https://aio.panphol.com/assets/images/community/6463_98abcd.png

MTI Oppday สรุปประเด็นสำคัญจากผู้บริหาร ไตรมาส 1 ปี 2568

P/E 8.62 YIELD 5.23 ราคา 15.30 (0.00%)

MTI Oppday สรุปประเด็นสำคัญจากผู้บริหาร ไตรมาส 1 ปี 2568

1. **ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):**
  • การนำมาตรฐานรายงานทางการเงินฉบับใหม่ (TFRS 17) มาใช้ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 ส่งผลให้ต้องรายงานงบการเงินตามมาตรฐานใหม่นี้

  • การเติบโตของ Direct Premium อยู่ที่ 5.4% และ Insurance Service Revenue เติบโต 4.6%

  • บริษัทอยู่ในอันดับที่ 4 ของอุตสาหกรรม มี Market Share ประมาณ 7.2%

  • อัตราส่วนสินไหม (Claim Ratio) ปรับตัวดีขึ้นจาก 55.2% ในปี 2567 เป็น 54.9% ในปี 2568

  • การจัดการโครงสร้างประกันภัยต่อเป็นสิ่งสำคัญในการรองรับความผันผวน โดยเฉพาะผลกระทบจากสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change)

  • บริษัทมุ่งมั่นในเรื่อง Sustainability และต้องการสร้าง Sustainability Profit โดยเน้นการเติบโตที่มีคุณภาพและให้ความสำคัญกับ ESG

2. **โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):**
  • การกระจายผลิตภัณฑ์และช่องทางที่เหมาะสม รวมถึงการทำ R&D และนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า

  • โอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า (Electronic Car) การใช้ Solar และการเลี้ยงสัตว์

3. **ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):**
  • ความเสี่ยงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าสินไหมทดแทน

  • ความท้าทายในการจัดการค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งสัญญาประกันภัย ภายใต้มาตรฐาน TFRS 17

4. **วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):**
  • การนำแนวทางการบริหารจัดการ Operation ต่างๆ มาใช้ รวมถึงการใช้ RPA และ AI

  • การจัดการโครงสร้างประกันภัยต่อเพื่อรองรับความผันผวนจากภัยพิบัติ

5. **แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):**
  • การนำเสนอข้อมูลที่เป็นปัจจุบันมากขึ้นตามมาตรฐาน TFRS 17

  • การทำธุรกิจแบบ Stand Alone โดยดูจาก Insurance Service Revenue และ Insurance Service Expense

  • การปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและสถานการณ์ปัจจุบัน

6. **ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [เริ่ม Q&A นาทีที่ 58:14]**
  1. TFRS 17 ดีกับเรามากน้อยแค่ไหน

    • TFRS 17 ทำให้งบการเงินเป็นสากลมากขึ้น แต่ผลลัพธ์อาจไม่แน่นอน ต้องมองถึงเรื่องของระยะเวลา, สมมติฐาน, อัตราคิดลด, ค่าความเสี่ยง, และความเชื่อมั่นในการนำเสนอข้อมูล

  2. Loss Ratio แบบใหม่ต้องคำนวณอย่างไร

    • ไม่ได้เปลี่ยนวิธีการคำนวณ แต่ต้องพิจารณาแยกผลประกอบการของสัญญาประกันภัยที่ออก (Gross) กับสัญญาประกันภัยต่อที่ถือไว้ (Reinsurance)

  3. Combine Ratio แตกต่างด้วยหรือไม่

    • Combine Ratio แบบ Net on Net ใช้ข้อมูลจาก Insurance Service Expense และ Reinsurance Service Result หารด้วย Insurance Service Revenue

  4. มีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

    • ปัจจัยสำคัญคือ Acquisition Cost ซึ่งสามารถ Defer ได้ และรับรู้ตามระยะเวลาคุ้มครองของกรมธรรม์

  5. ค่าสินไหมจากแผ่นดินไหวบันทึกในไตรมาส 1 แล้วหรือยัง

    • มีการนำประมาณการค่าสินไหมจากแผ่นดินไหวเข้าไปในงบการเงินไตรมาส 1 แล้ว

  6. ผลการดำเนินงานของประกันภัยรถยนต์ในไตรมาส 1 เป็นอย่างไร

    • ธุรกิจรถยนต์มี Performance ที่ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากการควบคุม Loss Ratio ได้ดี

  7. บริษัทได้ทำตามมาตรฐาน TFRS 17 มาปรับใช้กับการรายงานปี 67 ด้วยหรือไม่

    • ยังใช้มาตรฐาน 4 ชุดเดิมในงบการเงินปี 67 และจะใช้ TFRS 17 ในงบไตรมาส 1 ของปีปัจจุบัน โดยมีการเปรียบเทียบกับงบที่ Restate ตาม TFRS 17

  8. มาตรฐานบัญชีใหม่กระทบต่อ Car Ratio หรือไม่

    • ผลกระทบหลักอยู่ที่ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขาย โดยใช้วิธี Defer Acquisition Cost และมีการทดสอบสมมติฐานต่างๆ แต่ Car Ratio ยังอยู่ในระดับที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก

  9. จะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายจ่ายปันผลหรือไม่

    • นโยบายการจ่ายปันผลไม่ได้กำหนดอัตราส่วนตายตัว และพิจารณาจากผลกำไรเป็นหลัก ส่วนนโยบายการลงทุนยังคงสอดคล้องตามเดิม โดยมีการปรับเปลี่ยนการจัดกลุ่มเงินลงทุนตาม TFRS 9 แต่ไม่กระทบมากนัก

โดยสรุป เมืองไทยประกันภัยยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีการปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานใหม่ และพร้อมรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้น

โพสต์ล่าสุด