สรุป Oppday PTL: ผลประกอบการปี 2568 และทิศทางอนาคต

P/E -100.00 YIELD 4.94 ราคา 8.10 (0.00%)

สรุป Oppday PTL: ผลประกอบการปี 2568 และทิศทางอนาคต

Polyplex Group เป็นผู้ผลิตฟิล์มโพลีเมอร์ชั้นนำระดับโลก มีโรงงานผลิต 7 แห่งใน 5 ประเทศ ครอบคลุมภูมิภาคสำคัญๆ ทั่วโลก มีลูกค้าประมาณ 2,700 รายใน 85 ประเทศ ฟิล์ม BOPET เป็นธุรกิจหลักของบริษัท ซึ่งอยู่ในอันดับ 2 ของโลก (ไม่รวมจีน) ใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์อาหารและอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกจากนี้ยังเป็นผู้ผลิต PET film แบบครบวงจร มีการลงทุนใน polymeric substrates อื่นๆ เช่น BOPP และ CPP เพื่อขยายการนำเสนอผลิตภัณฑ์

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

  • ผลการดำเนินงาน: Normalized EBITDA ไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 535 ล้านบาท, ทั้งปี 2.5 พันล้านบาท, อัตรากำไร EBITDA 11%, ROE 6.4%
  • QoQ: ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 4%, EBITDA เพิ่มขึ้น 4%, กำไรสุทธิและ EPS สูงขึ้นเนื่องจากผลกระทบทางบวกจากการบัญชีภาษี
  • YoY: ปริมาณขายลดลงเล็กน้อย 2%, รายได้ลดลงเนื่องจากราคาขายเฉลี่ยต่ำลง, EBITDA ลดลง 6% เนื่องจาก value addition rate ต่ำลงในธุรกิจหลัก แต่ถูกชดเชยด้วย value addition ที่สูงขึ้นในธุรกิจ downstream และค่าใช้จ่ายคงที่ที่ลดลง
  • ภาพรวมทั้งปี: ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 2% เนื่องจากการฟื้นตัวของ downstream businesses (silicone coated film, Saralam), EBITDA และ PAT ปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากสภาวะตลาดที่ดีขึ้นและ value additions ที่สูงขึ้น แต่ถูกหักล้างด้วยค่าใช้จ่ายคงที่ที่สูงขึ้นในบางหน่วยงาน

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

  • การฟื้นตัวของความต้องการในตลาด downstream เช่น silicone coated film และ Saralam
  • การเติบโตของตลาดบรรจุภัณฑ์และการใช้งานทางอุตสาหกรรม
  • การขยายกำลังการผลิตใน polymeric substrates อื่นๆ (BOPP, CPP)
  • การลงทุนใน sustainable products และ applications

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

  • ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ (เช่น Crude oil, PTA, MEG)
  • การเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในจีน
  • ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Forex losses)
  • ค่าใช้จ่ายคงที่ที่สูงขึ้นในบางหน่วยงาน

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

  • การมุ่งเน้นไปที่ differentiated products, applications, และ customers (D-PAC) เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนในตลาด standard film
  • การกระจายฐานลูกค้าไปยังภูมิภาคต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดใดตลาดหนึ่ง
  • การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดต้นทุน
  • การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):

  • คาดการณ์การเติบโตของความต้องการฟิล์ม BOPET อย่างต่อเนื่องที่ 5-6% ต่อปี เนื่องจากการขยายตัวของเมือง, การเพิ่มขึ้นของการบริโภคบรรจุภัณฑ์, และการเติบโตของประชากร
  • การเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ในอุตสาหกรรมอาจถูกดูดซับโดยการเติบโตของความต้องการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
  • การขยายกำลังการผลิตในสหรัฐฯ และโครงการอื่นๆ จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการเติบโต
  • การมุ่งเน้นไปที่ sustainable development และ ESG

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [เริ่ม นาทีที่ 42:47]

  1. Q: ทำไมไตรมาส 4 ถึงมีผลขาดทุนมาก?

    A: ผลขาดทุนที่เห็นในรายงานเป็นผลจาก unrealized forex loss จำนวน 440 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานปกติ ดังนั้นบริษัทจึง normalize ผลกระทบนี้ในการรายงานผลประกอบการ

  2. Q: ฝ่ายบริหารคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสนี้อย่างไร?

    A: แม้จะมีปัจจัยผันผวนหลายอย่าง แต่ปกติแล้วไตรมาส 1 และ 2 ของปีปฏิทิน (ซึ่งตรงกับไตรมาส 4 ของปีการเงินของ PTL และไตรมาส 1 ของปีการเงินถัดไป) จะเป็นไตรมาสที่แข็งแกร่ง บริษัทคาดว่าผลประกอบการจะใกล้เคียงหรือดีกว่าไตรมาสที่แล้ว

  3. Q: โรงงานใหม่ในสหรัฐฯ ทำกำไรแล้วหรือยัง?

    A: โรงงานในสหรัฐฯ เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้ว และบริษัทคาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุน (EBITDA break-even) ในไตรมาสปัจจุบัน

  4. Q: สถานการณ์ตลาดและแนวโน้มเป็นอย่างไร?

    A: โดยทั่วไป มกราคมถึงมิถุนายนเป็นช่วงที่แข็งแกร่งในยุโรปและสหรัฐฯ แต่เนื่องจากมีวันหยุดทางศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความต้องการจึงอ่อนตัวลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยกำลังการผลิตส่วนเกินในอินเดียและจีน ไตรมาสปัจจุบันและไตรมาสที่แล้วจึงอ่อนแอกว่าที่คาดไว้

  5. Q: ภาษีของสหรัฐฯ เป็นประโยชน์ต่อบริษัทหรือไม่?

    A: ภาษีของสหรัฐฯ มีทั้งด้านบวกและลบ ด้านหนึ่งคือสร้างความไม่แน่นอน แต่อีกด้านหนึ่งคือบริษัทเป็นผู้ผลิตในประเทศ ดังนั้นการคุ้มครองจากภาษีจึงเป็นประโยชน์ อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ส่งออก specialty films จากไทยและที่อื่นๆ ซึ่งต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น โดยรวมแล้วบริษัทคาดว่าผลกระทบจะเป็นกลาง

  6. Q: ราคาขายของ Blown PE และ Blown PP films ในไตรมาสนี้เป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน?

    A: การลงทุนใน Blown PP ส่วนใหญ่เป็นการใช้ภายใน (captive consumption) สำหรับธุรกิจ silicone coating ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงราคาจึงเป็นเรื่องภายใน และไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจ silicone coating สำหรับ merchant sales บริษัทมีการ monitor value additions อย่างใกล้ชิด และ value additions สำหรับไตรมาสที่แล้วและไตรมาสนี้จะใกล้เคียงกัน

  7. Q: การใช้กำลังการผลิตของโรงงานใหม่เป็นอย่างไร? และคาดว่าจะใช้กำลังการผลิตเต็มที่เมื่อใด?

    A: การใช้กำลังการผลิตในสหรัฐฯ คาดว่าจะอยู่ที่ 70-75% ในไตรมาสปัจจุบัน และคาดว่าจะใช้กำลังการผลิตเต็มที่ภายในไตรมาส 3 หรือ 4 ของปีนี้ สินทรัพย์เดิมมีการใช้งานเต็มกำลังการผลิตอยู่แล้ว ดังนั้นการเพิ่มกำลังการผลิตจะเกิดขึ้นสำหรับสินทรัพย์ใหม่เท่านั้น

  8. Q: คาดการณ์ค่าเสื่อมราคาสำหรับสายการผลิตในสหรัฐฯ เป็นเท่าใด?

    A: ค่าเสื่อมราคาโดยประมาณจะอยู่ที่ 5-6 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี สำหรับการลงทุนใหม่ในสหรัฐฯ

  9. Q: ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) หลังจาก 3 ปีจะเป็นเท่าไร?

    A: เป็นเรื่องยากที่จะให้ตัวเลขที่แน่นอน แต่บริษัทคาดว่า ROE จะปรับตัวดีขึ้นทุกปี เนื่องจากการปรับปรุงพื้นฐานอุตสาหกรรม, การลงทุนในสหรัฐฯ, และการลงทุนใน differentiated products, applications, และ customers

  10. Q: ภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) จะมีผลกระทบต่อการส่งออกไปยังสหรัฐฯ หรือไม่? และจะต้องจ่ายภาษีมากขึ้นหรือไม่?

    A: ภาษีตอบโต้มีทั้งด้านบวกและลบ โดยรวมแล้วบริษัทคาดว่าผลกระทบจะเป็นกลางในรูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หากมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต บริษัทจะต้องประเมินผลกระทบอีกครั้ง

โดยสรุป Polyplex Group ยังคงมุ่งเน้นไปที่การเติบโตอย่างยั่งยืนและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น โดยมีกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งในการรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสในตลาดโลก

โพสต์ล่าสุด