บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
ไขความลับ SUTHA: เจาะลึกผลประกอบการ Q4/2567 พร้อมโอกาสและความท้าทายปี 2568
P/E 14.96 YIELD 3.13 ราคา 2.56 (-0.78%)
ไขความลับ SUTHA: เจาะลึกผลประกอบการ Q4/2567 พร้อมโอกาสและความท้าทายปี 2568
1. **ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):**ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจของ SUTHA ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 พบว่ารายได้รวมอยู่ที่ 1,355 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 5% เมื่อเทียบกับปี 2566 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของปริมาณการขาย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเหล็กที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าเหล็กต้นทุนต่ำจากจีน
ตลาดก่อสร้างก็มีการชะลอตัวเนื่องจากยอดขายบ้านพักอาศัยลดลง ตลาดน้ำตาลก็ลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์กราวด์แคลเซียมคาร์บอเนตและหินผสมมีการเติบโตขึ้น รวมถึงตลาดเคมีภัณฑ์ก็เติบโตขึ้นเช่นกัน ต้นทุนด้านพลังงานยังคงเป็นส่วนสำคัญในการผลิตปูนขาว คิดเป็น 40-50% ของต้นทุนรวม และค่าขนส่งคิดเป็น 20-30%
2. **โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):**SUTHA มองเห็นโอกาสในการเติบโตในหลายด้าน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ที่บริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น และมีสัญญาระยะยาวกับลูกค้ารายใหญ่ นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการขยายตลาดไปยังกลุ่ม Non-Ferrous เช่น เหมืองทอง และการปรับปรุงน้ำเสีย
บริษัทยังมองเห็นโอกาสในการใช้ประโยชน์จาก Fugitive Emission (ก๊าซเรือนกระจก) Cleaning โดยใช้เคมีภัณฑ์ของบริษัทในการจัดการก๊าซพิษจากโรงเผาขยะ ซึ่งคาดว่าจะมีการขยายตัวทั่วประเทศ รวมถึงการขยายตลาดไปยังโรงงานแก้วและการใช้ปูนขาวในงานก่อสร้าง (Civil Engineering) ซึ่งอยู่ในแผนพัฒนาในอนาคต
3. **ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):**SUTHA เผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเหล็กที่ผู้ผลิตในประเทศประสบปัญหาจากการนำเข้าเหล็กลาคาถูกจากจีน ทำให้ลูกค้าหลายรายต้องลดกำลังการผลิตหรือเลิกกิจการ นอกจากนี้ ตลาดก่อสร้างก็ชะลอตัวลงเนื่องจากยอดขายบ้านพักอาศัยลดลง รวมถึงตลาดน้ำตาลที่ลดลงเล็กน้อย
นอกจากนี้ การแข่งขันในตลาดส่งออกก็มีความรุนแรง เนื่องจากมีผู้ส่งออกรายใหญ่อยู่ 3 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งไทยอาจเสียเปรียบในเรื่องของค่าขนส่ง
4. **วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):**SUTHA มีแผนที่จะแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ โดยการเน้นที่การเติบโตในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังมีศักยภาพ เช่น เคมีภัณฑ์ และการขยายตลาดไปยังกลุ่ม Non-Ferrous นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตและการใช้พลังงานสะอาด เพื่อลดต้นทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
บริษัทได้ชะลอการลงทุนเครื่องจักรใหม่ เนื่องจากกำลังการผลิตปัจจุบันยังเพียงพอต่อความต้องการของตลาด และนำเงินลงทุนไปชำระหนี้ระยะสั้นเพื่อลดภาระดอกเบี้ย นอกจากนี้ บริษัทยังมีการศึกษาการใช้เชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass) เช่น กากมะพร้าว เพื่อลดการใช้ถ่านหินและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
5. **แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):**SUTHA คาดการณ์ว่า GDP ของไทยในปี 2568 จะเติบโตไม่ถึง 3% แต่บริษัทตั้งเป้าที่จะเติบโตมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยเน้นที่กลุ่มอิฐมวลเบาและเคมีภัณฑ์ โดยเฉพาะไบโอพลาสติก นอกจากนี้ บริษัทยังมองเห็นโอกาสในการขยายตลาดส่งออกไปยังบังคลาเทศ เกาหลี ไต้หวัน และอินโดนีเซีย
บริษัทให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) และการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยมีแผนที่จะใช้เชื้อเพลิงชีวมวลและขยายการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) บริษัทมีเป้าหมายที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
6. **ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): เริ่ม นาทีที่ 35:19**- เป้าหมายการเติบโตปี 2568:
- ตั้งเป้าเติบโตจากปีที่ผ่านมา
- เน้นกลุ่มอิฐมวลเบาจากผลิตภัณฑ์ใหม่
- ลูกค้าอิฐมวลเบาขยายกำลังการผลิต
- อุตสาหกรรมเคมี (BioPlastic) โต
- ลูกค้าโรงงานเยื่อกระดาษ (ใกล้โรงงาน) ถ้าเดินเครื่องจะเป็น potential
- ยอด 2 เดือนที่ผ่านมายังไม่ตามเป้า ท้าทายมาก
- ปูนขาวอาจไม่ถึงเป้า แต่หินอ่อนและ GCC เกินเป้า
- สัดส่วนรายได้ในประเทศและต่างประเทศ:
- เน้นตลาดในประเทศ 90%
- Market share 35% (Market leader)
- ส่งออก 10%
- มองโอกาสส่งออก (Untapped market) เช่น อินโดนีเซีย (เหมืองนิกเกิล)
- ปูนขาวจะมีสินค้าทดแทนหรือไม่:
- CaCO3 ปรับ PH ต้นทุนต่ำสุด
- เทียบกับโซเดียมเบสหรือเกลือแล้วถูกกว่ามาก
- มั่นใจว่าไม่มีสินค้าใดมาทดแทนได้ (Disrupt ไม่ได้)
- แนวโน้มตลาดปูนขาวในและต่างประเทศ:
- ในประเทศค่อนข้างนิ่ง (สมดุล)
- อุตสาหกรรมไม่โตมากจากเศรษฐกิจ
- ผู้ผลิตที่มีกำลังการผลิตเหลือมองการ Export
- แข่งกัน 3 ประเทศ ไทย มาเลเซีย เวียดนาม
- ไทยเสียเปรียบเรื่องค่าเฟรด
- คู่แข่งในตลาดมีเพิ่มขึ้นหรือไม่:
- ไม่มีขยายกำลังการผลิต
- ไม่มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามา
- อุตสาหกรรมปูนขาวเป็นอุตสาหกรรมหนัก
- สัมปทานหินปูนยาก
- สัดส่วนการใช้พลังงานของบริษัท:
- เชื้อเพลิง 40% (Bituminous/Petcoke ตามราคาตลาด)
- ใช้ไฟ 5-10%
- เหมืองแร่ใช้ได้อีกกี่ปี:
- ประทานบัตรเหมือง 2043
- ต่ออายุจากปี 2023 ไปอีก 20 ปี
- แร่มีมากกว่านั้น
- คาดว่าจะสามารถต่อเหมืองได้อีก
- Balance โดยซื้อหินมายืดอายุ
- ศึกษาธรณีวิทยาเพื่อยืดอายุเหมือง
- สภาวะการแข่งขันและอัตรากำไรขั้นต้น:
- อัตรากำไรขั้นต้นปี 2024 อยู่ที่ 28% (โตจากปี 2023 4%)
- จากราคาต้นทุนเชื้อเพลิงลดลง
- ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 มาช่วยบริหารหรือไม่:
- ทั้ง 2 ฝั่ง (คาลมุส , GP Group) เข้า Board meeting ตลอด
- CEO มาจาก คาลมุส
- ให้คำปรึกษาและ connection กับบริษัทตลอด
- ราคาขายสามารถปรับได้หรือไม่ถ้าต้นทุนเพิ่ม:
- ปรับขึ้นทันทีในช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน (ถ่านหินขึ้น 2 เท่า)
- สามารถอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจได้ว่าเป็นปัญหาภายนอก
- ราคาขายช่วงปี 2022 จะเป็นพีคและเริ่มลงมาปี 2023
- บริษัทจะไปบุกประเทศที่ GDP เติบโตแรงๆ หรือไม่เช่นเวียดนาม:
- เวียดนามเป็นอีก 1 ประเทศที่ส่งออกปูนขาว
- มีแหล่งหินปูน (ทางเหนือ) เยอะมาก
- เทคโนโลยีการเผายังเป็นเตาดั้งเดิม
- มีถ่านหินของตัวเองต้นทุนถูก
- คุณภาพไม่ดี (อาศัยเรื่องคุณภาพแข่งกับเวียดนาม)
- เวียดนามมี Local supply อยู่แล้ว
- มีแนวโน้มลงทุนในตลาดใหม่หรือไม่:
- Soil Stabilized (เอาดินมาผสมกับปูนขาวสร้างถนน) กำลังศึกษาตลาด
- ถ้าสำเร็จจะเป็นตลาดศักยภาพมาก (Untapped market)
- ยุโรปใช้ค่อนข้างเยอะ
- ลดใช้ถ่านหินได้หรือไม่:
- Bio fuel ถ้าโปรเจคนี้สำเร็จจะลดการใช้ถ่านหินได้แน่นอน
- คำนึงถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจ (ต้นทุน Bio fuel สูง)
- อนาคตรัฐบาลเก็บ carbon ภาษี
- ยุโรปหลายรายใช้ Bio mass มากขึ้น
- การเพิ่มทุนครั้งที่ผ่านมาเพื่อลงทุนเครื่องจักรมีความคืบหน้าอย่างไร:
- เหมือนเดิม
- กำลังการผลิตเทียบกับตลาดค่อนข้างเหลือ
- เศรษฐกิจภาพรวมไม่เติบโตตามที่คาด
- เหล็กโดนผลกระทบจากเหล็กคุณภาพต่ำจากจีน
- หยุด Freeze ไว้ก่อน
- เอาไปชำระหนี้ระยะสั้นชั่วคราวก่อน
- หาธุรกิจใหม่ๆ ต่อเติมจากธุรกิจเดิมที่ดูเป็นตะวันตกดิน:
- ขยายกำลังการผลิต CaCO3 (น่าจะเสร็จกลางปีนี้)
- US เพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีน
- ผู้ผลิตจีนย้ายมาเมืองไทย (SPC Stone Plastic Composite) ไม้พื้น
- จีนเข้ามาเยอะมาก (เป็นลูกค้าเรา)
- ขยายกำลังการผลิตเพื่อจับตลาดนี้ (Growth Market)
- ทดแทน Sunset Industry เหล็ก
- เหล็กมี cycle มีขึ้นมีลง
- เหมืองเก่าจะปลูกป่าทดแทนไหม:
- มีแผนฟื้นฟูอยู่แล้ว
- เก็บเงิน Deposit ไว้แล้วทยอยเอาเงินออกาพัฒนา
- ศึกษาธรณีวิทยายืดอายุเหมือง
- ถ้าเทียบกำลังการผลิตยอดขายรวมในประเทศเป็นเบอร์ไหน:
- ถ้าในแง่ Market share เราเป็นเบอร์ 1
- ถ้าในแง่กำลังการผลิตเราเป็นเบอร์ 2
- ในตลาดประเทศเรามี Market share 35%
- บริษัทมีการ Shutdown Plant หรือไม่:
- Shutdown Plant เลยไม่มี
- ในอดีตมีปิดไปเลย (หน้าพระลาน)
- ปัญหาฝุ่น
- ย้ายกำลังการผลิตไปที่โรงงานอื่นแทน
- หน้าพระลานใกล้ชุมชน
- ปีนี้ไม่มี Shutdown Plant
- Shutdown Plant มีแต่สั้นๆ (เปลี่ยนอิฐทนไฟ)
- รถ EV ประหยัดได้เยอะหรือไม่และมีแผนขยายอีกกี่คัน:
- ใช้แค่คัน (รถตัก, ขนหิน)
- ยัง Save ไม่ได้เยอะมาก (ทดลองอยู่)
- ทดลองสำเร็จมีแผน 4-5 ปี ทดแทน
- ประหยัดกว่า (ถ้าเทียบกับดีเซล)
- ระยะทางยังไปไม่ได้มาก
- ใช้ขนหินระหว่างสาขา
- ระยะ 30 กม. สบาย
- 300 กม. ต้องมีพักชาร์จ (ยังไม่ค่อย Work)
- ใช้รถตักรถขนหินภายใน
- เทคโนโลยีแบตเตอรี่ดีขึ้นแน่นอน
- เห็นมีบริษัทคู่แข่งเปลี่ยนมาใช้ EV ค่อนข้างเยอะ:
- มี (สาขาใกล้แหลมฉบัง)
- ขนระหว่างโรงงานที่แหลมฉบังมาที่ท่าเรือ
- ระยะทางไม่ไกล
โดยสรุป SUTHA ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยภายนอก แต่บริษัทยังมีโอกาสในการเติบโตจากอุตสาหกรรมใหม่ และการปรับตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมถึงการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเติบโตในระยะยาว