บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
MAGURO ปิดไตรมาส 3 ปี 2568 อย่างสวยงาม: แผนขยายสาขาปีหน้าและการเติบโตอย่างยั่งยืน
P/E 21.06 YIELD 1.31 ราคา 22.90 (0.00%)
MAGURO ปิดไตรมาส 3 ปี 2568 อย่างสวยงาม: แผนขยายสาขาปีหน้าและการเติบโตอย่างยั่งยืน
สรุปผลการประชุม Oppday ของบริษัท Maguro Group จำกัด (มหาชน) โดยมีผู้บริหาร 3 ท่านให้ข้อมูล ได้แก่ คุณจักรกฤษณ์ สาสนสมบูรณ์, คุณทิพวรรณ ตันติพงษ์ (CFO), และคุณธีรพล สถิรยากร (CPO และเลขานุการบริษัท)
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
Maguro Group มีทั้งหมด 7 แบรนด์ภายใต้การดำเนินงาน ได้แก่ Maguro, Something Together, Hitori Shabu, Thongkatsu Aoki, Kuu Kuu, Bincho และ Kiwamiyah
ในปี 2568 บริษัทเปิดสาขาใหม่เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2 สาขา โดยมีการขยายสาขา Thongkatsu Aoki ที่ Icon Siam และ Mega Bangna
รายได้รวมจากการขายและบริการในไตรมาส 3 ปิดที่ 521.7 ล้านบาท เติบโต 46.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน
กำไรขั้นต้นปิดที่ 247.3 ล้านบาท เติบโต 46.3% แม้ว่า Gross Profit Margin จะคงที่อยู่ที่ 47.4%
กำไรสุทธิในไตรมาสนี้ปิดที่ 38.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% year-on-year (YoY)
DE ของบริษัทอยู่ที่ 1.5 เท่า แต่หากหัก Leased Liabilities ออกไป DE จะเหลือเพียง 0.3 เท่า
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):
การเพิ่มเครื่องดื่มและเมนูใหม่ ๆ รวมถึงแคมเปญฉลองครบรอบ 10 ปีของ Maguro ช่วยกระตุ้น Same Store Sales Growth (SSSG)
การเปิดตัว GripMore Club ซึ่งเป็นการรวม Membership ของทุกแบรนด์ในเครือ ช่วยเพิ่มยอดสมัคร Membership และสร้าง Cross Promotion
การ Renovate สาขาเดิม (Chic Eat Public Bangna และ Central World) ช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้าและยอดขาย
การเปิดแบรนด์ใหม่ (Kiwamiyah และ Bincho) สร้างรายได้เกินเป้าหมายและมีอัตรากำไรที่ดี
Maguro Kappo เป็น Concept พิเศษที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่ม Margin และตอบรับกับคนเมือง สามารถ Apply ในศูนย์การค้าที่มีค่าเช่าสูงได้
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):
การแข่งขันในตลาด Suki และ Buffet อาจส่งผลกระทบต่อ SSSG ของ Hitori Shabu
ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น (Salmon, เนื้อหมู, ข้าวญี่ปุ่น) อาจส่งผลกระทบต่อ Gross Profit Margin
การขยายสาขาเพิ่มขึ้นอาจทำให้ Selling Expense เพิ่มขึ้น แต่บริษัทมีการควบคุมค่าใช้จ่ายหลังบ้านอย่างดี
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):
Hitori Shabu มีการ Re-engineering เมนูใหม่, ปรับฐานเมนู, เพิ่มโปรแกรม Upsize, และพัฒนาการบริการ
บริษัทมีการ Lean เรื่องราคานำเข้าสินค้าและพยายาม Deal ราคาที่ถูกลงในวัตถุดิบหลาย ๆ ตัว
มีการแบ่งทีมย่อยเพื่อดูแลการเงิน, HR, และ Marketing ของแต่ละแบรนด์ เพื่อลด Overload ของ Labor
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):
บริษัทตั้งเป้าเติบโต 30% ในปี 2568 และอาจทำได้ถึง 40% ในแง่ของ Top Line
ปี 2569 บริษัทมีแผนขยายสาขาอย่าง Conservative ประมาณ 15 สาขา โดยเน้นที่ Maguro, Thongkatsu Aoki, Kiwamiyah, และ Bincho
มีแผนเปิดตัวแบรนด์ใหม่ 2-3 แบรนด์ โดยอาจเป็นกลุ่มอาหารญี่ปุ่น Specialty
Maguro Group มองตัวเองเป็นระบบนิเวศของแบรนด์ร้านอาหารหลาย ๆ แบรนด์ เพื่อการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): (01:05:20)
- แนวโน้ม SSSG ในไตรมาส 4
- ดีกว่าไตรมาส 3 แต่ยังสรุปตัวเลขไม่ได้ เพราะเดือนธันวาคมเป็นช่วงสำคัญ
- SSSG ของ Hitori Shabu หลังสงคราม Suki เดือด
- ช่วงไตรมาส 2 SSSG ตกต่ำพอสมควร แต่หลังจากปรับปรุงเมนูและบริการ SSSG ดีขึ้นมาก QonQ
- จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น แม้ว่า Spending per Head จะต่ำลง (เป็นความตั้งใจเชิงกลยุทธ์)
- ความมั่นใจในกำไรและรายได้ที่ตั้งเป้าไว้
- มั่นใจว่ารายได้จะเป็นไปตามเป้าหมาย (เติบโต 30%)
- กำไรอาจต้องลุ้นกันอีกที แต่ปกติไตรมาส 4 เป็น High Season
- รายได้อาจเติบโตถึง 40% (มากกว่าที่ Commit ไว้ 10%)
- ผลตอบรับแคมเปญ Buffet 2 สาขาของ Something Together
- ผลตอบรับดีมาก ลูกค้าเต็มทั้งวัน (Central Westgate และ Samyan Mitrtown)
- ผลกระทบจากวัตถุดิบราคาขึ้น (Salmon, เนื้อหมู, ข้าวญี่ปุ่น)
- ผลกระทบน้อยกว่า Salmon ขึ้นราคา เพราะข้าวมีสัดส่วนน้อยกว่า (1% ของวัตถุดิบทั้งหมด)
- บริษัทมีมาตรการหมุนเวียนและ Lean ราคานำเข้าสินค้า
- ภาพรวมแบรนด์ Thongkatsu Aoki
- ยอดขายบางสาขาอาจลดลง แต่เป็นธรรมชาติของการขยายสาขา
- Aoki ยังเป็นแบรนด์ Top Performance ใน Portfolio
- มีกลยุทธ์เติม Seasonal Menu ใหม่ ๆ ในเดือนธันวาคม
- ผลการดำเนินงานสาขาใน One Bangkok
- ศูนย์การค้าอาจดู Traffic ไม่ดี แต่ยอดขายของ Maguro และ Aoki ไม่ได้ขยับลง
- ลูกค้าที่ตั้งใจมาทานร้านอาหารใน One Bangkok จะสะดวกมาก
- ยอดขาย Aoki อยู่ในอันดับ 1-2 ของทุกสาขา
- ผลกระทบจากการรวม Membership
- หนี้สิน (จากแต้มสะสม) เพิ่มขึ้น แต่ยอดขายโดยรวมเติบโตดีขึ้น
- ลูกค้าสามารถ Switch ไปทานแบรนด์อื่น ๆ ในเครือได้
- แผนการขยายสาขาและแบรนด์ใหม่ปีหน้า
- ขยายสาขาอย่าง Conservative ประมาณ 15 สาขา
- เน้น Maguro, Aoki, Kiwamiyah, และ Bincho
- เปิดตัวแบรนด์ใหม่ 2-3 แบรนด์ (อาหารญี่ปุ่น Specialty)
- การบริหารจัดการแบรนด์จำนวนมาก
- มีการแบ่งทีมย่อย (Finance, HR, Marketing) เพื่อดูแลแต่ละแบรนด์
- ใช้แนวคิด Multitask เพื่อให้แต่ละทีมทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 4
- คล้ายกับปีที่แล้ว เดือน 10-11 อาจไม่คึกคื้นเท่าสมัยก่อน Covid
- เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น แต่เดือน 11 มีฝนตกเยอะ
- เดือน 12 น่าจะเป็นเดือนที่ดีมากสำหรับธุรกิจร้านอาหาร
- แผน Renovate สาขา
- ปีนี้ไม่มีแผน Renovate เพิ่มเติม
- ปีหน้ามีแผน Renovate หลายสาขาของ Maguro และ Hitori Shabu (สยามพารากอน)
- อาจมี Something Together (Mega Bangna) ด้วย
- One-Time Expense บันทึกในบรรทัดไหน
- ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (Admin)
- ค่าใช้จ่ายในการวางระบบเพิ่มเติมในไตรมาส 4
- ขึ้นอยู่กับ Auditor
- ปีหน้าอาจมี Light Off ตัวที่เป็น License เดิม
- ร้านอาหารไม่เข้าร่วมคนละครึ่งพลัส
- มีโครงการ "เที่ยวดีมีคืน" แทน
- ออกใบกำกับไปแล้วประมาณหลายหมื่นใบ
- เข้าร่วมโครงการ Jump Plus
- อาจจะไม่ทันในปีนี้ เพราะระบบ ERP และ Post อาจยังไม่พร้อม
- Delivery Go อาหารนานกว่า Platform อื่น
- ขึ้นอยู่กับช่วงที่เรียก Rider
- Operation จะปรับปรุงเรื่องทำอาหารให้เร็วขึ้นและเผื่อเวลารอเรียก Rider
- กำไรขั้นต้นไตรมาส 3 ปรับลดลง
- เนื่องจากทำ Promotion เพื่อรักษาสูงสุดแล้วก็ทำให้ร้านเราคึกคัก
โดยสรุป, Maguro Group ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2568 ด้วยการเติบโตของรายได้และกำไรที่น่าประทับใจ บริษัทมีแผนการขยายสาขาและการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ที่ชัดเจน รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพื่อรับมือกับความเสี่ยงและความท้าทายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต