บทความ ข่าวสาร กิจกรรม

ไฮไลท์สำคัญ: กำไรลดฮวบ แต่ยังมีโอกาสจากหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น

JMT รายงานกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นในไตรมาส 1/2568 ที่ 330 ล้านบาท ลดลง 21.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 26.1% รายได้รวมลดลง 14.6% สาเหตุหลักมาจากการจัดเก็บหนี้จากพอร์ตลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่ลดลง แม้ว่ากระแสเงินสดจากการจัดเก็บหนี้รวม (รวม JK AMC) จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 4% แต่เฉพาะส่วนของ JMT ลดลง 7% นอกจากนี้ ยังมีการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต 175.6 ล้านบาท จากพอร์ตหนี้ที่จัดเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการ

วิกฤตเศรษฐกิจ: หนี้ครัวเรือนสูงเป็นความเสี่ยง แต่เปิดโอกาสให้ธุรกิจ AMC

ต้นไตรมาส 1 ปี 2568 ประเทศไทยยังคงเผชิญกับภาระหนี้ในระดับสูง โดยหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ประมาณ 88–90% ของ GDP และหนี้สาธารณะอยู่ที่ราว 64% ของ GDP แม้ว่า NPL ในระบบธนาคารจะยังทรงตัว แต่หนี้ระดับสูงที่ "ยังไม่เสีย" เหล่านี้สะท้อนแรงกดดันสะสมในระบบ มีแนวโน้มว่าหนี้เสียจะทยอยเพิ่มขึ้นจากกลุ่มลูกหนี้เปราะบาง โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อ SME และสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยและรายได้ที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้เปิดโอกาสให้ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) ในการรองรับพอร์ต NPL และ NPA ที่จะถูกปล่อยออกจากระบบ

ผลกระทบต่อกำไร: รายได้หด ต้นทุนพุ่ง ฉุดกำไรลดลง

กำไรสุทธิที่ลดลง 21.1% มีสาเหตุหลักมาจากรายได้รวมที่ลดลง 11.3% โดยเฉพาะรายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า (ลดลง 14.6%) รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผล และกำไรจากเงินให้สินเชื่อการซื้อลูกหนี้ (ลดลง 9.4%) และรายได้จากการรับประกันภัย (ลดลง 27.5%) ในขณะที่ต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้น 13.2%

สรุป: JMT เผชิญความท้าทาย แต่ยังคงมุ่งมั่นปรับกลยุทธ์

รายได้และกำไรที่ลดลงสะท้อนถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและหนี้ครัวเรือนที่สูง ซึ่งส่งผลให้การจัดเก็บหนี้ด้อยคุณภาพลดลง บริษัทมีการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น JMT ให้ความสำคัญกับการติดตามปัจจัยภายนอกและปรับกลยุทธ์อย่างระมัดระวังเพื่อรักษาเสถียรภาพของผลการดำเนินงาน แม้จะมีความท้าทาย แต่การเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในระบบก็อาจเป็นโอกาสให้บริษัทเข้าซื้อพอร์ตหนี้เพิ่มเติมได้