BLC โชว์ผลงาน Q2/2568 กำไรโต 24% เดินหน้าขยายกำลังผลิต ตอบรับสังคมผู้สูงอายุ

P/E 12.10 YIELD 3.95 ราคา 3.80 (0.00%)

BLC โชว์ผลงาน Q2/2568 กำไรโต 24% เดินหน้าขยายกำลังผลิต ตอบรับสังคมผู้สูงอายุ

สวัสดีครับ ขอต้อนรับเข้าสู่กิจกรรม Opportunity Day ของบริษัท บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติก จำกัด (มหาชน) หรือ BLC ประจำไตรมาสที่ 2 ปี 2568

ผู้บริหารที่เข้าร่วมการบรรยายในครั้งนี้:

  • เภสัชกร สมชาย พิสิษฐ์วาธา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน
  • คุณกริยา ชาญแพทย์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน และเป็นสมุห์บัญชี
  • นายปกรณ์ ทองแผ้ว ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน และเป็นหัวหน้างานนักลงทุนสัมพันธ์
  • 1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)

    ผลประกอบการครึ่งปีที่ผ่านมา มีตัวเลขและกิจกรรมสำคัญที่อยากนำเสนอ:

    1. กำไรขั้นต้น (Gross Margin) อยู่ที่ 58.5%
    2. Net Profit Margin อยู่ที่ 11.4%
    3. DE Ratio อยู่ที่ 0.4 ซึ่งถือว่าบริษัทมีหนี้ค่อนข้างน้อย
    4. Dividend Yield อยู่ที่ 3.41%

    มีการประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 10 สตางค์ โดยได้มีประกาศ XD ไปเมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา

    รายได้ของครึ่งปีอยู่ที่ 853 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่ 16% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันในรอบปีที่ผ่านมา

    กำไรสุทธิอยู่ที่ 96.9 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่ 24% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของรอบปีที่ผ่านมา

    รายได้สำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 412.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่ 11.4% Year-on-Year

    กำไรสุทธิอยู่ที่ 41 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเจริญเติบโตที่ 11.1% Year-on-Year

    กิจกรรมทางการตลาดที่ผ่านมาในรอบครึ่งปี เน้นไปที่การสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่รับรู้และเป็นที่รู้จักให้กับผู้บริโภค เพื่อให้เกิดการไปหาซื้อในท้องตลาด โดยได้มีการทำการสร้างแบรนด์ในผลิตภัณฑ์ 3 ตัวด้วยกัน:

    1. ผลิตภัณฑ์ ไพรวาน่า (Priyawana): ครีมไพร 14% โดยได้มีการจ้างคุณมาริโอ้ มาเป็นพรีเซนเตอร์เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ ทั้งทางด้านออฟไลน์และออนไลน์ รายได้มีการเจริญเติบโต 10% Year-on-Year สำหรับในไตรมาส 2
    2. ผลิตภัณฑ์ คีน่า เอ็กซ์ (Keena X): เครื่องสำอาง โดยได้มีการจ้างอินฟลูเอนเซอร์มาทำคลิปโฆษณาทางช่องทางออนไลน์เป็นหลัก เช่น TikTok หรือ Facebook ผลตอบรับค่อนข้างดีมาก มีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมาก แต่กำลังผลิตไม่เพียงพอต่อ Demand ที่เข้ามา ทางโรงงานได้มีการสั่งซื้อเครื่องจักรเข้ามาเพื่อรองรับยอดขาย คาดว่าจะแล้วเสร็จและดำเนินการผลิตได้ในไตรมาสที่ 4
    3. ผลิตภัณฑ์ เดอร์มาบี (Dermaby): ครีมบำรุงผิว สำหรับผู้ที่มีปัญหาทางด้านผิวพรรณ โดยได้มีการจ้างคุณอ้อม พิยดา มาเป็นพรีเซนเตอร์ ทำคลิปโฆษณาทั้งทางด้านออฟไลน์และออนไลน์เช่นกัน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีในช่องทางโรงพยาบาล แต่ในช่องทางร้านขายยาตัวเลขยังน้อย จึงได้มีการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อให้มีการรับรู้และซื้อหาในช่องทางร้านขายยา สำหรับการเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์ตัวนี้หลังจากการทำโฆษณาอยู่ที่ 20% Year-on-Year สำหรับในไตรมาสที่ 2

    2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)

    BLC มองเห็นโอกาสในการเติบโตจาก:

  • การขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
  • การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
  • การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ
  • 3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)

    ความเสี่ยงที่ BLC กำลังเผชิญอยู่:

  • การแข่งขันที่รุนแรงในตลาด
  • ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ
  • ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจ
  • 4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)

    วิธีการที่ BLC ใช้ในการแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบ:

  • การสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์
  • การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
  • 5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)

    แนวโน้มของธุรกิจ BLC ในอนาคต:

  • การเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดยาและเครื่องสำอาง
  • การขยายตัวของสังคมผู้สูงอายุ
  • การให้ความสำคัญกับสุขภาพและความงาม
  • BLC มีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำในตลาดผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงาม โดยมีเป้าหมายในการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

    Operation overview และ Highlight ของ BLC ประจำรอบนี้ มีรายละเอียดดังนี้ โรงงานตั้งอยู่ที่ราชบุรี แบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ:

    1. Production Line: มีความสามารถในการผลิตยาต่างๆ, ยาสามัญ, ยาสามัญใหม่, ยาสมุนไพรไทย, Food Supplement, Cosmeceutical และยาสำหรับสัตว์
    2. BLC Research Center: มีหน้าที่ในการวิจัยพัฒนายาต่างๆ ให้เป็นไปตามเทรนด์สุขภาพในอนาคต และช่วยวิจัยพัฒนาสมุนไพรให้มีศักยภาพเทียบเท่ากับยาแผนปัจจุบัน
    3. ห้อง Lab: มีหน้าที่ในการควบคุมคุณภาพให้เป็นไปตามกำหนดของมาตรฐาน Global ต่างๆ ที่ได้รับไว้

    การลงทุนของ BLC ตั้งแต่ IPO มี 2 โปรเจคใหญ่ๆ คือ:

    1. โรงงานใหม่: ลงทุนไปประมาณ 810 ล้านบาท ในการก่อสร้างโรงงานใหม่รวมทั้ง Warehouse เพิ่มเติม ปัจจุบัน Progress อยู่ที่ประมาณ 78% คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงประมาณปีหน้า และคิดว่าจะ Full Operation จริงๆ ในช่วงประมาณปี 2570 สร้าง Solar Roof บนโรงงานใหม่เพื่อช่วยลดและประหยัดพลังงานไฟฟ้า คาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตได้เกือบ 2 เท่า หรือประมาณ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันในครึ่งปีแรกที่ใช้กำลังการผลิต ในส่วนของตัวยาสามัญที่เป็นยาผงยาครีมมีเกินกว่า 1 กะไปแล้ว ในส่วนของตัวยาเม็ดและยาแคปซูลก็ค่อนข้างจะเต็มกำลังการผลิต 1 กะแล้วเช่นกัน คาดหวังว่าจะใช้กำลังการผลิตได้อย่างเต็มที่ 100% ในทุกหมวดหมู่ที่วางแผนไว้ ก่อนที่จะได้ย้ายไปโรงงานใหม่
    2. Solar Farm Phase 2: สร้าง Solar Farm 1.5 เมกะวัตต์ เพื่อจะช่วยในการลดค่าใช้จ่ายในส่วนของตัวค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า และสอดคล้องกับเป้าหมายในการดำเนินงานอย่างยั่งยืน โดยที่ตัวพลังงานไฟฟ้าที่มองว่าจะลดได้จะอยู่ที่ประมาณ 600,000 บาทต่อเดือน
    3. การวิจัยพัฒนายา New Generic Drug: ใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ปีในการวิจัยพัฒนายาออกมาและ Launch สู่ตลาดได้ และในส่วนของตัวยาสมุนไพรใช้ระยะเวลาในการทำการวิจัยพัฒนาประมาณ 2 ปี มีกลุ่มยาที่เตรียมที่จะวิจัยพัฒนา และตอนนี้ก็ยัง On Timeline ที่คาดหวังไว้เรื่อยๆ คาดว่า Product แรกที่จะออกมาได้จะอยู่ในช่วงปีประมาณ 2570

    Financial Performance โดยคุณกริยา ชาญแพทย์:

    ภาพรวมผลการดำเนินงานด้านการเงินสำหรับช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568:

    First Half ของปีนี้ สำหรับไตรมาส 2 ปิดยอดขายสำหรับ 3 เดือนไปได้ที่ 412.8 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับ Year-on-Year จะเห็นว่ามี Growth Rate ที่ทำได้ดีมากขึ้น แต่เมื่อเปรียบเทียบกับ Q-on-Q ยอดขายอาจจะ Drop ลงไปเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าประมาณ 6%

    ยอดขายครึ่งปีแรก ยอดสะสม 6 เดือน อยู่ที่ 853 ล้านบาท โดย Growth Rate ดีมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับ Year-on-Year อยู่ที่ 16% ซึ่งในภาพรวมของยอดขายที่เติบโตขึ้น โดยหลักจะมาจากการที่มีการทำโฆษณา, การทำ Add ต่างๆ ทั้งผ่านทางออนไลน์และออฟไลน์ และมีการ Invest ในการทำ Branding เพิ่มมากขึ้นในปี 2568 มีการจ้าง Presenter เข้ามาช่วย Promote สินค้า รวมถึงมีการออกบูธแสดงสินค้าต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้นในระหว่างปี

    ยอดขายที่เติบโตขึ้นยังเป็นไปตาม Trend ของ Industry โดยอุตสาหกรรมยามีความต้องการใช้ยาในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นจากการที่เป็น Aging Society หรือสังคมผู้สูงอายุ

    ยอดขายแบ่งตามกลุ่มสินค้าและแยกตามช่องทางการจัดจำหน่าย:

    1. Generic Drug และ New Generic Drug: มียอดขายครึ่งปีแรกอยู่ที่ 623 ล้านบาท กินสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ประมาณ 73% ของยอดขายทั้งหมด Growth Rate ทำได้ดีมากขึ้นมากกว่า 10% เมื่อเปรียบเทียบ Year-on-Year โดยในช่องทางที่ทำได้ดีมากขึ้นส่วนใหญ่จะมาจากช่องทางร้านขายยาและโรงพยาบาล
    2. Cosmetic: มียอดขายรวมรอบนี้อยู่ที่ 114 ล้านบาท อัตรา Growth Rate ของกลุ่มนี้จะค่อนข้างสูง อยู่ที่ 56.4% Year-on-Year ช่องทางที่ทำได้ดีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจะเป็นช่องทาง Online Platform และร้านขายยา
    3. ยาสมุนไพร: กินสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ประมาณ 7% ของยอดขายทั้งหมด Growth Rate เปรียบเทียบกับ Year-on-Year ก็อยู่ที่ประมาณ 7% เช่นเดียวกัน เกือบทุกช่องทางการจัดจำหน่ายของสินค้าหมวดนี้ทำได้ดีมากขึ้น มีแค่ Export ที่ Drop ไปเล็กน้อย ส่วนของออนไลน์ทำได้ดีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    4. เสริมอาหาร: มียอดขายอยู่ที่ 3% ของยอดขายทั้งหมด ทุกช่องทางการจัดจำหน่ายของสินค้าหมวดนี้ทำได้ดีมากขึ้น มี Growth Rate ที่ดีมากขึ้นกว่าปีก่อนหน้า
    5. สินค้าอื่นๆ: เช่น เครื่องมือแพทย์, เจลที่ใช้ในทางการแพทย์, อุปกรณ์การทำแผล กลุ่มนี้มีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ประมาณ 2% ของยอดขายทั้งหมด เกือบทุกช่องทางทำได้ดีมากขึ้น เช่นออนไลน์ที่เติบโตขึ้น
    6. สินค้าสำหรับสัตว์: เป็นสินค้าหมวดเดียวที่ยอดขาย Drop ลงเมื่อเปรียบเทียบกับ Year-on-Year สาเหตุหลักมาจากการที่ยังมีความเสี่ยงอยู่ในโรคระบาดที่เกิดในหมู ทำให้คนเลี้ยงหมูรวมถึงตัวประชากรหมูเองลดน้อยลง ส่งผลทำให้ความต้องการในการใช้ยาของสัตว์ลดน้อยลงไปด้วย ได้มีการขายสินค้า Segment ใหม่ที่อยู่ในหมวดของ Pet Care เช่น แชมพูอาหารแมวเลียต่างๆ โดยสินค้ากลุ่มนี้ได้มีการ Launch ช่วงต้นปี 2568 สามารถ Generate ยอดขายได้บางส่วนมาตั้งแต่ต้นปี

    กำไรขั้นต้น:

    ในไตรมาส 2 ในรอบ 3 เดือน มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 245.7 ล้านบาท อัตรากำไรของ 3 เดือนนี้มีเปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 59.5% ในขณะที่กำไรขั้นต้นครึ่งปีแรก First Half ก็อยู่ที่ 498.8 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 6 เดือนก็อยู่ที่ 58.5% โดยอัตรากำไรจากกราฟก็จะเห็นได้ว่าสามารถมีอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับทั้ง Year-on-Year และ Q-on-Q สาเหตุของการเพิ่มต้น, การทำได้ดีมากขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้น โดยสาเหตุหลักจะมาจากการที่สามารถขายสินค้าที่มี GP สูงมากขึ้นในรอบปี 2568 ทั้งการขายที่อยู่ในประเทศไทยเอง และรวมถึงการขาย Export ด้วย ซึ่งเมื่อดูภาพรวมของการขาย Export ในปีนี้อาจจะ Drop ลงไปกว่าปีก่อนหน้าบ้าง แต่ในภาพรวมกำไรของการขาย Export สามารถทำได้ดีมากขึ้น เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผลักดันให้ GP ในรอบนี้ดีมากขึ้น อีกสาเหตุหนึ่งก็มาจากการประหยัดขนาดจากการผลิต เนื่องจากว่าในปี 2568 นี้มีการเพิ่มกำลังการผลิตที่สูงมากขึ้น ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยหรือว่าตัว Fixed Cost ลดน้อยลง ส่งผลให้ GP ดีมากขึ้น

    อีกสาเหตุหนึ่งที่เป็นปัจจัยสนับสนุนการเพิ่มของ GP ก็มาจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อเงิน USD เนื่องจากในภาพรวมของ BLC มีการ Import Raw Material เป็นเงิน USD ประมาณ 7% ของการ Import ทั้งหมด ก็เลยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วย Support ให้ GP ของกลุ่ม BLC ดีมากขึ้นในไตรมาสนี้ และก็ใน First Half ของปี 2568 นี้

    S,G&A Expense:

    ใน 3 เดือนนี้มีค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 196 ล้านบาท Common Size เมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายมีเปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 47.1% จะสังเกตเห็นว่าในไตรมาส 2 นี้ Common Size ของค่าใช้จ่ายอาจจะดูค่อนข้างสูง เนื่องจากว่ามีค่าใช้จ่ายในการทำ Branding มีการลงทุนในการทำ Branding เยอะในช่วงไตรมาส 2 นี้ เช่น การเปิดตัวสินค้า รวมถึงมีการจ้าง Influ ต่างๆ ที่มาช่วย Promote ในช่องทางนี้ แต่พอมาดูสะสมครึ่งปีก็จะเห็นว่าค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 379 ล้านบาท Common Size เปรียบเทียบกับยอดขายมีเปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 44.1% ก็เพิ่มมากขึ้นเล็กน้อยจาก Year-on-Year

    ในภาพรวมของค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากพวกค่าทำ Branding ที่เป็น One-Time Expense โดยในไตรมาสถัดไปพวกค่าทำ Branding อาจจะลดน้อยลง เพราะว่ามีการจ่ายเป็น Expense ที่จ่ายครั้งเดียวไปแล้วในไตรมาสนี้ นอกจากค่าทำ Branding ก็จะเป็นพวกค่าทำโฆษณาต่างๆ ทั้งทางทางออนไลน์ และทำโฆษณาออฟไลน์ด้วย เช่น การออกบูธทำป้ายแสดงสินค้าต่างๆ และก็นอกจากนี้ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นตามการเติบโตของยอดขาย เช่น ค่าคอมมิชชั่นและค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น และก็ยังมีในส่วนของการเพิ่มจำนวนของบุคลากรสำหรับกลุ่ม BLC ก็คือมีการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้น ก็เลยทำให้ Expense บางส่วนเพิ่มขึ้นจากส่วนนี้

    อีกสาเหตุหนึ่งก็มาจากการที่มีการลงทุนในการซื้อข้อมูลในการวิเคราะห์ Industry เข้ามา แล้วก็รวมถึงค่าต่อระบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นทางโรงงาน BLC

    กำไรสุทธิ:

    ใน 3 เดือนไตรมาส 2 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 41 ล้านบาท อัตรากำไรอยู่ที่ 9.9% สำหรับครึ่งปีแรกปิดกำไรสุทธิอยู่ที่ 96.9 ล้านบาท อัตรากำไรทำได้ดีมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับ Year-on-Year โดยเพิ่มขึ้นจาก 10.6% เมื่อปี เมื่อครึ่งปีก่อนหน้า แล้วก็ขึ้นมาเป็น 11.4% ในรอบนี้ ในภาพรวมของกำไรสุทธิที่ทำได้ดีมากขึ้น ก็นอกเหนือจากการเติบโตของยอดขายก็จะมาจากในส่วนของต้นทุนทางการเงินที่สามารถลดลงได้จากการที่ลดเงินต้น มีการจ่ายคืนเงินกู้ไปในระหว่างปี ทำให้ต้นทุนทางการเงินลดน้อยลง และก็อัตรากำไรดีมากขึ้นในปีนี้

    สำหรับกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2 จะเห็นว่าหย่อนลงไปเล็กน้อยจาก Year-on-Year และ Q-on-Q ในภาพรวมสาเหตุหลักๆ ที่กำไรน้อยในรอบนี้ก็จะเป็นเพราะค่าทำ Branding ที่เป็น One-Time Expense ที่เกิดขึ้นในรอบนี้ ก็เลยทำให้กำไรสุทธิลดลงไปเล็กน้อย และก็ยังมีในส่วนของตัวเงินลงทุนที่เป็น Short Term ที่เคยนำไปฝากประจำไว้ ในไตรมาส 2 นี้ก็ได้มีการถอนออกมาเพื่อทำการใช้จ่ายสำหรับการก่อสร้าง New Plant แล้วก็การซื้อเครื่องจักรใหม่ ทำให้ดอกเบี้ยรับของรอบไตรมาส 2 นี้ลดน้อยลง ก็เลยทำให้ภาพรวมกำไรสุทธิของไตรมาส 2 นี้ก็อาจจะหย่อนลงไปเมื่อเปรียบเทียบกับ Q-on-Q แล้วก็ Year-on-Year

    Asset:

    ภาพรวมของ Asset รวมของ BLC ณ สิ้นเดือน 6 อยู่ที่ 2,358 ล้านบาท เปรียบเทียบกับสิ้นเดือนธันวาคมปี 2567 ก็เพิ่มขึ้นจำนวน 121 ล้านบาท สาเหตุหลักก็มาจากการเพิ่มของตัว Fixed Asset เป็นส่วนใหญ่ จากการที่ทางโรงงานกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง New Plant แล้วก็มีการนำเข้าเครื่องจักรใหม่ มีการทยอยซื้อเครื่องจักร แล้วก็รวมถึงเงินมัดจำค่าเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้ ทำให้ภาพรวม Asset เพิ่มมากขึ้น ในในทางตรงกันข้ามก็จะเห็นว่าในภาพของเงินสด Cash แล้วก็ Short Term เงินลงทุนที่เป็น Short Term ก็ลดลงเนื่องจากว่ามีการนำเงินสดไปซื้อแล้วก็ไป Invest ในส่วนของสินทรัพย์ข้างต้น

    อีกส่วนหนึ่งสินทรัพย์ที่เพิ่มมากขึ้น ก็จะเป็นในส่วนของสินค้าคงเหลือ ที่มีการ Stock สินค้าเพิ่มมากขึ้นจากสิ้นปีก่อนหน้า จากการสำหรับครึ่งปีหลัง เพราะว่าตาม Trend ของ BLC ปกติช่วงครึ่งปีหลังไตรมาส 3 ไตรมาส 4 ยอดขายก็จะ Gross มากขึ้น ก็จะสูงมากขึ้นกว่าไตรมาส 2 ที่จะค่อนข้างน้อยในระหว่างปี

    หนี้สิน:

    ณ สิ้นเดือน 6 BLC มีหนี้สินรวมอยู่ที่ 630 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 78.1 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคมปีก่อนหน้า โดยหลักจะเพิ่มจากพวก Short Term Debt ที่มีการ PN เพิ่ม แล้วก็พวกหนี้ระยะสั้นเพิ่มขึ้นจากการซื้อสินค้า, ซื้อพวก Raw Material

    ผู้ถือหุ้น:

    ส่วนนี้ก็มีการเพิ่มขึ้นสุทธิ 42.9 ล้านบาท จะมาจากกำไรเบ็ดเสร็จรวมของงบครึ่งปีแรกจำนวน 96.9 ล้านบาท แล้วก็ไป Offset กับเงินปันผลที่ประกาศจ่ายไปช่วงต้นปีจำนวน 54 ล้านบาท ก็เบ็ดเสร็จแล้วเพิ่มขึ้น 42.9 ล้านบาทสำหรับส่วนของ Shareholder

    อัตราส่วนที่สำคัญทางการเงิน:

    • สภาพคล่อง: รอบนี้อยู่ที่ 2.9 เท่า และมี Quick Ratio อยู่ที่ 1.8 เท่า โดยในภาพรวมของสภาพคล่องก็จะลดลงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับ Year-on-Year แล้วก็ Q-on-Q จากการที่นำเงินสดไปจ่ายค่าก่อสร้างแล้วก็ค่าซื้อเครื่องจักรใหม่ในระหว่างปี แต่ก็ยังถือว่าสภาพคล่องของกลุ่มยังอยู่ในเกณฑ์ดี
    • Cash Cycle: รอบนี้อยู่ที่ 217 วัน ก็ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้าแล้วก็ทำได้ดีมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับ Year-on-Year เนื่องจากว่าสามารถมีการหมุนสินค้าคงเหลือได้เร็วมากขึ้น แล้วก็มีการเรียกเก็บหนี้ได้เร็วมากขึ้นด้วย
    • D/E: รอบนี้อยู่ที่ 0.4 เท่า ก็เพิ่มขึ้นจากรอบก่อนเล็กน้อยจากการที่มี Short Term Debt ที่เพิ่มมากขึ้น
    • ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์: อยู่ที่ มี มีเปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 11.2% และก็มีผลตอบแทน ROE อยู่ที่ 11.5% โดยในภาพรวมของผลตอบแทนที่เพิ่มมากขึ้น ก็มาจากกำไรที่กลุ่ม BLC ทำได้เพิ่มมากขึ้นระหว่างปี

    Industry Outlook โดยเภสัชกร สมชาย:

    สำหรับแนวโน้มธุรกิจ รวมถึงเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้า:

    ในแง่ของการเติบโต ธุรกิจยาจะเห็นว่าจะมี จากข้อมูล IQVIA ณ สิ้นเดือน 6 หรือสิ้นเดือนมิถุนายน มูลค่าตลาดอยู่ที่ 293 ล้านบาท มีอัตราการเจริญเติบโตที่ 8% โดยที่จำนวนนี้มาจากช่องทางโรงพยาบาลรัฐ 7% ในส่วนของโรงพยาบาลเอกชนมีการเติบโตค่อนข้างน้อยอยู่ที่ 0.03% ในส่วนช่องทางทางด้านร้านขายยามีการเจริญเติบโตที่ 15% โดยรวมอุตสาหกรรมยามีการเจริญเติบโตที่ 8% ในขณะที่ในส่วนของ BLC ในครึ่งปีที่ผ่านมามีอัตราการเจริญเติบโตที่ 16% ถือว่า BLC สามารถทำได้ดีกว่าตลาดไป 2 เท่า ในแง่ของการเจริญเติบโต

    ปัจจัยที่สนับสนุนการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรม:

    • สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society): ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้มีโรคภัยไข้เจ็บตามมาสำหรับผู้สูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นโรคพวก NCD หรือ Non-Communicable Diseases หลักๆ เป็น NCD ก็คือเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโรคหัวใจ, ความดัน, เบาหวาน, พวกโรคข้อกระดูกเสื่อมอะไรพวกนี้ ทำให้มีการ มีความจำเป็นมีความต้องการในการใช้ยาเพื่อรักษาโรคเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น
    • การเปลี่ยนแปลง Lifestyle: ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขาดการออกกำลังกาย, การทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ หรือพวก Junk Food รวมถึงการที่มีมลภาวะ โดยเฉพาะเรื่องของฝุ่น PM 2.5 ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ทำให้มีโรคภัยไข้เจ็บเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีความต้องการใช้ยาเพิ่มมากขึ้นเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยเหล่านี้
    • การเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับยาหรือโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้นทางออนไลน์ ทำให้ผู้บริโภคมีการซื้อหายาต่างๆ มาใช้เอง
    • Healthcare Trend: ผู้บริโภคอาจจะเน้นเรื่องของการป้องกันมากกว่าที่จะรักษายามเจ็บป่วย ในประเด็นนี้ก็ทำให้มีการเลือกหาซื้อใช้พวกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มมากขึ้น

    เป้าหมายใน 5 ปีข้างหน้าของกลุ่มบริษัท BLC ในปี 2567 หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ จะมีการเพิ่ม สร้างพื้นฐานธุรกิจให้มีความมั่นคงแข็งแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการหา พัฒนาบุคลากร รวมถึงการจัด

    ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) เริ่มต้นนาทีที่ 40.35

    คำถาม: เกี่ยวกับเรื่องของรายได้ในต่างประเทศ ที่ก่อนหน้านี้เนี่ยมีการเติบโตสูง แต่ว่าไตรมาสนี้เนี่ยดูเหมือนว่ามีการชะลอตัวลง อยากจะให้ผู้บริหารเนี่ยให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เกิดจากปัจจัยอะไร แล้วมีแนวโน้มที่จะกลับมาเติบโตได้เหมือนเดิมไหม แล้วมีแผนงานอย่างไรบ้าง

    คำตอบ: ในส่วนของต่างประเทศเนี่ย จริงๆแล้วในไตรมาสที่ 2 ที่เราอาจจะเห็นว่าตัวเลขเนี่ยมันดูดรอปลงไปเล็กน้อยเนี่ย มันมี 2 ปัจจัยหลักๆนะครับ ก็คือปัจจัยแรกเนี่ย ในส่วนของตลาดกัมพูชาเนี่ย เนื่องจากว่าเศรษฐกิจเนี่ยมันไม่ได้เอื้ออำนวยเหมือนที่ผ่านมาครับ เพราะฉะนั้นเนี่ยกำลังซื้อเนี่ยมันก็เลยอาจจะมีการชะลอตัวลงไปบ้างนะครับ และอีกอันนึงก็คือว่า ในส่วนของเวียดนามเนี่ย ทางเราเนี่ยมีการปรับเปลี่ยนตัวดิสทิบิวเตอร์นะครับ ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงที่เราทำการเปลี่ยนผ่านเนี่ย มันก็อาจจะมีแก็ปในเรื่องของยอดขายที่มันอาจจะหายไปบ้างนะครับ แต่ว่าในอนาคตเนี่ย เราก็มองว่าเราก็จะมีการทำการตลาดที่มัน active มากยิ่งขึ้น แล้วก็มี product range ที่มันหลากหลายมากยิ่งขึ้น แล้วก็คาดหวังว่าในอนาคตเนี่ยมันจะสามารถที่จะกลับมาเติบโตได้เหมือนเดิมนะครับ

    คำถาม: ในส่วนของการเติบโตในประเทศเนี่ย ช่องทางร้านขายยาเนี่ยดูเหมือนว่าจะมีการเติบโตสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่องทางอื่นๆ อยากจะทราบว่าบริษัทเนี่ยมีกลยุทธ์ในการที่จะรักษาการเติบโตในช่องทางนี้อย่างไร แล้วก็มีแผนที่จะขยายไปยังร้านขายยาอื่นๆ เพิ่มเติมไหม

    คำตอบ: ในส่วนของช่องทางร้านขายยาเนี่ย เรามองว่ามันเป็นช่องทางที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงนะครับ เพราะว่ามันเป็นช่องทางที่เข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรงนะครับ แล้วก็ผู้บริโภคเนี่ยสามารถที่จะได้รับคำแนะนำจากเภสัชกรได้นะครับ ซึ่งทางบริษัทเนี่ยก็มีกลยุทธ์ในการที่จะรักษาการเติบโตในช่องทางนี้โดยการที่เราเนี่ย มีการทำโปรโมชั่นร่วมกับร้านขายยา มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ แล้วก็มีการให้ความรู้กับเภสัชกรเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเรานะครับ แล้วก็ในอนาคตเนี่ย เราก็มีแผนที่จะขยายไปยังร้านขายยาอื่นๆ เพิ่มเติมนะครับ โดยการที่เราเนี่ยจะมีการเข้าไปนำเสนอผลิตภัณฑ์ของเราให้กับร้านขายยาต่างๆ แล้วก็มีการทำสัญญาร่วมกันนะครับ

    คำถาม: อยากให้ผู้บริหารเนี่ยอัปเดตเกี่ยวกับเรื่องของโรงงานใหม่หน่อยว่า ตอนนี้เนี่ยมีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว แล้วคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้เมื่อไหร่

    คำตอบ: ตอนนี้เนี่ยโรงงานใหม่ของเราเนี่ย มีความคืบหน้าไปประมาณ 78% แล้วนะครับ แล้วก็คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปีหน้า แล้วก็คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงกลางปีหน้าครับ

    คำถาม: ในส่วนของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เนี่ย บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ไหม แล้วมีผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง

    คำตอบ: ในช่วงครึ่งปีหลังนี้เนี่ย เรามีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หลายตัวเลยครับ ก็คือมีทั้งผลิตภัณฑ์ยา แล้วก็ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง แล้วก็ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนะครับ ซึ่งผลิตภัณฑ์ยาเนี่ย ก็จะเป็นยาในกลุ่มของยาสามัญนะครับ แล้วก็ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเนี่ย ก็จะเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของ Skin Care นะครับ แล้วก็ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเนี่ย ก็จะเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของวิตามินนะครับ

    คำถาม: อยากจะทราบว่าบริษัทเนี่ยมีนโยบายในการจ่ายปันผลอย่างไร แล้วมีโอกาสที่จะจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นในอนาคตไหม

    คำตอบ: บริษัทเนี่ยมีนโยบายในการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธินะครับ แล้วก็ถ้าเกิดว่าผลประกอบการของบริษัทเนี่ยมันดีขึ้นเรื่อยๆ เนี่ย เราก็มีโอกาสที่จะจ่ายปันผลเพิ่มขึ้นในอนาคตครับ

    คำถาม: บริษัทมีมุมมองอย่างไรต่อการแข่งขันในตลาดปัจจุบัน แล้วมีกลยุทธ์ในการที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันอย่างไร

    คำตอบ: การแข่งขันในตลาดปัจจุบันเนี่ย มันค่อนข้างสูงนะครับ เพราะว่ามันมีผู้เล่นหลายรายนะครับ แล้วก็แต่ละรายเนี่ยก็มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายนะครับ ซึ่งทางบริษัทเนี่ยก็มีกลยุทธ์ในการที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันโดยการที่เราเนี่ย มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง มีการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง มีการให้บริการที่ดี แล้วก็มีการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพนะครับ

    หัวข้อคำถาม

  • รายได้ต่างประเทศชะลอตัว
  • กลยุทธ์ร้านขายยา
  • ความคืบหน้าโรงงานใหม่
  • แผนเปิดตัวสินค้าใหม่
  • นโยบายจ่ายปันผล
  • การแข่งขันในตลาด
  • โดยสรุป BLC ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและมีโอกาสในการเติบโตอีกมากในอนาคต โดยบริษัทฯ จะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การขยายช่องทางการจัดจำหน่าย และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นต่อไป

    โพสต์ล่าสุด