บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
CPALL โชว์ผลงาน Q3/2568 เติบโตต่อเนื่อง พร้อมลุยกลยุทธ์ดันยอดขายโค้งสุดท้ายของปี
P/E 13.62 YIELD 3.16 ราคา 43.00 (0.00%)
CPALL โชว์ผลงาน Q3/2568 เติบโตต่อเนื่อง พร้อมลุยกลยุทธ์ดันยอดขายโค้งสุดท้ายของปี
สรุปผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 ของบริษัท CPALL จํากัด มหาชน โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)
- ผลกระทบเชิงบวก:
- การปรับตัวดีขึ้นในทุกมิติของผลประกอบการ แม้มีปัจจัยท้าทายหลายด้าน
- รายได้รวมเฉพาะกิจการ (ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ) เพิ่มขึ้น 6% อยู่ที่ 122,700 ล้านบาท
- กำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นทั้งในแง่เม็ดเงินและ Margin
- กำไรสุทธิเฉพาะกิจการอยู่ที่ 5,200 ล้านบาท เติบโต 16.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
- รายได้รวมงบการเงินรวมอยู่ที่ 250,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
- กำไรสุทธิในงบการเงินรวมอยู่ที่ 6,597 ล้านบาท เติบโต 17.6% จากไตรมาส 3 ของปีก่อน
- ยอดขาย O2O เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง คิดเป็น 11% ของยอดขายรวม
- ปัจจัยสนับสนุน:
- กลยุทธ์ของบริษัทและการดำเนินกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
- ความสามารถในการตอบโจทย์ลูกค้าด้วยสินค้าและบริการที่สะดวกสบายและทั่วถึง
- กลยุทธ์ด้านสินค้าที่มุ่งเน้นเพิ่มยอดขายสินค้าที่มี Margin สูง
- การควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
- ผลกระทบเชิงลบ:
- ไตรมาส 3 เป็นช่วง Low Season ของธุรกิจร้านสะดวกซื้อ
- สภาพเศรษฐกิจ สภาพอากาศ และการท่องเที่ยวที่ท้าทาย
- ยอดขายจากร้านเดิม (Same Store Sales Growth) ลดลงเล็กน้อย -0.5%
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)
- การขยายสาขา:
- เปิดสาขาใหม่ในประเทศไทย 169 สาขาในไตรมาส 3 รวมเป็น 15,764 สาขา
- เปิดสาขาใหม่ในต่างประเทศ (กัมพูชาและสปป.ลาว) รวม 23 สาขาใน 9 เดือนแรกของปี
- กลยุทธ์ด้านสินค้าและบริการ:
- มุ่งเน้นสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) ซึ่งมี Margin สูง
- จัดโปรโมชั่นและปรับกลยุทธ์สินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า
- จับมือกับศิลปินหรือ Influencer เพื่อโปรโมทสินค้า
- ช่องทาง O2O:
- ขยายและพัฒนาช่องทาง 7-Delivery และ Online
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)
- สภาพเศรษฐกิจ:
- ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ อาจส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค
- สภาพอากาศ:
- ฤดูฝนและพายุที่รุนแรง อาจกระทบต่อการเดินทางและจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค
- การแข่งขัน:
- การแข่งขันที่สูงในตลาดร้านสะดวกซื้อและธุรกิจค้าปลีก
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)
- การปรับกลยุทธ์:
- ปรับโปรโมชั่นและกลยุทธ์สินค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์
- เน้นสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการและพฤติกรรมผู้บริโภค
- การควบคุมค่าใช้จ่าย:
- ควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
- การขยายช่องทาง:
- ขยายช่องทาง O2O เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)
- เป้าหมายการเติบโต:
- ตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่ 700 สาขาในประเทศไทย
- รักษาอัตราการเติบโตให้สอดคล้องกับการเติบโตของ GDP ประเทศ
- การลงทุน:
- ลงทุนประมาณ 13,000-14,000 ล้านบาทต่อปีในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ
- กลยุทธ์ระยะยาว:
- มุ่งเน้นเป็น Food and Drink Destination สำหรับลูกค้า
- นำเสนอสินค้าที่หลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) เริ่มต้นนาทีที่ [00:26:13]
Q: แนวโน้มของไตรมาส 4 เป็นอย่างไร?
A: สภาพเศรษฐกิจอาจจะยังค่อนข้างซอฟท์ แต่มีโครงการคนละครึ่งพลัสของรัฐบาลที่เน้นไปที่ Traditional Trade บริษัทมองว่าเป็นเชิงบวก หากสามารถเพิ่มกำลังซื้อ เพิ่มการจับจ่ายใช้สอยในตลาด และเพิ่มบรรยากาศให้มันดีขึ้น ก็จะวนกลับมาที่ Modern Trade ด้วยเช่นกัน
Q: ไตรมาส 4 จะเปิดอีกกี่สาขา ปีหน้าจะเปิดอีกกี่สาขา?
A: 9 เดือนแรกเปิดไปแล้ว 519 สาขา ปัจจุบันตั้งเป้าไว้ที่ 700 สาขา คิดว่าปิดปีนี้จะทำได้ตามเป้าที่วางไว้ สำหรับประเทศไทย ยังตั้งเป้าเท่าเดิมที่จะเปิดประมาณ 700 สาขา อย่างน้อยอีก 3 ปีข้างหน้า
Q: คนละครึ่งไม่ได้ให้ Modern Trade เข้าร่วม มีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน และปรับแผนรับมืออย่างไร?
A: บริษัทยังคงต้องการเป็น Food and Drink Destination ให้กับลูกค้า พยายามจับเทรนด์ของลูกค้าในแต่ละช่วง นำเสนอสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าตลอดเวลา ลูกค้าที่เข้าร้านต้องรู้สึกว่ามีของใหม่ๆ มีของให้ว้าวตลอดเวลา
Q: รายได้อื่นที่เติบโตขึ้น มาจากอะไร?
A: เติบโตตามยอดขายและการขยายสาขา มีการทำโฆษณาเรื่องของ Promotional Campaign และในไตรมาสนี้มีการทำเรื่องของแสตมป์ด้วย
Q: แนวโน้มของปีหน้า วางเป้าเติบโตอย่างไร และมีแผนการขยายสาขาหรือไม่ และใช้เงินลงทุนเท่าไหร่?
A: สำหรับในไทย ยังตั้งเป้าการเปิดสาขา 700 สาขา เงินลงทุนปัจจุบันใช้ประมาณ 13,000-14,000 ล้านบาทต่อปี ครึ่งนึงเป็นการขยายสาขาและ Renovate ร้านสาขา อีกครึ่งนึงเป็นการลงทุน DC หรือ IT ที่ทำ In-House
Q: มองว่าปีหน้าจะเติบโตประมาณเท่าไหร่?
A: พยายามเทียบตัวเองกับการเติบโตของ GDP ของประเทศ ต้องมาดูกันอีกทีว่าการประมาณการ GDP ของปีหน้านั้นเป็นเท่าไหร่ โดยปกติแล้วจะมาดูว่า Component ของการเติบโตของ GDP นั้นเติบโตมาจากอะไร ถ้าเติบโตมาจากภาคการบริโภค ก็อาจจะมีส่วนที่ Add-On บน Same Store ได้เพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย
Q: สินค้าที่เป็น High Margin มีอะไรบ้าง?
A: กลุ่ม High Margin ก็จะเป็นกลุ่มของ Ready to Eat และ Ready to Drink พยายามบริหารจัดการในหลายๆ มุมมอง เน้นการนำเสนอสินค้าให้ตรงจุดตรงใจกับลูกค้า
Q: สาขาในต่างประเทศเป็นอย่างไร?
A: ลาวเป็นประเทศที่ค่อนข้างเล็ก มีประชากรไม่เยอะมาก จะค่อยเป็นค่อยไป แต่ต่อหนึ่งไตรมาสอาจจะเปิดเป็นหลักหน่วย ทั้งปีอาจจะอยู่ประมาณ 10 สาขา ในมุมของกัมพูชา ก็มีการ Monitor อยู่ตลอดเวลา ติดตามผลอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีการอัพเดทอย่างไรเพิ่มเติมจะออกมาอัพเดทอีกทีนึง
Q: หากไม่นับร้านสาขาในกัมพูชา Same Store ของเซเว่นจะอยู่ประมาณที่เท่าไหร่?
A: จำนวนสาขาทั้งหมดในกัมพูชาอยู่ที่ประมาณ 125 สาขา ซึ่งถ้าเทียบกับไทยที่มีประมาณเกือบๆ 16,000 สาขา ก็ถือว่าน้อยกว่า 1% เพราะฉะนั้นในมุมของยอดขายที่ Contribute มานั้นก็น้อยมากๆ ส่วนใหญ่ Same Store ที่เห็นก็จะมาจากร้านสาขาในไทยเป็นหลัก
Q: สำหรับรายได้ธุรกิจสนับสนุนอื่น ในพายชาร์ตที่ประมาณ 6-7% อันนี้มาจากอะไร?
A: มาจากบริษัทย่อยที่ถือ 100% ยกตัวอย่างหลักๆ ก็จะเป็นโรงงานที่ผลิตอาหารและเบเกอรี่ที่ขายในร้าน หรือบริษัทที่เป็นภายในที่ดูแลในเรื่องของระบบ IT หรือ Maintenance ร้านต่างๆ
Q: เรื่องของโลตัสเป็นอย่างไร?
A: ทางโลตัสจะอยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท CPXtra ซึ่งทาง CPXtra ได้มีการรายงานผ่าน Opportunity Day ไปแล้วเมื่อวานนี้ สามารถไปติดตามได้ น่าจะมีรายละเอียดที่ครบถ้วน
สรุป
CPALL ยังคงแสดงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสภาพอากาศ โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นการเติบโตผ่านการขยายสาขา การนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับแนวโน้มในอนาคต CPALL ยังคงตั้งเป้าหมายการเติบโตที่ท้าทายและมุ่งเน้นการสร้างผลกำไรที่ยั่งยืน