
- คำถาม: แผนการเติบโตในธุรกิจสุขภาพเป็นอย่างไร
- คำตอบ: วางแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังกลุ่ม Wellness และคลินิกเฉพาะทางอื่นๆ เพิ่มเติม โดยจะเน้นการลงทุนในธุรกิจที่มี synergy กับธุรกิจ IVF ที่มีอยู่
-
หัวข้อ: ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐ
- คำถาม: การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาครัฐมีผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร
- คำตอบ: ติดตามการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างใกล้ชิด และปรับตัวให้สอดคล้องกับนโยบายใหม่ๆ โดยจะเน้นการลงทุนในโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
-
หัวข้อ: ความเสี่ยงทางธุรกิจ
- คำถาม: มีความเสี่ยงทางธุรกิจอะไรบ้าง
- คำตอบ: ความเสี่ยงหลักคือความผันผวนของราคาพลังงาน และการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยจะบริหารจัดการความเสี่ยงโดยการ diversification ธุรกิจ และการลงทุนในโครงการที่มีความเสี่ยงต่ำ
-
หัวข้อ: การบริหารจัดการต้นทุน
- คำถาม: มีวิธีการบริหารจัดการต้นทุนอย่างไร
- คำตอบ: บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย และการเจรจาต่อรองกับ supplier เพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด
-
หัวข้อ: การสร้างความยั่งยืน
- คำถาม: มีแผนการสร้างความยั่งยืนอย่างไร
- คำตอบ: มุ่งมั่นที่จะสร้างความยั่งยืน โดยการลงทุนในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม
-
หัวข้อ: เป้าหมายในอนาคต
- คำถาม: มีเป้าหมายในอนาคตอย่างไร
- คำตอบ: เป็นผู้นำในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและสุขภาพในประเทศไทย และขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับกลุ่มบริษัท
-
หัวข้อ: ความสัมพันธ์กับผู้ถือหุ้น
- คำถาม: มีการสื่อสารกับผู้ถือหุ้นอย่างไร
- คำตอบ: สื่อสารกับผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยการจัดงาน Opportunity Days, การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางต่างๆ และการตอบคำถามของผู้ถือหุ้นอย่างโปร่งใส
โดยสรุป กลุ่มบริษัท TSE มุ่งมั่นที่จะเติบโตในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนและสุขภาพอย่างยั่งยืน โดยการขยายการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ บริหารจัดการความเสี่ยงและต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความยั่งยืน และสื่อสารกับผู้ถือหุ้นอย่างโปร่งใส