บทความ ข่าวสาร กิจกรรม

ไฮไลท์สำคัญ: SIAM กำไรปี 67 ร่วง! รายได้หลักทรุด ฉุดกำไรหายวับ

SIAM (บริษัท สยามสตีลอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)) ประกาศผลประกอบการปี 2567 รายได้รวม ลดลง 15% เหลือ 1,955 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าที่ทำได้ 337 ล้านบาท ส่งผลให้ปีนี้บริษัทขาดทุนสุทธิ 99 ล้านบาท แตกต่างจากปีก่อนหน้าที่ยังทำกำไรได้ 35 ล้านบาท

รายได้ลด ต้นทุนพุ่ง: วิกฤต SIAM! ธุรกิจเดิมทรุด รายได้ใหม่ยังไม่เข้าเป้า

สาเหตุหลักมาจากรายได้ที่ลดลงของกลุ่มผลิตภัณฑ์ผนังกันน้ำ, เฟอร์นิเจอร์ และอาคารสำเร็จรูปอเนกประสงค์ แม้ว่ารายได้จากธุรกิจพลังงานทดแทนและงานรับเหมาก่อสร้างจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยรายได้ที่หายไปได้ นอกจากนี้ ต้นทุนงานก่อสร้างที่สูงขึ้นจากระยะเวลาที่ไม่เป็นไปตามแผนและการปรับราคาวัสดุ ยังส่งผลกระทบต่อกำไรขั้นต้นของบริษัทอีกด้วย

รายได้จากการขายและการให้บริการ ลดลงถึง 536 ล้านบาท หรือ 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ รายได้จากการให้บริการรับเหมาก่อสร้าง เพิ่มขึ้น 199 ล้านบาท หรือ 124% แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะชดเชยส่วนที่หายไปได้ กำไรขั้นต้น ลดลง 123 ล้านบาท หรือ 36% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 15% เหลือเพียง 11% เท่านั้น

แม้ว่า ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จะลดลง 39 ล้านบาท หรือ 9% แต่ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น กลับเพิ่มขึ้น 15 ล้านบาท และ ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม ก็ลดลง 17 ล้านบาท หรือ 19% ซ้ำเติมสถานการณ์ให้ย่ำแย่ลงไปอีก

สภาพคล่องยังแกร่ง: เงินสดในมือเพิ่มขึ้น แต่ต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน!

ถึงแม้ผลประกอบการจะไม่สู้ดีนัก แต่ SIAM ยังมี เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ในมือถึง 412 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 56 ล้านบาท และมี อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) คงที่ที่ 0.30 เท่า แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่ยังอยู่ในระดับดี

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกต่างๆ อาทิ ความไม่แน่นอนทางการเมือง, ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ, และความแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการในอนาคตได้

นอกจากนี้ บริษัทยังต้องให้ความสำคัญกับการจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ, การปรับกลยุทธ์การตลาด, และการกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจใหม่ๆ เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรและการเติบโตในระยะยาว

อนาคต SIAM: พลังงานทดแทนคือความหวัง! ต้องปรับตัวรับมือความท้าทาย

SIAM ยังมีโอกาสในการเติบโตจากธุรกิจพลังงานทดแทนและการขยายตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การพัฒนาบุคลากรและการผลิตก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เพื่อให้บริษัทสามารถกลับมาทำกำไรและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต