SCGP: เจาะลึกผลประกอบการ Q1/2568 และกลยุทธ์รับมือความผันผวน พร้อมมองหาโอกาสเติบโตในอนาคต

P/E 23.56 YIELD 3.57 ราคา 15.40 (0.00%)

SCGP: เจาะลึกผลประกอบการ Q1/2568 และกลยุทธ์รับมือความผันผวน พร้อมมองหาโอกาสเติบโตในอนาคต

สวัสดีครับ ท่านผู้ถือหุ้น นักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้ที่ให้ความสนใจในหุ้นของ SCGP เรากลับมาพบกันอีกครั้งในงาน Opportunity Day ของไตรมาสที่ 1 นะครับ อย่างที่ทุกท่านทราบว่าในไตรมาสที่ 1 โดยเฉพาะในช่วงปลายไตรมาสที่ 1 มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย จนข้ามมาถึงต้นไตรมาสที่ 2 วันนี้ถึงแม้จะเป็น Oppday ของไตรมาสที่ 1 เราขออนุญาตพูดถึงต้นไตรมาสที่ 2 ก็คือในเดือนเมษายนด้วยควบคู่กันไปนะครับ ท่านผู้ถือหุ้น นักลงทุน นักวิเคราะห์ รวมถึงผู้สนใจต่างๆ ก็อยากได้ทราบข้อมูลในส่วนนี้

สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของ SCGP เอง ต้องยอมรับว่าเกิดในสถานการณ์ที่ผันผวน เราเองก็เน้นตลาดในอาเซียน และเน้นในเรื่องของ Flexibility ในเรื่องการปรับตัว ส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับ Year on Year เมื่อ Q1 ปีที่แล้วก็ยัง Drop ลง

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)

รายได้รวม: 32,000 ล้านบาท ลดลง 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (Year on Year)

  • ปัจจัยหลักที่ทำให้รายได้ลดลง:
    • ราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ลดลง
    • ปริมาณการขายที่ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ส่งออก

EBITDA: 4,232 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

  • ปัจจัยที่ทำให้ EBITDA ลดลง:
    • ราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง
    • ต้นทุนวัตถุดิบหลัก (กระดาษรีไซเคิล RCP) ปรับตัวเพิ่มขึ้น

กำไรสุทธิ: 900 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (Q on Q) รายได้เติบโตขึ้น 3% ส่วนใหญ่มาจากปริมาณการขาย (Volume) ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ต้นทุนโดยรวมก็ลดลงด้วย ไม่เฉพาะต้นทุน RCP แต่รวมถึงต้นทุนพลังงานและค่า Freight ด้วย

สัดส่วนรายได้ตามธุรกิจ: กลุ่มที่ใกล้ชิดผู้บริโภคมีสัดส่วน 44% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า กลุ่มนี้รวมถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร, พลาสติก, กระดาษ และวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์

รายได้ตามประเทศ: ประเทศไทย 45% (เพิ่มขึ้น 2%), อินโดนีเซียและเวียดนามลดลงประมาณ 1% ในแต่ละที่ ยอดส่งออกอยู่ที่ 17% ใกล้เคียงเดิม โดยส่งออกไปจีนประมาณ 6% และอเมริกาประมาณ 4%

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)

ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร (Integrated Packaging Business): มีรายได้ 24,000 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ค่อนข้างคงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

โอกาสในกลุ่มบรรจุภัณฑ์:

  1. บรรจุภัณฑ์กระดาษ: ปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะในประเทศ ไทย, อินโดนีเซีย, และเวียดนาม (เติบโตถึง 7%)
  2. การเติบโตในกลุ่มประเทศอาเซียน: ตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียนยังคงเติบโตได้ดี

ธุรกิจเยื่อและกระดาษ: ยอดขาย 6,441 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

โอกาสในธุรกิจเยื่อและกระดาษ:

  1. บรรจุภัณฑ์อาหาร: รายได้เติบโตขึ้นจากการท่องเที่ยวและ Fast Food
  2. กระดาษ: กระดาษพิมพ์เขียนและ Specialty papers เพิ่มขึ้นจาก Volume ที่มากขึ้น
  3. เยื่อกระดาษ: Volume และราคาเพิ่มขึ้น

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)

ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ Polymer (พลาสติก): รายได้ลดลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวันหยุด Tet ที่เวียดนาม ซึ่ง SCGP มีฐานการผลิตหลักในกลุ่มพลาสติกอยู่ที่เวียดนาม

  • ความเสี่ยงด้านราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลง และต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น
  • ความเสี่ยงจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในตลาดโลก

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)

กลยุทธ์หลัก:

  • มุ่งเน้นตลาดในอาเซียนที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
  • เพิ่ม Integration Level โดยใช้กระดาษจากโรงงานของตนเองมากขึ้น
  • ขยายตลาดส่งออกไปยัง New Destination (Middle East, South Asia) เพื่อลดการพึ่งพาจีน
  • Cost Improvement: เพิ่มการใช้ RCP ในประเทศ (เป้าหมาย 55%), ปรับปรุง SKU ให้เหมาะสม
  • ลดหนี้สิน: เพิ่มทุนเพื่อลดภาระดอกเบี้ย

SCGP มีแผนในการเพิ่มทุนครึ่งหนึ่งของหนี้สินที่มีในอินโดนีเซีย เพื่อลดดอกเบี้ย โดยใช้เงินกู้ที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่า คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม ซึ่งจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยได้ประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)

SCGP มุ่งเน้นการลงทุนใน Growth Segment เช่น Healthcare Supply และ Food Packaging รวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยง

  • Healthcare: ร่วมมือกับ Once Medical เพื่อผลิตหลอดฉีดยาที่มี Safety Features คาดว่าจะเริ่ม Operation ได้ในมกราคมปีหน้า
  • Food Packaging: ร่วมมือกับ Huwa Japan เพื่อผลิต Flexible Packaging สำหรับอาหารสัตว์ชนิดเปียก โดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูง คาดว่าจะ Operate ได้ในอีก 2 ปีข้างหน้า

SCGP มี Cash on Hand อยู่ที่ 12,000 ล้านบาท และมีหนี้สินที่มีดอกเบี้ย 64,000 ล้านบาท (ดอกเบี้ยเฉลี่ย 4%) ทำให้มี Net Debt อยู่ที่ 51,000 ล้านบาท (Net Debt to EBITDA = 3.4 ซึ่งยังอยู่ใน Healthy Level)

แผนการลงทุน (CAPEX): 13,000 ล้านบาทต่อปี โดยแบ่งเป็น Growth CAPEX (M&P, Organic Expansion) 10,000 ล้านบาท และ Maintenance/ESG/Innovation 3,000 ล้านบาท

ESG: SCGP ใช้ Biomass Boiler 100% ในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงกล่อง (ติดตั้งแล้ว 2 โรง) และมีเป้าหมายในการลด Greenhouse Gas Emission รวมถึงการจัดการ Supply Chain อย่างยั่งยืน

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [เริ่ม Q&A นาทีที่ 52:00]

แนวโน้มไตรมาสที่ 2 จะเป็นอย่างไร?

ตอบ:

  • Volume: ยังคงมีการเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน (ไทย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย) ในกลุ่ม Domestic Consumption
  • Export: อาจชะลอลงบ้างในกลุ่มที่ส่งไปจีน แต่ไปยังประเทศอื่นๆ ยังคงดี
  • ราคา: ค่อนข้างคงที่ บางประเทศอาจมีการขึ้นราคาขายได้บ้าง (เช่น อินโดนีเซีย)
  • ต้นทุน: RCP น่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1, พลังงานและค่า Freight มีแนวโน้มลดลง

ยอดขายและ EBITDA ยังคงเป็นไปตามเป้าที่วางไว้หรือไม่? จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่?

ตอบ: ขณะนี้ยังไม่มีการปรับเป้าหมาย EBITDA 18,000 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์ยังผันผวนและ Sensitive ต่อ Trade War แต่ SCGP มี Mitigation Plan เพื่อรับมือผลกระทบ

งบลงทุนจะโฟกัสไปที่ธุรกิจในส่วนใด?

ตอบ:

  • การลงทุนทั่วไป: ปรับปรุงเครื่องจักร
  • Growth CAPEX: 8,000 - 10,000 ล้านบาท (M&P, Organic Expansion)
  • เน้นการลงทุนใน 2 ส่วน:
    • เสริมความแข็งแกร่งของ Supply Chain (เพิ่มโรงกล่องกระดาษในอินโดนีเซีย)
    • ธุรกิจที่มีการเติบโตสูงใกล้ผู้บริโภค (บรรจุภัณฑ์อาหาร, Healthcare)

หากจีนได้รับผลกระทบจากภาษีที่สูงขึ้น จะส่งผลต่อ SCGP อย่างไร?

ตอบ:

  • จีนอาจย้ายฐานการผลิตมายังอาเซียน ซึ่ง SCGP จะได้ประโยชน์จากการ Supply บรรจุภัณฑ์ให้กับโรงงานเหล่านั้น
  • หากจีนดึง Supply Chain มาด้วย (เช่น โรงกล่อง) จะส่งผลกระทบต่อ SCGP ในระยะยาว

ชื่อหัวข้อคำถาม - คำตอบ ที่ผู้บริหารตอบในคลิป

  1. ภาพรวมผลประกอบการ Q1/2568
  2. รายได้และ EBITDA ตามเป้าหรือไม่?
  3. การลงทุนเน้นส่วนไหน?
  4. ผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

SCGP ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตในระยะยาว โดยเน้นที่ตลาดอาเซียน การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า แม้ว่าสถานการณ์ภายนอกจะมีความผันผวน แต่ SCGP ก็พร้อมที่จะปรับตัวและคว้าโอกาสใหม่ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

โพสต์ล่าสุด