สรุป Oppday EURO: เผยกลยุทธ์ใหม่ ขยายฐานลูกค้า สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ปี 2568

P/E 8.54 YIELD 5.39 ราคา 4.08 (0.00%)

สรุป Oppday EURO: เผยกลยุทธ์ใหม่ ขยายฐานลูกค้า สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ปี 2568

1. **ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):**

ในช่วงปลายไตรมาส 3 ปี 2568 ยอดรายได้ของ EURO อยู่ที่ประมาณ 370 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา

รายได้รวม 9 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 1,036 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อัตรากำไรขั้นต้น (GP Margin) สำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 47% ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ในภาพรวม 9 เดือน อัตรากำไรขั้นต้นใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ 48%

อัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) อยู่ที่ 20.3% ดีขึ้นจากปีที่แล้วและไตรมาสก่อนหน้า ในภาพรวม 9 เดือน EBITDA Margin อยู่ที่ 20.6% ดีขึ้นจากปีที่แล้วเช่นกัน การที่ EBITDA Margin ดีขึ้นเป็นผลมาจากการลดลงของค่าใช้จ่ายต่างๆ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและปีที่แล้ว

อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 10.3% หรือคิดเป็น 39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ของปีนี้และไตรมาส 3 ของปีที่แล้ว ในภาพรวม 9 เดือน อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 10.3% หรือ 107.5 ล้านบาท ซึ่งดีขึ้นจาก 9 เดือนของปีที่แล้ว

สัดส่วนของรายได้จาก B2B และ B2C อยู่ที่ 67% และ 33% ตามลำดับ สัดส่วน B2C ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ 9 เดือนของปีที่แล้ว แต่โดยรวมแล้ว Gross Profit ยังดีขึ้นจากปีที่แล้ว เนื่องจากงาน B2C มีสัดส่วนของ GP ที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

ค่าใช้จ่ายในการขาย (Selling Expense) ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว แต่สัดส่วนดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 และปีที่แล้ว บริษัทพยายามควบคุมค่าใช้จ่ายให้ใกล้เคียงเดิม แต่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการเปิดสาขาใหม่และการ depreciaton ของสาขาใหม่ที่เปิดตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (Admin Expense) ในภาพรวม 9 เดือนอยู่ที่ 10.4% ลดลงจากปีที่แล้วที่ 10.8% แต่ในไตรมาส 3 อยู่ที่ 10.7% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปีที่แล้วและไตรมาส 2 หลักๆ มาจากการตั้งสำรองผลขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) จากลูกหนี้การค้า 1.86 ล้านบาท หากไม่รวมรายการนี้ สัดส่วนจะใกล้เคียงกับไตรมาส 2

สินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 1.3% หลักๆ มาจาก inventory และ Right of Use Assets แต่ก็มีรายการที่ลดลงจากการลงทุนชั่วคราวหรือเงินฝากประจำ

หนี้สินรวมเพิ่มขึ้น หลักๆ คือ Unearned Revenue ซึ่งอยู่ที่ 545 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากต้นปีที่ 477 ล้านบาท ยอดที่เพิ่มขึ้นมาจากการขายที่เพิ่มขึ้น และเป็นเงินมัดจำที่รับจากลูกค้า นอกจากนี้ Lease Liability ลดลงเล็กน้อยจากการจ่ายชำระหนี้และปรับระยะเวลาของสัญญาเช่า

ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) เพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิ แต่ลดลงจากเงินปันผลที่จ่ายไปในช่วงไตรมาส 2

Financial Ratio: AR Days อยู่ที่ 26 วัน, Inventory Days อยู่ที่ 408 วัน, และ AP Days อยู่ที่ 270 วัน Inventory Days ที่เพิ่มขึ้นหลักๆ มาจากการเปิดโชว์รูมใหม่จำนวนมาก ทำให้ต้องมีสินค้า display มากขึ้น และมีสินค้าที่อยู่ในระหว่างการขนส่งจากต่างประเทศ

Cash Flow เพิ่มขึ้นจากต้นปี 16 ล้านบาท มาจาก Operating Activities 105 ล้านบาท, Investing Activities 23 ล้านบาท, และลดลงจาก Financing Activities 113 ล้านบาท บริษัทพยายาม maintain Operating Activities ให้เป็นบวก โดยดูทั้ง Working Cap และค่าใช้จ่ายต่างๆ Investing Activities เป็นบวกจากการลงทุนในสาขาใหม่ แต่ก็มีเงินคืนจากเงินฝากประจำ Financing Activities เป็นลบจากการจ่ายเงินปันผลและจ่ายเงินตามสัญญาเช่า

2. **โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):**

บริษัทมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมกลุ่ม Top 1-2% จากเดิมที่เน้น Top 1% โดยจะนำเสนอแบรนด์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้

การเปิดตัวแบรนด์ใหม่ "VSpring" ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องนอนระดับพรีเมียมจากอังกฤษที่มีประวัติยาวนานกว่า 120 ปี เป็นโอกาสในการเข้าสู่ตลาดใหม่และขยาย portfolio สินค้า

การย้ายแบรนด์ที่มีอยู่ไปยังตึก T3 และนำแบรนด์พรีเมียมมาไว้ที่ตึก T7 เป็นการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าและสร้างความน่าสนใจให้กับโชว์รูม

3. **ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):**

เศรษฐกิจไทยที่ยังคงมีความไม่แน่นอนและอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค

การแข่งขันที่สูงในตลาด luxury furniture และ home décor

ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนและความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

4. **วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):**

บริษัทมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและควบคุมค่าใช้จ่าย เพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอก

การปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าและการนำเสนอสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม

การบริหารความเสี่ยงทางการเงินและการบริหาร inventory อย่างมีประสิทธิภาพ

5. **แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):**

บริษัทยังคงคาดการณ์การเติบโตแบบ Double-Digit สำหรับปี 2568 โดยมี secured revenue จำนวนมากที่คาดว่าจะส่งมอบได้ภายในปีนี้

บริษัทมี backlog สำหรับปีหน้าอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาท และมีแผนที่จะเพิ่ม backlog อย่างต่อเนื่อง

บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวแบรนด์ใหม่ๆ และขยายโชว์รูมเพิ่มเติมในปี 2569

บริษัทให้ความสำคัญกับการเติบโตทั้งในด้าน Top Line และ Bottom Line ในระยะยาว

6. **ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): เริ่มต้น นาทีที่ 34.20** * **Economy of Scale:** * **คำถาม:** การบริหารจัดการยอดขายเฉลี่ยต่อพนักงานต่อคน และจำนวนพนักงานที่เพิ่มขึ้น ทำได้อย่างไร? * **คำตอบ:** บริษัทให้ความสำคัญกับ efficiency ของทีมงานและการควบคุมต้นทุน (SG&A) มาสักพักแล้ว เข้าใจว่า SG&A อาจโตเร็วเกินไปเมื่อบริษัทโต จึง monitor หลาย dimension เช่น เงินเดือน 1 บาท generate revenue ได้เท่าไร, คน 1 คน generate ได้เท่าไร พยายามทำให้ธุรกิจที่ ongoing efficient ขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจใหม่ๆ อาจเป็น drag on ตัวเลขธุรกิจเก่า ธุรกิจที่ mature แล้วไม่จำเป็นต้องเพิ่มคน ใช้ automation ช่วย บริษัทมองเรื่อง efficiency ในการจ่ายเงินเดือนและ generate sales ตั้งเป้าหมายให้แต่ละ BU เห็น efficiency ของตัวเองเพื่อพัฒนา * **กลยุทธ์ B2B/B2C:** * **คำถาม:** กลยุทธ์และเป้าหมายในการเพิ่ม B2C หรือลด B2B คืออะไร? * **คำตอบ:** ไม่ได้มองว่าต้องลด B2B หรือ B2C แต่อยากเพิ่มทั้งสองด้าน ตัวเลขที่เพิ่มแล้ว percentage แต่ละ segment จะ swing ไป swing มา เป็นสิ่งที่ control ไม่ได้ อยากให้ทั้งสองด้านโต ขึ้นอยู่กับ business cycle ช่วงไหนมีงาน B2B เยอะ B2C ค่อนข้างนิ่ง swing น้อย เศรษฐกิจดีมากก็ขึ้นเยอะหน่อย B2B ช่วงนี้อาจจะดีกว่า B2C นิดหน่อย * **ผลกระทบ Business Cycle:** * **คำถาม:** Business cycle มีผลต่อผลประกอบการอย่างไร? * **คำตอบ:** ช่วงนี้ developer เปิดโครงการน้อย สร้าง high-end เพราะต้องปิดธุรกิจ การที่เศรษฐกิจไม่ดีกระทบต่อยอดขายคอนโด ลูกค้าเป็นลูกค้าสั่งสร้างบ้านเยอะ คาดหวังว่ากระจายความเสี่ยงออกไปได้ * **เศรษฐกิจขาขึ้น/ขาลง B2C:** * **คำถาม:** เศรษฐกิจขาขึ้น/ขาลง มีผลต่อยอดขาย B2C อย่างไร? * **คำตอบ:** มองเศรษฐกิจกลมๆ ยาก ตอนนี้ developer ทุกคนลดจำนวนบ้านที่สร้าง แต่ยังสร้าง high-end กลุ่ม luxury ที่สุด resilience ที่สุด ยังกู้ได้ ซื้อเงินสดได้ ยังสร้างอยู่ ถ้าประเทศไม่ดีก็ช้าแน่นอน แต่ไม่ได้ straightforward ขนาดขึ้นลง อาจจะ control ยาก * **Stakeholder ปีหน้า:** * **คำถาม:** ปีหน้ามีอะไรที่อยากบอก stakeholder บ้าง? * **คำตอบ:** Goal ในระยะยาว คือ อยากทำให้บริษัทโต double digit ให้ได้ทั้ง top line และ bottom line ยังเป็น goal ต่อเนื่อง ปีหน้าจะทำ top line/bottom line ให้ได้ * **เป้าปีนี้:** * **คำถาม:** ปีนี้จะเป็นอย่างไร จะจบอย่างไร? * **คำตอบ:** ตั้งเป้า top line/bottom line double digit growth ยัง confidence ว่าเป็นไปตามเป้า 40 กว่าวันที่เหลือของปีนี้ พยายาม drive เต็มที่ให้ถึงจุดหมาย หวังว่าจะไปได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ตอนต้นปี * **ปัจจัยบวก/ลบ ปีนี้/ปีหน้า:** * **คำถาม:** ปัจจัยบวก/ลบ ของปีนี้/ปีหน้า คืออะไร? * **คำตอบ:** เศรษฐกิจไทยยังมี headwind เยอะ น่าจะ slow ที่สุดใน region แต่ยังมีโอกาสขยายตัวเยอะ มี brand ใหม่ๆ เยอะ หวังว่าสิ่งที่ลงทุนไปจะช่วยให้โตต่อได้ รัฐบาลและเศรษฐกิจจะ pickup ขึ้น ให้มี tailwind นิดนึง ตอนนี้ drive against industry นิดนึงก็ไม่ค่อยง่าย * **สหรัฐฯ ระงับเจรจาภาษีกับไทย:** * **คำถาม:** กรณีที่สหรัฐฯ แจ้งขอระงับเจรจาภาษีกับไทย? * **คำตอบ:** Export industry ในไทยถูกกระทบ ลูกค้ารู้สึกกระทบ ไม่ได้มีผลดีต่อใคร คนไทยทุกคน worry อยากให้คลี่คลายโดยเร็ว * **Backlog Q4:** * **คำถาม:** Backlog 1,300 ล้าน จะรับรู้ใน Q4 เท่าไร? * **คำตอบ:** ประมาณ 300 ล้าน carry ไป แต่ต้องมีมากกว่า 300 ล้าน add เข้าไปใหม่ใน Q4 backlog ไม่ควรจะต่ำกว่า 300 ล้าน end of year น่าจะใกล้ๆ 1,400 ล้าน * **Gross Profit Margin Q3:** * **คำถาม:** Gross Profit Margin ที่ลดลงใน Q3 คือ? * **คำตอบ:** แต่ละ quarter จะมีการส่งของ B2B/B2C combination ที่แตกต่างกัน Q1/Q2 สัดส่วนงาน B2C อาจน้อยลง แต่ GP ของงาน B2C สูงกว่าไตรมาสอื่นๆ ไตรมาสไหนมีลูกค้ารายใหญ่เข้ามา มีงานที่มี GP สูง จะกระทบต่อภาพรวมของ GP ทั้งองค์กร แต่ถ้าเป็น Q3 B2B จะเยอะจริงๆ แต่ GP อยู่ที่ประมาณ 50% ทำให้ในภาพรวมอยู่ที่ประมาณ 47% * **สกุลเงินนำเข้า:** * **คำถาม:** ใช้สกุลเงินอะไรในการนำเข้าสินค้า? * **คำตอบ:** แล้วแต่ซื้อจากไหน ซื้อจากทั่วโลก แต่ซื้อจากยุโรปเยอะสุด ใช้ยูโรเยอะสุด รองลงมาน่าจะเป็น USD เป็น 2 สกุลหลัก * **Target 2569:** * **คำถาม:** Target ปี 2569? * **คำตอบ:** จะเพิ่ม brand ชื่อ VSpring เข้ามา เปิด showroom ในตึก T3 ที่กำลังจะเปิดในเดือนมิถุนายนปีหน้า VSpring จะมี temporary showroom เปิดต้นเดือนหน้า ที่ทองหล่อ T7 ถ้าใครอยากเข้ามาดู เข้ามาดูได้ตั้งแต่ปีนี้เลย มี brand ใหม่ที่จะเปิดที่ชั้น 1 ทองหล่อ T3 เหมือนกัน เป็น 2 brand อยู่ในชั้นเดียวกันแต่เป็น 2 brand ในกลุ่มเดียวกัน ขอเวลาอีกนิด ยังไม่ได้เซ็นสัญญาเซ็นเสร็จเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวจะมาแชร์ให้ อาจจะมี press release หรือว่า release ใน LinkedIn ของบริษัท ฝากติดตามไว้ด้วย * **ภาพอุตสาหกรรมปัจจุบัน:** * **คำถาม:** ภาพอุตสาหกรรมในปัจจุบันเป็นอย่างไร? * **คำตอบ:** Luxury slow down นิดนึงหลังจาก Covid เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้แล้ว เป็น industry ที่ resilient มากๆ ไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรมากมาย นอกจากเศรษฐกิจในประเทศไทย เท่าที่ดูที่ luxury มี correction ทั่วโลก แต่ปีนี้กลับมาอยู่ใน growth กันเกือบทุกประเทศแล้ว สิ่งที่จะทำให้มันไม่ growth ไปต่อก็คือเศรษฐกิจประเทศเรา

โดยสรุป EURO ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้า การนำเสนอแบรนด์ใหม่ๆ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะยังมีความไม่แน่นอน แต่บริษัทก็ยังคงมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้

โพสต์ล่าสุด