บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
TPBI: สรุปผลประกอบการปี 2567 และแนวโน้มปี 2568 - โอกาสและความท้าทาย
P/E 6.54 YIELD 7.65 ราคา 3.92 (0.00%)
TPBI: สรุปผลประกอบการปี 2567 และแนวโน้มปี 2568 - โอกาสและความท้าทาย
สวัสดีค่ะ (คุณสมัยภรณ์ เอื้อไพบูลย์โรจน์, CEO TPBI Group) วันนี้ดิฉันและทีมงานมีความยินดีที่จะรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบปีที่ผ่านมาให้ท่านนักลงทุนได้รับทราบกันอีกครั้ง โดยจะขอรายงานท่านใน 4 หัวข้อหลักๆ เช่นเคย
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
ในปี 2024 ขนาดธุรกิจของ TPBI อยู่ที่ 5,600 ล้านบาท โดยมีพนักงานทั้งหมด 1,854 คน และยังคงดำเนินการอยู่ใน 4 โลเคชั่นตามเดิม โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
TPBI ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในด้านของการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เติบโตอย่างยั่งยืน ไปกับผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน บริษัทให้ความสำคัญกับการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้ามาโดยตลอด ในปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับ ESG Rating จากตลาดหลักทรัพย์ในระดับ Triple A
ในส่วนของ CG นั้น บริษัทอยู่ในระดับ 5 ดาวมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปีแล้ว และยังได้รับรางวัล ESG ในระดับ Best Sustainability Award
การเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในช่วงปีที่ผ่านมามีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.02 บาท
มีการอัปเดตผู้บริหารใหม่ 2 ท่าน: มิสเทอร์รี เทอร์เนอร์ (ดูแลธุรกิจ Paper Packaging ที่อังกฤษ) และคุณสหรัฐ (ตำแหน่ง CHRO)
หน่วยธุรกิจยังคงเป็น 4 กลุ่มธุรกิจตามเดิม: Consumable, Flexible, Paper และอื่นๆ
สัดส่วนที่สมดุลมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นยอดขายตามกลุ่มธุรกิจ หรือยอดขายตามจำแนกตามตลาดในประเทศและต่างประเทศ
ปี 2024 เป็นปีที่สามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมียอดการเติบโตที่ยอดขายอยู่ที่ 7.6% จากปีก่อนหน้า ซึ่งโตได้มากกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตโดยรวมของประเทศไทย ส่วนกำไรสุทธินั้นโตได้อยู่ที่ 10.7% Year on Year
หากไม่มีผลกระทบจากการปิดโรงงานที่พม่า กำไรที่แท้จริงควรจะอยู่ที่ 45% ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ในเรื่องแรกคือเรื่องของการ Execution แผนงานและกลยุทธ์ต่างๆ ที่วางไว้ก็ทำให้สามารถยกระดับการทำกำไรของตัว Consumable Packaging Business ขึ้นมาได้มากขึ้น
Flexible Packaging มีการขยายตลาดออกไปได้มากขึ้น และ Paper Packaging กลับมาทำกำไรได้อย่างชัดเจน
นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเพิ่มขึ้นในประเทศ ช่วย Boost Domestic Consumption ได้ดีทีเดียว
อัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนสินค้านั้นเป็น 2 ปัจจัยหลักที่มีผลสำคัญต่อธุรกิจ อัตราแลกเปลี่ยนมีการผันผวนค่อนข้างมาก แต่ก็สามารถจัดการโดยการ Hedging และติดตามอย่างใกล้ชิด โดยรวมแล้วค่าเงินบาทค่อนข้างอ่อนกว่าปีที่ผ่านมาก็ส่งผลบวกกับธุรกิจ
วัตถุดิบที่สำคัญๆ นั้นสามารถควบคุมและจัดการได้
การ Exit จากการลงทุนในพม่าทำให้สูญเสียและส่งผลต่อกำไรสุทธิไป 71 ล้านบาท
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):
การขึ้นภาษีของสหรัฐฯ อาจเป็นโอกาสหากประเทศอื่นที่มี Ranking ในการเป็นผู้ได้ดุลการค้ามากกว่าเราโดน Tariff ที่สูงกว่า หรือรัฐบาลเราเจรจาออกมาได้ผลที่ดี
อีคอมเมิร์ซและ Food Delivery ยังมี Demand อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะสนับสนุน Flexible Packaging และ Smart Packaging
นโยบายแจกเงิน 10,000 บาท มากน้อยก็มองว่าเป็นส่วนช่วยมาสนับสนุนแรงในการบริโภคภายในประเทศ
การมีดิว M&A หากมี Deal ดีๆ เข้ามาก็ควรจะพร้อมที่จะ Move on
การกลับมาใช้หลอดพลาสติกและถุงพลาสติกในสหรัฐฯ (เฉพาะภาครัฐบาล) อาจเป็นโอกาส หาก Demand มาก็พร้อม Supply
การมีExposure ในหลายอุตสาหกรรมและหลายประเทศ เป็นทางออกในการหลีกเลี่ยงการแข่งขัน
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):
Trade and Geopolitical Risk เป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้และต้องติดตามมาตลอด
Rising Cost และ Competitive Pressure เป็นสิ่งที่ต้อง Manage อย่างใกล้ชิดต่อไป
ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายรัฐบาล เป็นส่วนที่บริษัทจะต้องหาทางชดเชย
การแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่ง โดยเฉพาะจากจีน
ค่าเงินบาทที่ยังคงผันผวนและอยู่ในฝั่งค่อนข้างแข็ง
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):
ทำเรื่องของ Cost Saving เพื่อจะตุนเก็บใส่กระเป๋าไว้ก่อน ในส่วนที่ถ้าเกิดจะต้องนำออกมาใช้ถ้าเกิดมีเรื่องของ Tariff
ใช้ Hedging อย่างมีประสิทธิภาพในการเข้ามาลดแรงกระทบหรือเรื่องของ fluctuation จาก FX
เพิ่ม Productivity และเนื่องจากไม่ได้ลงเรื่องของการลงทุนระยะยาวๆ มาแล้ว ก็ทำให้เรื่องของค่าเสื่อมเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะมา Support
มุ่งเน้นการพัฒนา Product ใหม่ๆ โดยเฉพาะ Product ที่มีความยั่งยืนมากขึ้น (Green Product, Compostable Product)
Work ร่วมกับลูกค้า (Inquiry ตามสภาวะความต้องการของโลก) และมี Third Party มา Audit Material และ Process (PCR, ใบเซอร์)
Invest ในบางส่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงาน
Implement ระบบ SAP เพื่อ Integrated ระบบเข้าหากันและบริหารจัดการข้อมูลได้ดีขึ้น
ใช้ Automation (Bot) มาทดแทนบุคลากรในงานที่ทำซ้ำ
กระจายความเสี่ยง Move ไปในส่วนตลาดอื่นลูกค้าอื่น
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):
ความยั่งยืน (Sustainability) เป็น Key Highlight ที่มีการดำเนินการตามแผนงาน ESG ที่วางไว้และมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ ESG ในการดันหรือทำงานนำธุรกิจไปพร้อมๆ กับการทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืน
เน้น Circular Economy และ Climate Action อย่างต่อเนื่อง
อีคอมเมิร์ซและ Food Delivery จะยังคงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจ
ความแข็งแกร่งของ Balance Sheet จะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเติบโตในอนาคต
คาดว่า Finance Cost โดยรวมจะลดลงเนื่องจากการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ
วางเป้าหมายการเติบโตให้ Bottom Line โตมากกว่า Top Line
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [01:02:49]
Q: Utilization Rate ปี 2025 ของแต่ละสายงานอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่?
A: อยู่ในสไลด์เรียบร้อยแล้ว โดยภาพรวมดีขึ้น ยกเว้นในส่วน Paper ที่ Soft ลงบ้างแต่ By Design และยังทำกำไรได้ดีขึ้น
Q: ธุรกิจถุงซิปของ TPBI Sunny ปี 67 เริ่มมีกำไรหรือยังและปี 68 เป็นอย่างไรบ้าง?
A: ปี 67 ปลายปีกลับมาดีขึ้น เริ่มกลับมาทำกำไร แต่ทั้งปีเนื่องจากโดนภาวะ (เรื่อง Freight) ทำให้การส่งออกในบางเดือนไม่เป็นไปตามเป้า เลยยังมีติดลบบ้างเล็กน้อย แต่ถือว่าน้อยลงกว่าเดิมปีก่อนเยอะมาก และช่วงปลายปีต่อเนื่องมาถึงต้นปีเริ่มกลับมาทำกำไรได้ดี
Q: รายการ Investment ในเมียนมาใน Q1 ปีนี้ยังมียังมีเยอะไหม? มีโอกาสรับรู้กำไรจากการขายทรัพย์สินเมียนมาบ้างไหม?
A: ปีนี้ Q1 คงเหลือน้อยแล้ว ส่วนขายทรัพย์สินมีกำไร แต่ก็จะถูกหักกลบลบด้วย FX Loss ซึ่งเรายังเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง แต่โดยเบ็ดเสร็จแล้วคือ Q1 ก็จะมี Impact น้อยมากแล้ว และ Process การปิดก็คืบหน้า เป็นไปตาม Step ที่เราวางแผนไว้
Q: มีแผนตั้งโรงงานเวียดนามบ้างไหม? เพราะว่าเวียดนามมี FTA ช่วยการส่งออก?
A: เวียดนามอยู่ใน Monitor ของเราตลอดเวลา แต่สุดท้ายในภาพรวมเวียดนามถือเป็นประเทศที่ดี แต่สุดท้ายเราต้อง Match เข้ากับตัวธุรกิจ Model แล้วก็กลุ่มลูกค้าเราให้ได้ ตอนนี้ยังไม่ได้มีแผนออกมาเป็นแบบที่ชัดเจน แต่ว่าการ Monitor และตาม Mapping เพื่อให้เข้ากับธุรกิจ Model เรามีการเตรียมตัวตลอดเวลา รวมถึงเราก็มี Network ของเราภายในเวียดนามที่คอยอัปเดตข้อมูลกันอย่างต่อเนื่อง
Q: เรามีแผนการใช้ CAPEX อีกเท่าไหร่ในปีนี้ และคาดว่าค่าเสื่อมที่จะตัดจำหน่ายหมดอีกเท่าไหร่ในปีนี้?
A: CAPEX ปีนี้ยังคงคล้ายๆ โทนเดิมจากปีที่ผ่านมา คือยังไม่มี CAPEX ใหญ่ในการเรื่องของการเพิ่ม Capacity แน่นอนเรายังมีการติดตามสม่ำเสมอในเรื่องของถ้าจำเป็นต้องลง CAPEX เพื่อจะปรับเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน แต่ล่าสุดแล้วเราก็ดูและเทคโนโลยีล่าสุด ที่อาจจะต้องลงทุนเนี่ยเรามองว่าเราคงจะรออีกสักระยะหนึ่ง ให้มีการ Settled ของตัวเทคโนโลยีให้ดีขึ้นกว่านี้ก่อน แต่ปีนี้ยังมีการปรับปรุง เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือขยาย Bottom Neck ในบาง Process รวมถึงทางกรรมการอนุมัติให้มีการลงระบบ SAP ภายใน เริ่มตั้งแต่ปีนี้อยู่ในช่วงกำลังเริ่มทำ Blueprint อันนั้นจะเป็น CAPEX อีกก้อนหนึ่งซึ่งเรามองว่าเป็นการลงทุนสำหรับการปรับระบบ Backbone เพื่อการเติบโตต่อไปในระยะยาว ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะชดเชยด้วยในส่วนของ Depreciation ซึ่งก็เห็นจาก สไลด์ก่อนหน้า ที่เห็นว่า PPE เราลดลงมาอย่างต่อเนื่อง Depreciation ที่ลดเนี่ยก็แต่ละปีก็สะสมมาเรื่อยๆ ก็ทำให้เราสามารถที่จะใช้ส่วนนี้มาชดเชยได้
Q: เรายังสามารถ Lean Cost จากส่วนไหนได้อีกบ้าง? ถ้าค่าแรงขั้นต่ำขึ้นกระทบเราเท่าไหร่ครับ?
A: ในส่วน Lean Cost คงมีเรื่องของ Productivity เป็นเรื่องหลักที่เราทำกันอยู่ทุกปีแล้ว รวมถึงLean ในเรื่องของ Manufacturing ให้สอดคล้องกับการใช้ CAPEX (อัปเกรด, เพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักรในการผลิตให้ได้ Output ที่เยอะขึ้นในเวลาเท่าเดิม/ใช้ทรัพยากรลดลง (ค่าไฟ)), Automation (ลดการพึ่งพาการใช้แรงงาน), ลดความสูญเสีย (Scrap, เศษสูญเสีย), ลดความสูญเสียในเรื่องของเวลา ความสูญเปล่าในการผลิต ในส่วนของค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้นนั้นมีผลกระทบแน่นอน แต่จากการประมาณการก็คงจะเป็นแค่ Fractional Percentage และสามารถชดเชยได้ด้วยDepreciation และ Productivity
Q: ด้วยแนวโน้มด้านความยั่งยืนที่มาแรงในขณะนี้ บริษัทมีความมั่นใจอย่างไรในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า? และบริษัทมีสินค้าที่บริษัทมั่นใจว่าเป็นสินค้าที่สามารถตอบสนองด้านความยั่งยืนได้หรือไม่ อย่างไร?
A: ถึงณเวลานี้เราคิดว่าเรายังมีความมั่นใจ เพราะว่า ซึ่งก็ไม่ได้เป็นแค่ความรู้สึก ทางCEO ทั้ง2ท่าน สายภาพให้ท่านนักลงทุนเห็นว่าเรามีProductอะไรบ้างที่ได้Launchออกตลาดบ้างแล้วซึ่งมันเป็นการตอบโจทย์ในเรื่องนี้
กลุ่มลูกค้าหลักมีความต้องการใช้วัสดุที่เป็น Packaging ที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่ สามารถ Recycle ได้ เวลาที่ผลิตเราก็ต้องมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่เรียกว่าเป็นพวกMono Material นะครับเป็น กลุ่มของวัสดุซึ่งเป็นประเภทชนิดเดียวกันนะครับผลิตภัณฑ์เรื่องของPackagingที่เราเห็นอยู่จริงๆเป็นการLayerของชั้นPlasticหลายๆMaterialเข้าด้วยกันนะครับเพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราใช้พลาสติกซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกันมันก็จะสามารถที่จะง่ายในการที่จะนำกลับมาRecycleได้อันนี้จะเป็นตัวหลักที่ทำให้เห็น
สเตปถัดไป Recycle แล้วก็จะเป็น Post Consumer Recycle พร้อมกับใบเซอร์ (Third Party Audit Material/Process ว่าเราใช้ PCR ในProcess ของเราออกมาเป็นProductนี้จริงๆ) สเตปถัดไปก็คือเรื่องการที่วัดพวกCarbon Emissionต่างๆ (Carbon Footprint ของProduct ในการที่ขายซึ่งอนาคตเนี่ยถ้า นโยบายหรือTrendมันยังเป็นไปตามนี้เนี่ยทุกProductต่อไปก็ต้องมีเป็นCarbon Footprintของตัวเองแล้วก็ มันจะเป็นมูลค่าเป็นValueของตัวมันเองว่าเราขายเท่านี้ใช้Recycleเท่านี้ลดCarbonหรือมีCarbonเท่าไหร่มันก็จะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องภาษีหรือการซื้อขายกับลูกค้าได้ด้วย
Q: การที่สหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้าจีน แคนาดา เม็กซิโก เราได้ประโยชน์อะไรบ้างไหมครับ?
A: ในส่วนนี้ยังมีความไม่แน่นอนเนื่องจากนโยบายมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ลูกค้าอาจกำลังตัดสินใจอยู่ แต่โดยรวมแล้วคาดว่าจะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้
Q: เป้าหมายการเติบโต 2025 เป็นอย่างไร?
A: ยังคงวางอยู่บนทิศทางหลักเดิม คือ โฟกัสไปที่เรื่องของ Bottom Line ให้โตมากกว่า Top Line (Single High Digit) และเป็น Achievable
Q: ณ ปัจจุบันจะมี Deal M&A เพิ่มเข้ามาบ้างหรือไม่?
A: ยังคง Monitor อยู่ ช่วงนี้ยังไม่มี ด้วยอัตราหนี้ที่ไม่สูง และความแข็งแรงของ Balance Sheet เราก็เชื่อว่าถ้ามี Deal ดีๆ เข้ามาก็ควรจะพร้อมที่จะ Move On ได้
Q: บริษัทจะใช้ SAP จะลดต้นทุนลงมาเท่าไหร่?
A: กรอบความคิดของการลงทุน SAP ไม่ได้มองเรื่อง Cost Saving เป็น Priority แต่หลักแล้วมองเรื่องของระบบเดิมที่ใช้ Fragmented (แต่ละ Entity/BU เองก็มีระบบ Legacy ซึ่งไม่เชื่อมหากัน), อุปสรรคในการเติบโตต่อไป และการที่จะใช้เป็น Data Driven Organization SAP ลงรอบนี้ในลักษณะ Across BU เพื่อจะ Integrated ระบบเข้าหากันและทำให้สามารถบริหารข้อมูลและเป็น Data Driven Organization ได้
Q: ลูกค้ารายอุตสาหกรรมหลักๆ ของเราเป็นประเภทใด Top 3?
A: ค้าปลีก, Food Producer (อุตสาหกรรมอาหาร), Food and Service (Chain Restaurant)
Q: เราโดดเด่นเหนือคู่แข่งโดยเฉพาะจากจีนด้านไหนบ้างครับ ลูกค้าถึงเลือกร
A: Quality และ Service (Delivery On Time สำคัญมาก)
Q: การแข่งขันรุนแรงแค่ไหน รวมถึงการตัดราคามากน้อย? การเพิ่มทีมบริหารมา 2 คนเมื่อปีก่อนเพิ่มค่าใช้จ่ายมาเท่าไหร่?
A: การเพิ่มทีมบริหารมา 2 คนเป็นการ Replace ตำแหน่งเดิม ไม่ได้เพิ่มค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มขึ้น การแข่งขันรุนแรงหรือไม่ขึ้นอยู่กับช่วงจังหวะและตลาด เราอยู่ในหลายตลาด ภาพรวมการแข่งขันกับธุรกิจเราเป็นเรื่องคู่กันอยู่แล้ว ด้วยความที่เรามี Exposure ในหลายอุตสาหกรรมและหลายๆ ประเทศ ก็เป็นทางออกให้เราในการที่จะหลีกเลี่ยงการแข่งขันได้ ในบางจังหวะถ้าจำเป็น ตัดราคาในบางตลาด/ Segment/ลูกค้า สูงเกินไป จะกระจายความเสี่ยง Move ไปในส่วนตลาด/ลูกค้าอื่น
โดยสรุป, TPBI มีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในปี 2567 แม้จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอกหลายประการ บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและพร้อมที่จะคว้าโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต โดยมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการรับมือกับความเสี่ยงต่างๆ และปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด