บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
SMO Oppday ปี 2568: โอกาสและความท้าทายในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน
P/E 5.19 YIELD 0.00 ราคา 3.42 (0.00%)
SMO Oppday ปี 2568: โอกาสและความท้าทายในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน
ภาพรวมธุรกิจของ SMO (บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน)) เน้นการผลิตน้ำมันปาล์มดิบเป็นหลัก โดยมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 920 ล้านบาท และมีบริษัทลูกคือ AL Palm (โรงงานที่สาขาชุมพร) ทุนจดทะเบียน 480 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีบริษัท มิตรประสงค์กรีนเพาเวอร์ (โรงผลิตไฟฟ้าจากไบโอแก๊ส) ทุนจดทะเบียน 70 ล้านบาท และทีม Evolution (ถือหุ้น 49%) ทุนจดทะเบียน 90 ล้านบาท แต่ทีม Evolution ไม่ได้ประกอบกิจการ รอขายที่ดิน
SMO มีโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มทั้งหมด 4 โรงงาน: สุราษฎร์ธานี (2 โรง), ชุมพร, และสระบุรี โดยมีเป้าหมายอยู่ในพื้นที่ที่มีการปลูกปาล์มหนาแน่น นอกจากนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างโรงงานใหม่ที่นครศรีธรรมราช (อ. พระพรหม) ในต้นปีนี้
กำลังการผลิตรวมของโรงงานทั้งหมดอยู่ที่ 240 ตันต่อชั่วโมง และมีโรงงานผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ 14.3 เมกะวัตต์ (มี PPA ขาย 12.7 เมกะวัตต์) โรงงานสาขาพนมอยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิตอีก 75 ตัน ซึ่งจะเริ่มผลิตได้ในต้นปี 2569 ทำให้มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 315 ตัน และเมื่อรวมโรงงานใหม่ที่นครฯ ในปี 2571 อาจมีกำลังการผลิตรวม 390 ตันต่อชั่วโมง ส่วนการผลิตไฟฟ้ายังไม่เพิ่มขึ้นเนื่องจากนโยบายภาครัฐ
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
SMO ผลิตน้ำมันปาล์มดิบเป็นหลัก รวมถึงเมล็ดในอบแห้ง และผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ 12.7 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์พลอยได้ เช่น กะลาปาล์ม เส้นใยปาล์ม ทะลายซับ ทะลายเปล่า ขี้เค้ก และขี้เค้กอบแห้ง (อาหารสัตว์)
สัดส่วนรายได้ปี 2567-2568 ยังคงมาจากธุรกิจน้ำมันปาล์มเป็นหลัก (98%) ส่วนการผลิตไฟฟ้ามีสัดส่วนประมาณ 1% กว่าๆ
รายได้รวมตั้งแต่ปี 2565-2568: ปี 2565: 5,000 ล้านบาท, ปี 2566: 5,000 ล้านบาท, ปี 2567: 5,000 ล้านบาท, ปี 2568 (9 เดือน): 5,600 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มโรงงานสาขาชุมพร)
สัดส่วนการขาย: ในประเทศลดลง, ต่างประเทศเพิ่มขึ้น (ปีปัจจุบัน: 64% มาจากการส่งออก)
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):
การส่งเสริมการลงทุน (BOI): โรงงานสระบุรีได้รับการส่งเสริม 8 ปี (หมด เม.ย. 2569), สาขาพนมหมด เม.ย. 2570, AL Palm ชุมพรยังไม่ใช้สิทธิประโยชน์ (มีเครดิตขาดทุนสะสมเดิม), การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ: สาขาพนมเหลือถึง ม.ค. 2572, มิตรประสงค์กรีนเพาเวอร์ถึง ส.ค. 2572
ความต้องการน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มขึ้นปีละล้านตัน ตามการเพิ่มของประชากรโลก ปีปัจจุบัน: 78 ล้านตัน ผู้ผลิตมากสุด: อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ไทย (อันดับ 3 แต่สัดส่วนเพียง 4%)
นโยบายด้านพลังงานของอินโดนีเซีย: ปี 2569 จะเพิ่มการผลิตไบโอดีเซลเป็น B50 ทำให้ supply ออกสู่ตลาดโลกลดลง เป็นโอกาสของไทยในการส่งออกมากขึ้น
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):
การแข่งขันด้านต้นทุนที่สูงขึ้น และการปรับราคาขายได้น้อยกว่า Q3 อาจกระทบ margin
ค่าเงินบาทแข็งค่า จะไม่เป็นผลดีต่อการส่งออก
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):
การจัดการเมื่ออยู่ในช่วง low season: ลดกำลังการผลิตลง 30-40% เพื่อรักษา margin และยอดขาย
ลดต้นทุนการผลิต โดยใช้ fixed cost ให้คงที่
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):
กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นจากการขยายโรงงานพนม และสร้างโรงงานใหม่ที่นครศรีธรรมราช
ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการที่อินโดนีเซียส่งออกน้อยลง
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [เริ่ม Q&A นาทีที่ 30:13]
- Q: คาดว่า Q4 จะส่งมอบออเดอร์ได้ทั้งหมดกี่ตัน จะครบ 32,000 หรือเปล่า และราคาขายเป็นเท่าไหร่?
- A: ออเดอร์ที่ตกค้างจาก Q3 มา Q4 ได้ส่งมอบเรียบร้อยแล้ว
- Q: น้ำท่วมหาดใหญ่กระทบหรือไม่?
- A: บริษัทอยู่สุราษฎร์ธานี และขนส่งสินค้าจากใต้ขึ้นไปทางชุมพร-ประจวบฯ-กรุงเทพฯ เป็นหลัก และส่งออกจากสุราษฎร์ไปภูเก็ต ดังนั้นน้ำท่วมหาดใหญ่ไม่กระทบ
- Q: ถ้าเจอการแข่งขันด้านต้นทุนที่สูงขึ้น และปรับราคาขายได้น้อยกว่า Q3 จะมีวิธีการจัดการอย่างไร เพื่อให้ได้ margin ที่สม่ำเสมอ?
- A: SMO เป็นคนตรงกลาง ซื้อมาถูกขายถูก ซื้อมาแพงขายแพง การแข่งขันในตลาดเกิดจากช่วง low season (ปริมาณผลผลิตน้อย) ทำให้เกิดการแย่งซื้อ margin แคบลง วิธีการคือลดกำลังการผลิตลง และลดต้นทุนการผลิต
- Q: แผนการจ่ายเงินปันผล?
- A: โดยปกติบริษัทจ่ายปีละ 2 ครั้ง โดยจ่ายประมาณ 50% ของกำไร แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหตุผลและความจำเป็น และแผนการลงทุนด้วย
- Q: บริษัทเห็นเทรนด์ของ supply shortage ของอินโดนีเซียประกาศใช้ B40 อย่างไร?
- A: นโยบายของอินโดนีเซียเพิ่มปริมาณการใช้ไบโอดีเซล ทำให้ส่งออกน้ำมันออกสู่ตลาดโลกลดลง เป็นโอกาสที่ไทยจะส่งออกได้เพิ่มขึ้น
- Q: แนวทางการรักษาหรือเพิ่มความสามารถการทำกำไร แนวโน้มผลประกอบการ?
- A: เชื่อว่าผลการดำเนินงานปี 2568 จะใกล้เคียงกับตัวเลขที่ forecast ไว้ค่อนข้างมาก
- Q: ที่เคยประมาณการรายได้ปี 68 = 9,000 ล้าน ปี 69 = 10,000 ล้าน สนับสนุนด้วยปัจจัยใด?
- A: ปี 69 รายได้จะเพิ่มขึ้นจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ปริมาณและราคา ปริมาณการผลิตปีหน้าเพิ่มแน่นอน จากการที่โรงงานพนมของเราอีก 1 Line การผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ CPO ที่เราจะผลิตได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 25% ส่วนราคาต้องมาดูว่าราคาในตลาดเป็นอย่างไร
- Q: จะมีความร่วมมือกับพันธมิตรใดๆ ภายใน?
- A: การร่วมมือกับพันธมิตร อาจมีการเจรจาพูดคุยกันบ้าง แต่ยังไม่มีข้อสรุป แผนที่ชัดเจนคือแผนการสร้างโรงงานใหม่ที่นครศรีธรรมราช และการสร้างโรงงานบีบเมล็ดใน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในปีหน้า
- Q: แนวทางการรักษาหรือเพิ่มความสามารถการทำกำไร?
- A: การเพิ่มความสามารถในการทำกำไร เป็นเรื่องของ Economy of Scale ที่เพิ่มขึ้นของบริษัท เดิมมี 4 โรงงาน ปีหน้าสาขาพนมเพิ่มอีก 75 ตัน ก็เปรียบเสมือนเพิ่มโรงงานอีก 1 โรง กลายเป็น 5 โรง แล้วปีถัดไป เป็นการสร้างโรงงานใหม่ ใช้เวลาก่อสร้าง 2 ปี ฉะนั้นปลายปี 70 หรือต้นปี 71 ก็จะทำให้ Q เพิ่มขึ้น
- Q: มุมมองต่อความเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในระยะสั้นและระยะยาวอย่างไร?
- A: เป็นคำถามที่ตอบยาก อยู่ที่นโยบายของรัฐบาล ว่ามีมุมมองต่อแผนพลังงานของประเทศอย่างไร
- Q: อนาคตจะปันผลปีละ 2 ครั้งหรือไม่?
- A: จะถือปฎิบัติอย่างนั้น จะพิจารณาจ่ายเงินปันผล ปีละประมาณ 2 ครั้ง
- Q: ในภาพรวมกรณีค่าเงินบาทแข็ง หรือ อ่อนค่า ที่เป็นประโยชน์?
- A: เป็น Exporter เพราะฉะนั้นค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจะเป็นประโยชน์กับตัวผู้ส่งออก
- Q: รายได้จากการผลิตไฟฟ้าเป็นเท่าไร เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด?
- A: ประมาณ 2% (1% เศษๆ ไม่ถึง 2%) ถ้ามองเป็นเม็ดเงินก็ปีหนึ่งประมาณร้อยกว่าล้าน ปีนี้น่าจะไม่ต่ำกว่าอาจจะอยู่ประมาณ 150 ล้าน
หัวข้อที่ถูกพูดถึง:
- ภาพรวมธุรกิจ SMO
- ผลกระทบต่อธุรกิจ
- โอกาสทางธุรกิจ
- ความเสี่ยงและวิธีการแก้ไข
- แนวโน้มและอนาคต
- แผนการลงทุนและขยายกำลังการผลิต
- นโยบายการจ่ายปันผล
- แนวโน้มอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน
- Q&A
โดยสรุป, SMO มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีจากการขยายกำลังการผลิตและโอกาสในการส่งออกที่เพิ่มขึ้น แม้จะมีความเสี่ยงและความท้าทายในการแข่งขันและนโยบายภาครัฐ SMO ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาความสามารถในการทำกำไรและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น