สรุป Oppday CPALL: ผลประกอบการ Q1 ปี 2568 และ กลยุทธ์การเติบโต

P/E 13.94 YIELD 3.09 ราคา 44.00 (0.00%)

สรุป Oppday CPALL: ผลประกอบการ Q1 ปี 2568 และ กลยุทธ์การเติบโต

เรียนท่านนักลงทุนทุกท่าน, ขอต้อนรับสู่การแถลงผลประกอบการประจำไตรมาส 1 ปี 2568 ของบริษัท CPALL จำกัด (มหาชน) โดยในวันนี้ Investor Relation จะมานำเสนอผลการดำเนินงานและตอบคำถามจากนักลงทุน

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

สำหรับผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1 ปี 2568 จากงบการเงินรวม บริษัทรายงานรายได้รวมอยู่ที่ 252,881 ล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 4.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

สาเหตุหลักมาจากการปรับขึ้นของรายได้จากการขายสินค้าของทุกกลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ, ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกและศูนย์การค้า, และกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ตามการบริโภคภายในประเทศที่ยังมีการขยายตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงต้นปี เช่น มาตรการ Easy E-Receipt, มาตรการเงินโอนเฟส 2, และการท่องเที่ยวในไตรมาสนี้ที่ยังคงปรับตัวดีอย่างต่อเนื่อง

ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 7,585 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในส่วนของกำไรขั้นต้นในมุมของ Net บาทเองก็เติบโตเช่นกัน คิดเป็น 7.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุมาจากรายได้จากการขายสินค้าของทุกกลุ่มธุรกิจเพิ่มขึ้น ซึ่งยังคงมาจากกลยุทธ์ด้านสินค้าในทุกกลุ่มธุรกิจที่สามารถนำเสนอสินค้าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละช่วงเวลา

ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้นเป็น 22.8% ในไตรมาสนี้ และอัตรากำไรจากการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน อยู่ที่ 5.7% จากปีก่อนหน้า

ในส่วนของงบการเงินเฉพาะกิจการ รายได้รวมปรับเพิ่มขึ้น 6.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ปิดไตรมาส 1 ที่ 121,930 ล้านบาท และความสามารถในการทำกำไรก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับงบการเงินรวม ที่ปรับตัวขึ้นในทุกมิติ ทั้ง Net บาทและ Margin ด้วย และรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 1 อยู่ที่ 6,365 ล้านบาท

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

  • มุ่งเน้นที่จะเป็นจุดหมายปลายทางที่หนึ่งในใจลูกค้าเมื่อนึกถึงอาหารและเครื่องดื่ม สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกที่ และทุกเวลา
  • การขยายบริการ O2O ผ่าน 7-Delivery และ All Online ที่ยังคงได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า ทำให้ยอดขาย O2O เติบโตไปพร้อมๆ กัน และยังคงรักษาระดับยอดขายรวมไว้ที่ 11% สำหรับไตรมาสนี้
  • การนำเสนอสินค้าที่ไม่ตอบโจทย์เฉพาะนักท่องเที่ยวจีน แต่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวในหลายๆ สัญชาติ เช่น สินค้า Halal Food สำหรับนักท่องเที่ยวชาวอิสลาม
  • การออกสินค้าใหม่ๆ ที่เป็น Grab and Go Product ที่สามารถหยิบ อุ่นร้อน และทานได้ทันที

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

ความเสี่ยงจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ฝนตกหนักและน้ำท่วม ซึ่งส่งผลกระทบต่อจำนวนลูกค้าที่เข้าร้านต่อวัน และอาจส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยว

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

  • การนำเสนอสินค้าใหม่ๆ เพื่อดึงดูดทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้ากลุ่มใหม่
  • การใช้บริการ 7-Delivery เป็นตัวช่วยสนับสนุนยอดขายในช่วงที่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย
  • การนำเสนอสินค้าที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม
  • การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาอัตรากำไร

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):

  • การเติบโตของกลุ่มสินค้า Ready-to-Eat (RTE) ที่มี Margin ค่อนข้างดี
  • การขยายสาขาในต่างประเทศ โดยเฉพาะในกัมพูชาและลาว
  • การบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [เริ่ม Q&A นาทีที่ 22.23]

  1. Same Store Sales Growth (SSSG) ในไตรมาส 2
    • คำถาม: SSSG ในไตรมาส 2 อาจได้รับผลกระทบจากอากาศที่ไม่ร้อนเท่าปีก่อน
    • คำตอบ: ยอมรับว่าฝนตกเยอะในไตรมาสนี้ และปริมาณน้ำฝนสูงกว่าปีก่อนหน้า ซึ่งอาจส่งผลต่อลูกค้าที่เข้าร้านและนักท่องเที่ยว แต่บริษัทมีบริการ 7-Delivery ช่วยชดเชย และสัดส่วนยอดขายจาก Delivery ยังคงเติบโตอยู่
  2. ค่าไฟ
    • คำถาม: ค่า FT ที่ปรับลดลงจะมีผลต่อกำไรอย่างไร
    • คำตอบ: ค่าไฟต่อหน่วยที่ลดลงจะช่วยลดต้นทุน แต่บริษัทจะมอนิเตอร์ค่าไฟอย่างใกล้ชิด และหากฝนตกอากาศเย็นลง ก็จะใช้หน่วยไฟน้อยลง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าไฟโดยรวม คาดว่าจะเห็นผลในช่วงครึ่งปีหลัง
  3. นักท่องเที่ยวจีน
    • คำถาม: นักท่องเที่ยวจีนลดลง มีกลยุทธ์เพิ่มยอดขายอย่างไร
    • คำตอบ: นำเสนอสินค้าที่ไม่ได้เจาะจงนักท่องเที่ยวจีน แต่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวหลายชาติ เช่น Halal Food และสินค้าที่ตอบโจทย์คนไทยด้วยกันเอง
  4. Margin และ Ready to Eat (RTE)
    • คำถาม: บริษัทมีเป้าหมายขยาย RTE อย่างไร
    • คำตอบ: RTE เป็นสินค้าที่มี Margin ดี และบริษัทตั้งเป้าขยาย RTE เป็นหลัก แต่จะค่อยเป็นค่อยไป และจะนำเสนอสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ดูแลสุขภาพมากขึ้น เช่น สลัด และโปรตีนเชค
  5. การซื้อหุ้นคืน
    • คำถาม: บริษัทเคยประกาศซื้อหุ้นคืนเมื่อปี 2563 แต่ไม่ได้ซื้อจริง รอบนี้จะซื้อจริงไหม
    • คำตอบ: ปี 2563 เป็นช่วงโควิด หุ้นรีบาวด์กลับมา บริษัทจึงไม่ได้ซื้อหุ้นคืน แต่ปัจจุบันบริษัทจะพิจารณา Timing และราคาที่เหมาะสม และจะไม่กระทบกระเทือนตลาดหุ้น และหากมีการซื้อหุ้นคืน จะแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ
  6. สาขาในต่างประเทศ
    • คำถาม: สาขาในกัมพูชาและลาวมีเป้าหมายอย่างไร
    • คำตอบ: กัมพูชาตั้งเป้าขยายหลักสิบ ประมาณ 30 สาขา ลาวก็หลักสิบสาขา และทั้งสองประเทศยังได้รับการตอบรับที่ดี สินค้าที่ขายดีคือ RTE ที่มี Mix สูงกว่าไทย และเบเกอรี่
  7. ดอกเบี้ย
    • คำถาม: กนง. ปรับลดดอกเบี้ย บริษัทบริหารต้นทุนดอกเบี้ยอย่างไร
    • คำตอบ: บริหารจัดการโดยยึดข้อกำหนดสิทธิผู้ถือหุ้นกู้ไม่เกิน 2 เท่า ซึ่งบริษัททำได้ต่ำกว่า 2 เท่ามาตลอด และจะบริหารจัดการ Roll Over หุ้นกู้ ดูอายุหุ้นกู้ และอัตราดอกเบี้ย หากดอกเบี้ยขาลง บริษัทก็จะมี Cost Saving ในเรื่องดอกเบี้ยจ่าย โดยรวมจะพยายามบริหารให้ดอกเบี้ยไม่เกิน 4% และอายุหุ้นกู้ไม่เกิน 5 ปี
  8. บทบาทของ Lotus's Go Fresh
    • คำถาม: 7-Eleven มองบทบาทของ Lotus's Go Fresh อย่างไร
    • คำตอบ: Positioning ของ 7-Eleven และ Lotus's ต่างกัน 7-Eleven เน้นความสะดวกสบาย ซื้อแล้วทานได้เลย แต่ Lotus's เน้นซื้อของ Family Size กลับไปทานที่บ้าน
  9. Dividend Payout
    • คำถาม: อีก 3 ปีข้างหน้าจะจ่าย Dividend ประมาณกี่เปอร์เซ็นต์
    • คำตอบ: มีนโยบายจ่าย Dividend จากกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการสูงกว่า 50% ซึ่งบริษัทจ่ายสูงกว่า 50% มาโดยตลอด และจะพยายามจ่ายเพิ่มขึ้นในมุมของ Net บาท และ Pay Out Ratio
  10. สัดส่วนรายได้จาก RTE
    • คำถาม: สัดส่วนรายได้จาก RTE ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณเท่าไร
    • คำตอบ: ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 29-30% และพยายามปรับเพิ่ม Mix ของ RTE แต่ก็จะค่อยเป็นค่อยไป และจะนำเสนอ Product ใหม่ๆ ที่มี Margin ดี เช่น Nutrition และยาที่เป็นกัมมี่
  11. Same Store Sales Growth (SSS)
    • คำถาม: Same Store Sales Growth (SSS) ของทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่
    • คำตอบ: บริษัทใช้ Benchmark ของการวัด Same Store Sales Growth (SSS) เนี่ยอยู่ที่ GDP ของไทย ซึ่งทีนี้ถ้า GDP ของประเทศไทยเนี่ยถูกโดยภาคของการบริโภคเป็นหลัก ก็อาจจะมี Top Up บน Same Store Sales Growth (SSS) ที่เราจะเห็นได้ เดี๋ยวจะต้องมาดูกันว่าในภาพรวมมีการประมาณการตัว GDP ของไทยที่เท่าไหร่ อาจจะอยู่ที่ 2% กว่าๆ แต่เราจะยังยึดกลยุทธ์ในการนำเสนอสินค้าให้ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และพยายามบริหารอัตรากำไรในมุมมองต่างๆให้สามารถไปต่อได้
  12. เป้าหมายการเปิดสาขา
    • คำถาม: แผนการเปิดสาขาในปีนี้เป็นอย่างไร
    • คำตอบ: ยังคงเป้าเปิดสาขาในประเทศ 700 สาขาเหมือนเดิม กัมพูชาและลาวหลัก 10 สาขา และงบลงทุนทั้งปีอยู่ที่ 12,000-13,600 ล้านบาท โดยครึ่งหนึ่งเป็นการเปิดสาขาใหม่ และอีกครึ่งหนึ่งเป็นการลงทุนภายใน

โดยสรุป, CPALL ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 1 ปี 2568 ด้วยรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น แม้จะมีความท้าทายจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย แต่บริษัทก็สามารถปรับตัวและรักษาการเติบโตไว้ได้ด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลาย และการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ

โพสต์ล่าสุด