สรุป Oppday VL Enterprise: วิเคราะห์ผลประกอบการ Q1/2568 และทิศทางอนาคตธุรกิจขนส่งปิโตรเลียม

P/E 28.08 YIELD 5.06 ราคา 0.79 (0.00%)

สรุป Oppday VL Enterprise: วิเคราะห์ผลประกอบการ Q1/2568 และทิศทางอนาคตธุรกิจขนส่งปิโตรเลียม

สวัสดีค่ะ ท่านนักลงทุน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ สื่อมวลชน และท่านผู้ชมทางบ้านทุกท่าน ดิฉันชุติภา กิ่นสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งาน Oppday ประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ก่อนอื่น ดิฉันขอแนะนำทีมผู้บริหาร คุณทัศนีย์ ถาวรชัยวัฒน์ CFO และคุณธเนศ ปุ้งเจริญเกียรติ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด

บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะขอนำเสนอผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ที่ผ่านมา และในวันนี้จะขอนำเสนออยู่ด้วยกัน 4 หัวข้อ หัวข้อแรกเป็นเรื่องของภาพรวมของบริษัท หัวข้อที่ 2 เป็นเรื่องของภาพรวมอุตสาหกรรมน้ำมันปิโตรเลียม และก็ปิโตรเคมีภัณฑ์ หัวข้อที่ 3 เป็นเรื่องของผลการดำเนินงานประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2568 และหัวข้อสุดท้ายเป็นเรื่องของบทสรุป

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

ในโลกที่ Supply Chain มีความสำคัญอย่างมากในการทำธุรกิจ บริษัทภูมิใจที่ธุรกิจของบริษัทเป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ที่เชื่อมโยงและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในหลากหลายด้านให้ต่อเนื่องไม่ขาดตอน ธุรกิจของบริษัทให้บริการขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ขนส่งผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ทางทะเล โดยการขนส่งทั้งในประเทศและก็ระหว่างประเทศในแถบ Southeast Asia สินค้าหลักๆ ที่ทำการขนส่งมีอยู่ด้วยกัน 5 ประเภท ได้แก่ น้ำมันดิบ น้ำมันเตา น้ำมันใส น้ำมันหล่อลื่น และก็น้ำมันปาล์ม

ปัจจุบันนี้มีเรือที่ประกอบธุรกิจอยู่จำนวน 12 ลำ ขนาดน้ำหนักบรรทุกรวมอยู่ที่ 38,000 กว่า DWT ตัน มีขนาดบรรทุกตั้งแต่ 1,500 ไปจนถึง 5,500 DWT ตัน อายุของกองเรือปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 18 ปี บริษัท VL เองนั้นมีสัญญาในการให้บริการอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท ประเภทแรกเป็นสัญญาระยะยาวเรียกว่า Contact of Offment หรือ COA อายุของสัญญาก็เริ่มตั้งแต่ 1 ปีไปจนถึง 13 ปี 2 สัญญาแบบเช่าเหมา หรือเรียกว่า Time Charter มีลักษณะการว่าจ้างอัตราเหมาจ่ายเป็นรายเดือนเท่าๆ กัน 3 สัญญาแบบรายเที่ยวหรือเรียกว่า Sport Charter คือตกลงกันเป็นเที่ยวๆ ไป

สำหรับบริษัท VL เองนั้นมีจุดแข็งในการให้บริการอยู่ด้วยกัน 5 ประเภท:

  1. บริษัทให้ความสำคัญในเรื่องของด้านความปลอดภัย สำหรับด้านความปลอดภัยนั้นเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ใน International Safety Management Code หรือเรียกว่า ISM Code จากสถาบันชั้นนำคือ Royal Lechester และบริษัทนั้น บริษัท VL ดำเนินภายใต้มาตรฐาน IMO คือ International Marine Organization
  2. บริษัท VL เป็นที่ยอมรับของกลุ่ม Oil Company International Marine Forum หรือเรียกว่า OCIMF ทำให้บริษัทได้รับการไว้วางใจจากคู่ค้ามายาวนาน
  3. บุคลากร หรือทีมผู้บริหาร มีความรู้ ความชำนาญ มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปี สามารถที่จะบริหารจัดการ และวางเป้าหมายเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง
  4. บริษัทให้ความสำคัญในเรื่องของสิ่งแวดล้อม บริษัทออกแบบตัวเรือที่มีโครงสร้างเป็นเรือเปลือก 2 ชั้น หรือเรียกว่า เรือ Double How มีการออกแบบโครงสร้างเพื่อป้องกันการเกิดน้ำมันรั่วไหลลงสู่ท้องทะเล ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานของ IMO คือในระดับ Tier 2 ซึ่งจะเป็นการช่วยสภาพให้อากาศสะอาดและยั่งยืนต่อไป
  5. อายุของกองเรือ ปัจจุบันนี้กองเรือมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 18 ปี ถือว่าเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศไทยนั่นเอง
  6. การให้บริการอย่างมีคุณภาพ บริษัทให้ความสำคัญในเรื่องของการขนส่ง โดยสินค้าต้องไม่ปนเปื้อน ต้องไม่เกิดการสูญหาย หรือเรียกว่า Oil Lost นั่นเอง จากต้นทางไปยังปลายทาง เป็นไปตามข้อกำหนดของคู่ค้า

ด้วยจุดแข็งทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาและเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศและระดับนานาชาติ การันตีด้วยรางวัลในเรื่องของการขนส่งดีเด่น การบริหารจัดการดีเด่น การจัดการด้านความปลอดภัยดีเด่น ที่บริษัทได้รับมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการมา จึงเป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพการให้บริการบนมาตรฐานสากลจากกลุ่ม Oil Company International Marine Forum หรือ OCIMF บริษัทจึงได้รับความไว้วางใจจากคู่ค้ามายาวนาน และดำเนินธุรกิจมายาวนาน

อีกประการหนึ่ง บริษัทได้ประกาศเจตนารมณ์เข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่ายในการต่อต้านทุจริตและคอร์รัปชั่น หรือเรียกว่า CAC เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายในการได้รับการรับรองจากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย ในปี 2570

บริษัท VL เองนั้นขนส่งทั้งในประเทศและก็ต่างประเทศ สำหรับการขนส่งในประเทศนั้นเป็นการขนส่งจากโรงกลั่นศรีราชา ระยอง กรุงเทพฯ ไปส่งยัง ไปส่งยังทางสมุทรสาคร สมุทร สงขราม สุราษฎร์ธานี บ้านดอน และสงขลา สินค้าที่ทำการขนส่งก็ได้แก่น้ำมันดิบ น้ำมันปิโตรเลียม น้ำมันหล่อ มีเรือที่ประกอบธุรกิจอยู่จำนวน 11 ลำ ขนาดน้ำหนักบรรทุกก็ตั้งแต่ 1,500 ไปจนถึง 5,500 DWT ตัน ขนาดน้ำหนักบรรทุกรวมอยู่ที่ 35,000 กว่า DWT ตัน โดยแบ่งออกเป็นเรือขนปิโตรเลียมจำนวน 8 ลำ และก็ขนน้ำมันดิบ 3 ลำ รูปแบบอายุของสัญญา ก็เป็นแบบสัญญาแบบ COA แล้วก็เป็นแบบ Time Charter

สำหรับการขนส่งระหว่างประเทศ เป็นการขนส่งในแถบ Southeast Asia ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม พม่า เป็นต้น สินค้าหลักๆ ที่ทำการขนส่งก็ได้แก่น้ำมันปาล์ม น้ำมันปิโตรเลียม และก็น้ำมันหล่อ ปัจจุบันนี้มีเรือที่ทำการขนส่งอยู่จำนวน 1 ลำ โดยการขนส่งน้ำมันปาล์ม ขนาดน้ำหนักบรรทุกก็อยู่ที่ 2,800 กว่า DWT ตัน รูปแบบของอายุของสัญญา ก็เป็นแบบ Sport Charter

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

ในลำดับต่อไป จะเป็นเรื่องของภาพรวมอุตสาหกรรมน้ำมันปิโตรเลียม ก็ปิโตรเคมีภัณฑ์ โดยคุณธเนศ ปุ้งเจริญเกียรติ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด จะเป็นผู้ดำเนินการต่อ อุตสาหกรรมน้ำมันปิโตรเลียมในประเทศ และอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม หรือการขนส่งน้ำมันปาล์มระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักๆ ที่เรือของเราให้บริการขนส่งอยู่ครับ

มาเริ่มในลำดับแรก จะเป็นในส่วนของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในประเทศไทย ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 ข้อมูลจากสำนักนโยบายและแผนพลังงาน ดัชนีอันแรกที่เราจะมาดูก็คือตัวที่จะการใช้พลังงานภายในประเทศนั่นเองครับ โดยที่ภาพรวมการใช้พลังงานของประเทศไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 158.67 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นประมาณ 1.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 โดยที่น้ำมันอากาศยาน หรือน้ำมันเจ็ท มีอัตราเพิ่มขึ้นประมาณ 15% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อย โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากภาคการท่องเที่ยว ที่มีการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งช่วยสนับสนุนภาคการบริการ แล้วก็ภาคการผลิตนั่นเองครับ

มาดูในรายผลิตภัณฑ์ มาเริ่มกันที่น้ำมันเบนซิน อัตราการใช้เฉลี่ยของน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 31.57 ล้านลิตรต่อวัน ลดลงประมาณ 0.4% โดยที่ในไตรมาสนี้ การใช้น้ำมันในกลุ่มเบนซินเริ่มเห็นสัญญาณของการชะลอตัวลง โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น การขยายตัวของรถไฟฟ้า รวมถึงการใช้งานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ที่มีการขยายตัวของผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี ก่อนครับ

ในส่วนของการใช้น้ำมันดีเซล อัตราการใช้เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 68.43 ล้านลิตรต่อวัน ลดลงไปประมาณ 1.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา อัตราที่ลดลงก็สอดคล้องกับข้อมูลของภาคการผลิตอุตสาหกรรมในบางกลุ่ม ที่เผชิญปัญหาในเชิงโครงสร้าง และการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศที่รุนแรงขึ้น อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ ซึ่งส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2568 นี้ มีแนวโน้มอยู่ที่ประมาณ 2%

และในกรณีที่สงครามการค้ารุนแรงมาก และภาษีนำเข้าของสหรัฐ มีอยู่ในอัตราที่สูงก็อาจจะทำให้เศรษฐกิจของไทยในปี 2568 นี้ จะมีการขยายตัวประมาณ 1.3% รวมทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือว่า IMF ปรับลดการคาดการณ์ GDP ของไทยลงมาอยู่ที่ 1.8% จากเดิมที่คาดกันว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.5-3%

ถ้าเรามาดูในส่วนของกราฟด้านบน ซึ่งเป็นอัตราการใช้น้ำมันเฉลี่ย ทั้งน้ำมันเบนซินและก็น้ำมันดีเซล จะเห็นได้ว่าการอัตราการใช้มีการปรับลดลง แต่ว่าเฉลี่ยในไตรมาสนี้ก็ยังไม่ได้น้อยไปกว่าไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมา โดยที่อัตราการใช้ของน้ำมันดีเซล เส้นสีแดงก็ยังเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 68 ล้านลิตร ก็ใกล้เคียงอยู่ และก็น้ำมันเบนซินเองอัตราการใช้ก็ยังอยู่ที่ประมาณ 31 ล้านลิตรต่อวัน ก็เฉลี่ยใกล้เคียงกับไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมาครับ และในส่วนของดัชนีชี้วัดอีกตัวหนึ่ง ก็จะเป็นในเรื่องของการกลั่นแล้วก็การผลิต

โดยที่ภาพรวมการกลั่นและการผลิตของไทย ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 นี้ มีอัตราการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 0.03% หรืออยู่ที่ 183 ล้านลิตรต่อวัน และมีการใช้กำลังการผลิตทั้งหมดอยู่ที่ 89.3% ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าไตรมาสที่ 4 ที่มีการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 86% โดยที่การผลิตในรายผลิตภัณฑ์ น้ำมันเบนซินปรับลดลงประมาณ 0.1% แล้วก็น้ำมันดีเซลลดลงประมาณ 9% โดยที่น้ำมันอากาศยาน หรือว่าน้ำมันเจ็ต ยังมีอัตราการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะที่ประมาณ 24% ก็สอดคล้องกับตัวเลขการท่องเที่ยวที่เติบโตเพิ่มขึ้นนั่นเอง ในส่วนของอัตราการใช้เรือ หรือที่เรียกว่า Utilization Rate อัตราการเฉลี่ย การใช้เรือ ในกราฟด้านล่าง ในไตรมาสที่ 1 นี้ ก็มีอัตราการใช้สูงกว่าไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 7% ถึงแม้ว่าปริมาณการใช้ และการผลิตอาจจะมีการปรับลดลงไปบ้าง แต่ว่าความต้องการในการใช้เรือของบริษัทก็ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากความเชื่อมั่นของลูกค้าในเรื่องของคุณภาพ และก็การให้บริการของกองเรือ VL ซึ่งก็สอดคล้องกับรายได้ในส่วนของการขนส่งภายในประเทศที่มีอัตราเติบโตขึ้นประมาณ 12% นั่นเองครับ

ในสไลด์ถัดมา ก็จะเป็นการคาดการณ์ความต้องการในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2568 นี้ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกร นักวิเคราะห์ก็คาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันเชื้อเพลิงไทยในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะโตอยู่ที่ประมาณ 0.7% โดยความต้องการในตลาดภาคขนส่งมีโอกาสขยายตัวประมาณ 1% จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตทางการเกษตร และการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ในขณะที่ความต้องการในภาคอุตสาหกรรมจะปรับลดลงเล็กน้อยประมาณ 1.4% ตามกิจกรรมการผลิตที่มีแนวโน้มหดตัวลง นอกจากนี้ความต้องการการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในภาคการผลิตไฟฟ้าของไทย ก็คาดว่าจะปรับลดลงประมาณ 14% ในปีนี้เนื่องจาก มีการกลับไปใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นเพื่อผลิตไฟฟ้านั่นเอง

โดยที่ถ้าเรามาดูการจำแนกของแต่ละตลาด ในส่วนของตลาดภาคการขนส่ง การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดภาคขนส่งของไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือน้ำมันดีเซล ใช้ในรถเพื่อการพาณิชย์ เช่น รถบรรทุก รถกระบะ หรือรถโดยสาร และก็น้ำมันเบนซิน ที่จะใช้สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และจักรยานยนต์นั่นเอง ถ้ามาดูในส่วนของน้ำมันดีเซล ความต้องการดีเซลในภาคการขนส่งของไทยคาดว่าจะขยายตัวประมาณ 1.3% ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากการขนส่งสินค้าภาคการเกษตรโดยรถบรรทุก หรือรถกระบะที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น จากผลผลิตการเกษตรที่ขยายตัวตามปริมาณน้ำของปีนี้ที่จะมีมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาของปี 2567 ในขณะที่ความต้องการน้ำมันดีเซลในการขนส่งนักท่องเที่ยวโดยรถโดยสาร ในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าสู่ประเทศไทยมีทิศทางเติบโตช้าลงจากฐานที่สูงของปี ก่อน และอุปสงค์น้ำมันดีเซลในภาคการขนส่งจะได้รับแรงกดดันจากระดับราคาดีเซลขายปลีกที่ยังคงทรงตัวสูงอยู่เนื่องจากประเทศไทยมีการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการตรึงราคาขายปลีกของน้ำมันดีเซล จึงอาจไม่สามารถปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลงได้ตามราคาน้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงในปี นี้

ในส่วนของน้ำมันเบนซิน ในปี 2568 นี้ความต้องการการใช้น้ำมันเบนซินในภาคการขนส่งของไทยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.5% จากที่ขยายตัว 0.1% ในปี 2567 เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินจะปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในทิศทางขาลง และตัวน้ำมันเบนซินก็ไม่ได้ถูกตรึงราคาเหมือนเช่นน้ำมันดีเซล ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้ความต้องการในการใช้น้ำมันเบนซินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ก็อาจจะเพิ่มขึ้นไม่สูงมากเนื่องจากปัจจัยด้านกำลังการซื้อของผู้บริโภคอาจจะยังไม่ฟื้นตัวดี นัก และจำนวนการใช้รถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ความต้องการเบนซินในปีนี้มีโอกาสขยาย ตัวเพียงเล็กน้อย

ในส่วนของภาคตลาดอุตสาหกรรม ตลาดอุตสาหกรรมไทยใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงหลักในกลุ่มเครื่องจักร เครื่องยนต์ เช่น เครื่องจักรกลทางการเกษตร เครื่องรถเคลื่อนย้ายวัตถุดิบ หรือสินค้าในโรงงาน และก็เครื่องจักรกลที่ใช้ในการก่อสร้างเป็นต้น สำหรับอุปสงค์น้ำมันดีเซลในภาคอุตสาหกรรมไทยในปี 2568 ในช่วงเวลาที่เหลือก็คาดการณ์ว่าจะหดตัวลงประมาณ 1.4% เพราะว่าถึงแม้ว่าน้ำมันดีเซลในภาคอุตสาหกรรมจะได้รับแรงหนุนจากการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตรที่เพิ่มมากขึ้น ตามการเติบโตของผลผลิตทางการเกษตร และการใช้เครื่องจักรกลสำหรับงานก่อสร้าง แต่ว่ากิจกรรมการผลิตก็มีแนวโน้มหดตัวลง ซึ่งทิศทางเนี่ยก็ปรับลดลงมา 3 ปี แล้ว ก็เป็นแรงกดดันที่ทำให้ความต้องการน้ำมันดีเซลสำหรับใช้กับเครื่องจักรในโรงงานมีทิศทางลดลง

และนี่ก็เป็นในส่วนของการคาดการณ์ความต้องการในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงที่เหลือของปี 2568

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

ในลำดับถัดไปก็จะเป็นในส่วนของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์น้ำมันปาล์ม หรือการขนส่งน้ำมันปาล์มระหว่างประเทศ โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 ประเทศหลักที่ผลิตน้ำมันปาล์มในภูมิภาคนี้ก็ได้แก่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งในไตรมาสที่ 1 นี้ การผลิตและการส่งออกของประเทศ อินโดนีเซียมีการปรับลดลงเล็กน้อยเนื่องจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ โลก และนโยบายการส่งออกน้ำมันปาล์มที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกอยู่บ้าง ประเทศคู่ค้าหลักก็คือประเทศจีน โดยที่อัตราการส่งออกของน้ำมันปาล์มจากอินโดนีเซียไปประเทศจีนเนี่ยมีอัตราส่งออกอยู่ที่ 23.5% และแนวโน้มในการนำเข้าของประเทศจีนเนี่ยก็ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อ ซึ่ง การที่ประเทศจีนนำเข้าไปก็คือเป็นเข้าไปบริโภคภายในประเทศซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมทั้งการใช้ในภาคอุตสาหกรรมอาหาร แล้วก็ซึ่งการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นเนี่ยก็สอดคล้องกับการขยายตัวของอุตสาหกรรมในประเทศจีน

ในส่วนของอัตราค่าขนส่งก็อาจจะมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามการลดลงของราคาน้ำมันบังเกอร์ หรือน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งในตลาดโลก ณ ปัจจุบันนี้มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

อัตราการใช้เรือของเรือต่างประเทศ Utilization Rate ของเรือต่างประเทศเนี่ยมีอัตราเฉลี่ยสูงกว่า 90% ซึ่งสูงกว่าในไตรมาสที่ 1 ของปีที่แล้ว เนื่องจากลูกค้าประจำของเราเนี่ยยังคงไว้ใจในเรื่องของคุณภาพการให้บริการกองเรือทำให้ลูกค้าเชื่อมั่น และยังคงใช้บริการเรือของเราอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้เนี่ย ในตลาดน้ำมันปาล์มเนี่ยก็ยังคงมีแนวโน้มที่ดีทั้งในแง่ของการผลิต และก็การบริโภคตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลก แต่ว่าทั้งนี้ทางบริษัทเองก็คงยังเฝ้าติดตามสถานการณ์ในเรื่องของนโยบายการส่งออกของผู้ผลิตหลัก ซึ่งจะมีผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณการส่งออก รวมทั้งการในเรื่องของการตั้งกำแพงภาษีของประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วก็สงครามการค้าโลกต่างๆ นะครับที่อาจจะส่งผลทางอ้อมได้

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

ในลำดับสุดท้าย บทสรุปผู้บริหาร คุณชุติภา กิ่นสุวรรณ นะคะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

โพสต์ล่าสุด