บทความ ข่าวสาร กิจกรรม

ไฮไลท์สำคัญ: ขาดทุนแต่ลดลง

บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ TNITY เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 ขาดทุนสุทธิ 6.23 ล้านบาท (หน้า 4) แม้จะยังขาดทุน แต่ก็ถือว่าดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 9.01 ล้านบาท (หน้า 4)

ผลกระทบเศรษฐกิจ: ปัจจัยภายนอกฉุดรั้ง

TNITY เผยว่าความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว (หน้า 2) เศรษฐกิจไทยเองก็ยังเปราะบางจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงและความไม่แน่นอนทางการเมือง (หน้า 2) แม้ตลาดหลักทรัพย์จะปรับตัวดีขึ้น แต่ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันกลับลดลง (หน้า 2) สะท้อนถึงความระมัดระวังของนักลงทุน

วิเคราะห์ผลประกอบการ: รายได้หด ค่าใช้จ่ายลด

รายได้รวมของ TNITY ลดลง 19.44% (หน้า 3) สาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์ (ค่านายหน้า, ค่าธรรมเนียม, ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์) และธุรกิจซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (หน้า 3) อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายรวมก็ลดลง 19.93% (หน้า 3) เนื่องจากการลดลงของค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานและค่าใช้จ่ายทางการเงิน (หน้า 3-4) แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการควบคุมต้นทุนของบริษัท

สินเชื่อและความเสี่ยง: บริหารจัดการอย่างระมัดระวัง

TNITY มีลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสุทธิ 2,073.55 ล้านบาท (หน้า 5) โดยเป็นลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ 1,471.13 ล้านบาท (หน้า 5) บริษัทฯ มีการจำแนกลูกหนี้ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน โดยมีลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตจำนวน 796.42 ล้านบาท และตั้งสำรองค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 325.50 ล้านบาท (หน้า 5) สะท้อนถึงการบริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวังในสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอน

โอกาสและความท้าทาย: เตรียมพร้อมรับมือ

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่อาจอยู่ในภาวะถดถอยและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ (หน้า 8) อย่างไรก็ตาม TNITY เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโดยพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากร รวมถึงเตรียมแหล่งเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจ (หน้า 8)

สรุป: ฝ่าวิกฤต เตรียมพร้อมเติบโต

TNITY ได้รับผลกระทบจากสภาวะตลาดทุนและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว (หน้า 2-3) แต่บริษัทฯ ได้จัดการค่าใช้จ่ายเพื่อลดผลกระทบ (หน้า 3-4) และเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสในอนาคต (หน้า 8) แม้ว่าผลการดำเนินงานจะขาดทุนในงวด 9 เดือน แต่การที่บริษัทมีภาระหนี้ลดลงส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นและความสามารถในการชำระดอกเบี้ยดีขึ้น (หน้า 7) แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการปรับตัวและเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตในระยะยาว