บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
IVL โชว์ผลงาน Q2/2568: กำไรโต สวนกระแสเศรษฐกิจโลก พร้อมแผนขยายลงทุนในอินเดีย
P/E -100.00 YIELD 4.58 ราคา 15.30 (0.00%)
IVL โชว์ผลงาน Q2/2568: กำไรโต สวนกระแสเศรษฐกิจโลก พร้อมแผนขยายลงทุนในอินเดีย
สวัสดีครับ ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งาน Opportunity Day วันนี้ เรามีความยินดีที่จะนำเสนอผลประกอบการของบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 โดยมีการบันทึกภาพและเสียง ซึ่งสามารถรับชมย้อนหลังได้ทางเว็บไซต์ของบริษัท
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)
ในไตรมาสที่ 2 บริษัทมีรายได้รวมกว่า 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการบริหารการขายที่สูงขึ้นหลังจากการดำเนินงานกลับสู่ภาวะปกติ จากการปิดซ่อมบำรุงและผลกระทบสภาพอากาศหนาวในไตรมาสก่อนหน้านี้ Adjusted EBITDA เพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาสก่อน อยู่ที่ 330 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแรงหนุนจากปริมาณการขายที่สูงขึ้น และการฟื้นตัวของธุรกิจ Cpet ภายหลังจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผน รวมถึงสภาวะอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น ในขณะที่อินโดเวนย่ายังคงได้รับแรงกดดันจากอัตรากำไรบูรณาการที่อ่อนตัวลงและต้นทุนวัตถุดิบปาล์มคานาออยล์ที่สูงขึ้น รวมถึงการปิดซ่อมบำรุงของโรงงาน LAB และ Khmarsari ตามแผน
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานในครึ่งปีแรกยังคงแข็งแกร่งที่ 618 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีอัตราการแปลง EBITDA เป็นเงินสดอยู่ที่ 111% สะท้อนให้เห็นถึงวินัยทางการเงินและการบริหารต้นทุนหมุนเวียนที่มุ่งเน้นในการรักษาสภาพคล่องของบริษัท ในไตรมาสนี้ บริษัทได้เริ่มทบทวนแผนเชิงกลยุทธ์ของ portfolio EEG และดำเนินการเข้าซื้อหุ้น 24.9% ใน EPL แล้วเสร็จ เพื่อเสริมธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในอินเดีย
สำหรับไฮไลท์ของตามกลุ่มธุรกิจ Combine PET มี EBITDA อยู่ที่ 281 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้ภาวะตลาด EEG ในสหรัฐจะยังคงอ่อนตัว อินโดเวนย่ายังคงทรงตัวโดยได้รับแรงหนุนจากการดำเนินงานในอียิปต์และฟิลิปปินส์ ขณะเดียวกัน บริษัทได้เข้าซื้อหุ้น EPL เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์มบรรจุภัณฑ์ในอินเดีย
ธุรกิจอินโดเวนยาเผชิญแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนตัวลงใน portfolio Essential และต้นทุนวัตถุดิบปาล์มคานาออยล์ที่สูงขึ้น ราคาพลังงานและราคาตัวเร่งปฏิกิริยาแอนติโมนีที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบเชิงลบต่อ EBITDA อยู่ที่ 48 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่บริษัทสามารถบรรเทาผลกระทบส่วนผ่านการประหยัดต้นทุนคงที่ หรือ Fix Cost อยู่ที่ 51 ล้านเหรียญสหรัฐ การเพิ่มประสิทธิภาพของสินทรัพย์และการบริหารพาณิชย์ที่ดีขึ้น ธุรกิจไฟเบอร์มีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดย Adjusted EBITDA เพิ่มขึ้น 21% จากการฟื้นตัวของอุปสงค์
ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ บริษัทรายงาน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 330 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักจากการกลับสู่ภาวะปกติของอัตรากำไร MTBE จากระดับที่สูงผิดปกติในปีก่อนหน้า ซึ่งผลกระทบต่อผลประกอบการของกลุ่ม Cpet รวมถึงอัตรากำไรบูรณาการในกลุ่มอินโดเวนยาที่อ่อนตัวลง อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเหล่านี้ถูกบรรเทาบางส่วนจากการประหยัดต้นทุนคงที่ ผ่านการบริหารสินทรัพย์และผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจ lifestyle fiber ภายใต้สภาวะอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น เมื่อเทียบรายไตรมาส EBITDA เพิ่มขึ้น 20% สะท้อนถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งโดยได้รับแรงหนุนจากแต่ละกลุ่มธุรกิจดังนี้
- ธุรกิจ Cpet ได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ตามฤดูกาล การกลับมาดำเนินงานตามปกติหลังมีการปิดซ่อมบำรุงตามแผน ในกลุ่มธุรกิจ Intermediate และความเป็นเลิศทางเชิงพาณิชย์
- ธุรกิจอินโดเวนยา หรือ Packaging มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากอุปสงค์ของตลาดที่แข็งแกร่ง ในขณะที่อินโดวินยา มีผลประกอบการที่ลดลงจากต้นทุนปาล์มคานาออยล์ที่สูงขึ้น อัตรากำไรบูรณาการที่อ่อนตัวลงจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผน
- ธุรกิจไฟเบอร์ยังคงทรงตัว แม้ว่าผลประกอบการของกลุ่ม Lifestyle จะอ่อนตัวลง โดยได้รับการปรับราคาและต้นทุนพลังงานที่ลดลงในยุโรป
ในไตรมาส 2 นี้ ธุรกิจ Combine PET มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 191 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 52% Q on Q แต่ลดลง 7% Y on Y โดยปริมาณการขายผลิตภัณฑ์ปลายทาง หรือ End Product เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน ขณะที่ปริมาณการขายรวมของ Cpet เพิ่มขึ้น 3% สะท้อนถึงการกลับสู่ภาวะปกติภายหลังการปิดซ่อมบำรุงตามแผน อย่างไรก็ตาม ปริมาณการขายในยุโรปลดลงจากปัญหาการดำเนินงานของโรงงาน PT แห่งหนึ่ง
การลดลงของ EBITDA เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักจากการกลับสู่ภาวะปกติของอัตรากำไร MTBE จากระดับที่สูงผิดปกติในปีก่อนหน้า ตลาด Integrate EEG อ่อนตัว ปริมาณ EO และ EG ที่ลดลง ระยะเวลาของแคมเปญ NDC และต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากภาวะอุตสาหกรรมที่ดีขึ้นและต้นทุนพลังงานที่ลดลง
ธุรกิจ Integrated PET เป็น ซึ่งเป็นธุรกิจสายหลัก มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 160 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 31% โดยได้รับการอุปสงค์ที่แข็งแกร่งปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นและประสิทธิภาพต้นทุนแม้ว่าปริมาณการขายจะลดลง 9% เมื่อเทียบกับช่วงปี ก่อน ธุรกิจ Intermediate Chemical ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งโดยมี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 28 ล้านเหรียญสหรัฐเทียบกับ 4 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสก่อน ขณะที่กลุ่ม Specialty Chemical ปรับตัวดีขึ้นเป็น 4 ล้านเหรียญสหรัฐจาก 1 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยได้แรงหนุนจากปริมาณการขายของ NDC ที่เพิ่มขึ้น แม้จะเผชิญแรงกดดันจากอุตสาหกรรมและความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ธุรกิจ Cpet ยังคงแข็งแกร่งจากความได้เปรียบที่มีเครือข่ายการดำเนินงานทั่วโลกและการบูรณาการเชิงกลยุทธ์ โดยคาดว่าปริมาณการขายจะฟื้นตัวจากการเดินหน้าแคมเปญ NDC อย่างต่อเนื่องและการเริ่มดำเนินงานของสินทรัพย์ Recycle แห่งใหม่ในอินเดีย
ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา บริษัทได้บรรลุอีกหนึ่งก้าวสำคัญโดยสามารถรีไซเคิลขวด PET หลังการบริโภคได้มากกว่า 150,000 ล้านขวด นับตั้งแต่ปี 2554 ปัจจุบันเราดำเนินงานรีไซเคิล 1,000 ล้านกว่า 20 แห่งใน 11 ประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรที่แข็งแกร่งทำให้เราสามารถรีไซเคิลได้เท่ากับ 789 ขวดต่อวินาที ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเราต่อเศรษฐกิจหมุนเวียนและการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในโครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรมและการศึกษาเพื่อความร่วมมือ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญได้แก่หลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 3.8 ล้านตัน ลดขยะที่เข้าสู่หลุมฝังกลบ 2.8 ล้านตันและให้ความรู้แก่ผู้คนเกือบ 1 ล้านคนผ่านโครงการ West Hero ของเรา ที่สำคัญการดำเนินงานของเรามีการพัฒนาการอย่างชัดเจนโดยใน 9 ปีแรกในการรีไซเคิลครบ 50,000 ล้านขวด ใช้เวลาเพียง 3 ปี ครึ่งจากการเพิ่มเป็น 100,000 ล้านขวด และใช้เวลาถึง 2 ปีในการเพิ่มอีก 50,000 ล้านขวด ซึ่งสะท้อนถึงอุปสงค์ในวัสดุรีไซเคิลทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นและความสามารถของเราในการขยายกำลังการผลิตที่รวดเร็ว ซึ่งนี่เป็นจุดเป็นจุดเริ่มต้นไม่ใช่จุดสิ้นสุด เรายังคงเดินหน้าขยายกำลังการผลิตพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีรีไซเคิลและเสริมสร้างความร่วมมือรวมถึงโรงงานใหม่ในอินเดียโดยแห่งแรกที่กำหนดจะเปิดในรัฐโอริสชาในช่วงครึ่งหลังของปี 2568
ต่อไปเป็นธุรกิจอินโดเวนดา หรือ ตัว Packaging นะครับ อินโดเวนดาซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจด้านบรรจุภัณฑ์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วของบริษัท รายงาน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 27 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อของปีที่ผ่านมา แม้ว่ายอดขายของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในฟิลิปปินส์จะลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า Adjusted EBITDA เพิ่มขึ้น 28% สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางด้านการดำเนินงานและปัจจัยฤดูกาลที่ส่งผลดี โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 9% จากความต้องการที่แข็งแกร่งในอียิปต์และฟิลิปปินส์ ปรับผลกระทบจากปริมาณการเป่าขวดที่ยกเลิกไปในปี 2517 แล้ว EBITDA ในไตรมาสที่ 2 ในปี 2568 เติบโต 12.5% จาก 24 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 2 ปี 2557 เป็น 27 ล้านเหรียญสหรัฐในปี ในไตรมาส 2 ปี 2568 อินโดเวนดายังคงมีฐานธุรกิจที่มั่นคงและมีศักยภาพแก่การเจริญเติบโตเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม เราได้เสร็จสิ้นการเข้าซื้อหุ้น 24.9% ในบริษัท EPL ซึ่งจะรับรู้รายได้เต็มจำนวนตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2568 เป็นต้นไป
สำหรับธุรกิจอินโดเวนดาในไตรมาส 2 ปีนี้ ยังคงยึดมั่นในกลยุทธ์ที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและความยั่งยืน ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงหรือ High Value added มีสัดส่วนรายได้สุทธิ 81% โดยมี Adjusted EBITDA ที่แข็งแกร่งอยู่ที่ 17% ปริมาณการขายเติบโต 4% จากไตรมาสก่อน โดยมียอดขายแข็งแกร่งในกลุ่ม Top Solution และ HPT แรงกดดันโดยหลักมาจากอัตรากำไรบูรณาการที่ลดลงจากความผันผวนของภาษีศุลกากรและการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนรวมมูลค่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะกลับสู่ภาวะปกติในครึ่งหลังของปี ธุรกิจ essential คิดซึ่งคิดเป็นร้อยละ 19 ที่เหลือของรายได้สุทธิโดยมีผลขาดทุน 7 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสนี้ ซึ่งได้รับผลกระทบส่วนต่างราคา โอรีเคมิกอลที่ลดลงเนื่องจากปาล์มคานาออยล์ที่สูงขึ้นและปิดซ่อมบำรุงตามแผน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีลักษณะเป็นนวัตกรรมจากผลการดำเนินงาน จึงคาดว่าจะค่อยๆดีขึ้นตามการฟื้นตัวของวัฏจักร portfolio นี้มีบูรณาการอย่างใกล้ชิดกับการผลิต HVA เพื่อสร้างการดำเนินงานร่วมกันในเชิงปฏิบัติการ บริษัท ยังคงให้ความสำคัญกับการปรับปรุงภายในองค์กร หรือ Self Help โดยสามารถลดต้นทุนคงที่ได้ที่ 14 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าเงินทุนหมุนเวียนจะเพิ่มขึ้นในช่วงปีหลัง ในปี 2568 โดยหลักมาจากการลดลงของเจ้าหนี้การค้า ซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวรวมกับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและผลกระทบของราคาปาล์มคานาออยล์ต่อสินค้าคงคลัง แต่แล้วคาดว่าเงินทุนหมุนเวียนจะปรับลดลงในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะส่งผลให้เงินทุนหมุนเวียนสุทธิโดยโดยรวมใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมาครับ
ในไตรมาส 2 ปีนี้ กลุ่มธุรกิจไฟเบอร์รายงาน Adjusted EBITDA อยู่ที่ 47 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเติบโตนี้ขับเคลื่อนโดยการดำเนินงานของฝ่ายบริหารและลดต้นทุนคงที่ และการปรับตัวดีขึ้นของสภาวะอากาศ PSF จาก 98 ล้านเหรียญสหรัฐต่อตันในไตรมาสที่ 2 ปี 2557 เป็น 135 ล้าน 135 เหรียญสหรัฐต่อตันในไตรมาส 2 ปี 2568
ผลกระทบของแต่ละสายธุรกิจย่อยมีการผสมผสานกันกลุ่ม lifestyle ที่ Adjusted EBITDA อยู่ที่ 19 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 14% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากอัตรากำไรที่อ่อนตัวลงแม้ว่าเอเชียจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบในบราซิลและยุโรปที่เร่งดำเนินการปิดสินทรัพย์และเสร็จสิ้นในไตรมาสนี้ ธุรกิจ Mobility และ มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 49% จากไตรมาสก่อน ปัจจัยหนุนหลักมาจากการปรับราคาลดต้นทุนคงที่และราคาพลังงานที่ลดลงในยุโรป ปริมาณการขายยังคงทรงตัวแม้ว่าการ แม้ว่าความต้องการจากผู้ผลิตยานยนต์ หรือ OEM จะในยุโรปจะอ่อนตัวลงโดยธุรกิจถุงลมนี้ได้รับผลกระทบชัดเจนจากการชะลอตัวของการผลิตรถยนต์โดยเฉพาะในตลาดของบริษัท กลุ่ม Hygiene มี Adjusted EBITDA อยู่ที่ 9 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 27% จากไตรมาสก่อนเนื่องจากความอ่อนแออย่างต่อเนื่องในทวีปยุโรปและผลกระทบบางส่วนถูกชดเชยโดยปริมาณการขายเพิ่มๆ ขึ้นในทวีปอเมริกา ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณเบื้องต้นจากอัตราด้านภาษีล่าสุด โดยรวมแล้วแม้จะมีแรงกดดันในบางภูมิภาค การบริหารต้นทุนและปรับ ปรับ โครงสร้างสินทรัพย์ยังคงสนับสนุนผลประกอบการที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานรวม 618 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราเปลี่ยนแปลง Adjusted EBITDA เป็นกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งอยู่ที่ระดับ 111% โดยในจำนวนนี้ 404 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงและต้นทุนทางการเงินซึ่งรวมถึงดอกเบี้ยที่ต้องชำระสำหรับหุ้นกู้ และเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นส่วนน้อย ทำให้เหลือกระแสเงินสดอิสระหรือ Free Cash Flow สำหรับผู้ถือหุ้นบริษัทอยู่ที่ 214 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งช่วยลดหนี้สุทธิจาก 7.8 พันล้านเหรียญสหรัฐคงเหลือ 6.96 พันล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 53 ล้านเหรียญสหรัฐและจ่าย ปล่อย ทุนเพื่อตัว เพื่อการเติบโตจำนวน 128 ล้านเหรียญสหรัฐ ในโครงการรีไซเคิล การลงทุนในส่วนนี้ยังคงเกี่ยวเครื่องจากโครงการ ที่ ville และโครงการอื่นๆ รวมถึงการเข้าซื้อกิจการ EPL มูลค่า 221 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ซึ่งทำให้หนี้สินสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 7.36 พันล้านเหรียญสหรัฐ คณะผู้บริหารของบริษัทยังคงมุ่งเน้นการสร้างกระแสเงินสดอิสระและดำเนินงานตามเป้าหมายเพื่อลดระดับหนี้สินสุทธิของบริษัทโดยคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากการขายที่ดินและสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างหนี้ปริมาณ 190-200 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ถึงปี 2569 ในไตรมาสนี้บริษัทรับรู้กำไรจากการประเมินมูลค่าที่ดินใหม่ สุทธิจากภาษีจำนวน 364 ล้านเหรียญสหรัฐ สะท้อนถึงมูลค่ายุติธรรมตามราคาตลาดที่ปรับปรุงแล้ว รายการนี้จะเป็นรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับกระแสเงินสดและไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือกระแสเงินสดของบริษัท
เรายังคงมุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารทุนหมุนเวียนในไตรมาส 2 ปีนี้ เงินทุนหมุนเวียนอยู่ที่ 92 วัน โดยเรากำลังดำเนินการมาตรการที่ชัดเจนเพื่อค่อยๆลดจำนวนวันดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าไว้ระยะยาวที่ 83 วัน ภายในปีนี้ 2568 และ 78 วันภายในปี 2570 ในขณะเดียวกันเรายังคงรักษาวินัยในการจัดสรร เงินลงทุนโดยมุ่งเน้นโครงการจำเป็นและศักยภาพในการเติบโตสูง ตัวอย่างสำคัญคือร่วมมือกับบริษัท ใน ในการสร้างโรงงานรีไซเคิลแห่งใหม่ 3 แห่งในประเทศอินเดีย ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 และปี 2569 และปี 2570 ตามลำดับ เงินลงทุนเพื่อการเติบโตในเครื่องหลังของปี 2568 แสดงเป็นค่าติดลบเนื่องจากไม่รวมรายได้จากการขายที่ดินในแคนาดาและรเตอร์ดัมจำนวน 85 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยยังคงมีรายได้เพิ่มเติมจากขายที่ดินในออสเตรเลียซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2569 เงินลงทุนในปีนี้อยู่ในระดับสูงเนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงและตามแผนที่โรงงานแครกเกอร์และ EEG ซึ่งจะเกิดขึ้นทุกๆ 4 ปี และที่โรงงาน POB ซึ่งกำหนดทุกๆ 5 ปี นอกจากนี้เงินรวมถึงการเข้าซื้อหุ้น 24.9% ในบริษัท EPL มูลค่า 221 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสนี้ด้วย
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนปรับปรุงแล้วหรือ Adjusted Net Debt to Equity Ratio อยู่ที่ 1.39 เท่าและอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ หรือ DCR อยู่ที่ 1.27 เท่าสะท้อนถึงสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง แผนการรีไฟแนนซ์ของเรายังดำเนินงานตามเป้าหมายโดยมีแผนรีไฟแนนซ์รวม รวมเงิน 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 เพื่อขยายระยะเวลาในการชำระหนี้และเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนอย่าง ทางการเงิน โดยในเดือนกรกฎาคม 2568 อินโดเวนยาได้ระดมทุนจำนวน 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐผ่านวงเงินกู้แบบซินดิเคท โดน ระยะเวลา 5 ปีแบบไม่มีหลักประกัน ในอัตราดอกเบี้ยที่ เอื้ออำนวยโดยมีสถาบันการเงินชั้นนำ 8 แห่งรวมในธุรกรรมนี้ เงินกู้ ระยะ ยาวดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับทุนของอินโดเวนยาและจะถูกนำไปชำระหนี้เดิมและชำระหนี้ที่กำหนดภายในปี 2569 ล่วงหน้า
นอกจากนี้ในครึ่งปีแรกของปี 2568 เรายังได้จัดหาเงินกู้ระยะ ยาวเพิ่มเติมจำนวน 3 300 ล้านเหรียญสหรัฐในสกุลเงินบาทเพื่อใช้ลงทุนในโครงการขยาย การผลิตและรีไฟแนนซ์ โดยได้รับผลประโยชน์จากการประหยัดต้นทุนดอกเบี้ยที่ 0.25% จากการปรับ ปรา ดอกเบี้ยของ ในตามนโยบายของไทยซึ่งจะช่วยประหยัดดอกเบี้ยได้ประมาณ 4.2 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ขนาดที่การทำ Cross Currency Swap US ดอลลาร์ ไทย บาท ที่เสร็จสิ้นไตรมาสที่ 2 จะช่วยประหยัด ได้อีก 12-14 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี สภาพคล่องยังคงแข็งแกร่งโดยมีเงินสดและวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้รวม 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้มีความยืดหยุ่นทางการเงินเมื่อเทียบกับสภาวะตลาด และเพื่อการสนับสนุนแผน กลยุทธ์ ทุก กิจ และเป้าหมายการเจริญ การเติบโตระยะยาวของบริษัท
สำหรับภาษีนำเข้าล่าสุดสหรัฐ ในส่วนของ US Tariff คาดว่าจะส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อบริษัท โดยปัจจุบันสหรัฐมีการเก็บภาษีนำเข้าอย่างน้อย 10% จากทุกประเทศและเพิ่มขึ้น 10 เป็น 15% หรือมากกว่าในสำหรับประเทศที่มีดุลการค้าสุทธิเป็นบวก ซึ่งเป็นผลดีต่อห่วงโซ่ธุรกิจของเรา โดย Margin ของ พาราไซลีนและ PTA ในสหรัฐปรับตัวดีขึ้นในขณะที่PA ได้รับผลประโยชน์จากการนำเข้าเมื่อ เทียบ เท่าดีขึ้น PET ยังคงได้รับผลกระทบ ต่อเนื่องจาก การ ได้รับการยกเว้นภาษีส่วน EG และ อีรีน ได้รับผลกระทบปานกลางเช่นเนื่องจากบริษัทมีความสมดุลในการซื้อขาย ในฝั่ง Downstream กลุ่ม Mobility และ Hygiene มีแนวโน้มได้รับผลประโยชน์เชิงบวกจากภาษีที่บังคับใช้ กับเวียดนามและจีนและเกาหลีใต้ โดยรวมแล้วภาษีเหล่านี้ ช่วย เสริมความสามารถในการแข่งขันของบริษัท สร้างโอกาสในการตั้งราคาที่ดีขึ้นและคาดว่าจะส่งผลเชิงบวก ได้ประมาณ 20-25 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
ขอสรุปประเด็นสำคัญ ในไตรมาส 2 ปี 2568 ก่อนเข้าสู่ช่วง ถาม ตอบ นะครับ ในไตรมาสที่ 2 มีพัฒนาการที่ดีขึ้นจากไตรมาสแรกโดยผลการดำเนินงานธุรกิจของกลุ่ม Cpet แข็งแกร่งขึ้นหลังการปิดซ่อมบำรุงตามแผนและความคลี่คลายจากผลกระทบด้านสภาพอากาศที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปี Cpet ได้รับผลประโยชน์จากปริมาณการขายที่สูงขึ้นและสภาวะตลาด Integrate PEG ที่ดีขึ้น ขณะที่ธุรกิจ Intermediate Chemical ฟื้นตัวหลังจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงานแครกเกอร์และ EEG ในสหรัฐ โดยคาดว่าจะได้รับประโยชน์เต็มไตรมาสในไตรมาสที่ 3 อินโดเวนยา เผชิญกับแรงกดดันชั่วคราวจากกลุ่ม essential ที่อ่อนตัวลงเนื่องจาก ต้นทุนวัตถุดิบ ที่สูงขึ้น margin ที่อ่อนตัวลงและการปิดซ่อมตามแผน แต่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 3 จากฤดูกาลที่เก็บเกี่ยวราคาต้นทุน เริ่มผ่อนคลายและไม่มีผลกระทบจากการปิดซ่อมบำรุง ธุรกิจ Fiber ทรงตัวจากการชะลอตัวของกลุ่ม lifestyle ชดเชยผลบวกจากการปรับราคาขายและต้นทุนพลังงานที่ลดลงในทวีปยุโรป โดยคาดว่าไตรมาส 3 จะยัง คง อ่อนตัวตามฤดูกาลในช่วงวันหยุดของยุโรป แม้มีความผันผวนจากภาษีและการค้าโลก Model ธุรกิจแบบ Local to Local ยังคงเป็นจุดแข็งสำคัญซึ่งช่วยลดการพึ่งพาการค้าข้ามพรมแดนและเพิ่มปริ ความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ เรายังดำเนินการตามกลยุทธ์ระยะยาวโดยการเข้าซื้อหุ้นในบริษัท EPL เมื่อเดือนพฤษภาคมซึ่งจะเริ่มรับรู้ ผลประกอบการเต็มในไตรมาสตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)
- การขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในอินเดีย: การเข้าซื้อหุ้นใน EPL เป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับแพลตฟอร์มบรรจุภัณฑ์ในอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูง
- การลงทุนในโครงการรีไซเคิล: การลงทุนในโรงงานรีไซเคิลแห่งใหม่ในอินเดีย เป็นการตอบสนองต่อความต้องการวัสดุรีไซเคิลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และสอดคล้องกับนโยบายเศรษฐกิจหมุนเวียน
- การปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุน: การปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต การบริหารต้นทุน และการจัดการสินทรัพย์ เป็นโอกาสในการเพิ่มกำไรและรักษาสภาพคล่องของบริษัท
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)
- ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ: ราคาปาล์มคานาออยล์และวัตถุดิบอื่นๆ ที่สูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรของบริษัท
- ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง: ภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ภาษี และการค้าโลก อาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์และผลประกอบการของบริษัท
- การแข่งขันในตลาด: การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดปิโตรเคมี อาจกดดันราคาและกำไรของบริษัท
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)
- การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ: การลดต้นทุนคงที่ การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และการจัดการสินทรัพย์
- การปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการ: การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า และการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
- การกระจายความเสี่ยง: การขยายตลาด การลงทุนในธุรกิจที่หลากหลาย และการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)
- การเติบโตของตลาดรีไซเคิล: ความต้องการวัสดุรีไซเคิลที่เพิ่มขึ้น จะเป็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจรีไซเคิลของบริษัท
- การขยายตัวของเศรษฐกิจในเอเชีย: การเติบโตของเศรษฐกิจในเอเชีย โดยเฉพาะอินเดีย จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับการเติบโตของบริษัท
- การให้ความสำคัญกับความยั่งยืน: การให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสำเร็จในระยะยาว
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [เริ่ม Q&A นาทีที่ 42:33]
- คำถาม: สหรัฐมีแนวโน้มลดภาษีนิติบุคคลภายในประเทศ ส่งผลดีต่อบริษัทมากน้อยแค่ไหน อย่างไร?
คำตอบ: ทางบริษัทกำลังประเมินผลกระทบอยู่ แต่คาดว่าน่าจะเป็นผลดีกับบริษัท ไม่ว่าจะในเรื่องของพวกค่าใช้จ่าย R&D ด้วย เนื่องจากประมาณ 50% ของ EBITDA ของบริษัทมาจากสหรัฐอเมริกา ถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติมจะมาแจ้งให้ทราบ
- คำถาม: ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตรวมอยู่เท่าไหร่ แล้วก็มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตอย่างไร?
คำตอบ: ปัจจุบัน เรา run utilization rate อยู่ที่ 82% และเราก็มี expansion ที่เพิ่งสำเร็จไป ก็คือมีตัว fiber ที่ Maxville นะคะ แล้วก็ตัว fiber เหมือนกันที่เม็กซิโก
- คำถาม: บริษัทมีแผนที่จะเพิ่ม margin อย่างไร และประเมินแนวโน้มค่าการกลั่นแล้วก็ spread ในช่วงที่เหลือของปีเป็นอย่างไร?
คำตอบ: จุดมุ่งเน้นของบริษัทตอนนี้ก็คือการลด variable cost ของเรานะคะ ก็จะพยายามอยู่ใน first quartile ของ cost curve แล้วก็จะมีการทำพวก commercial excellence ต่างๆ มุ่งเน้นไปการปรับปรุง sales mix ของบริษัท
- คำถาม: เกี่ยวกับตัวอินเดียที่เตรียมปรับโครงสร้างภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้าและบริการ ส่งผลกระทบแก่บริษัทอย่างไร?
คำตอบ: การที่อินเดียเนี่ยปรับลด ไอ้ตัว GST ตัวเนี้ยเนี่ย มันก็ สำหรับตัว fabric ของเราอ่ะนะคะ อย่างไรก็ตามการลดตัว GST เนี่ย มันก็จะทำให้ เอ่อ ลด ภาระของผู้บริโภคอ่ะนะคะ แล้วก็จะส่งผลดีต่อความต้องการ เอ่อของผู้บริโภคที่ทำให้มันดีขึ้นค่ะ
- คำถาม: แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3 เป็นอย่างไร แล้วก็มีปัจจัยอะไรเป็นตัวหนุนบ้าง?
คำตอบ: อย่างไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาเนี่ย เราก็จะได้รับผลกระทบจากตัว plant turnaround อ่ะนะคะ อย่างไตรมาส 2 เนี่ยก็จะมีตัว plant turnaround ที่ตัวบราซิล อะไรอย่างเงี้ยนะคะ ก็จะ ส่งผลกระทบต่อ performance ของบริษัท แต่ว่าพอ เอ่อ forward ไปที่ เอ่อ ไตรมาส 3 นะคะ ก็ผลกระทบจากการ อ่า ปิดซ่อมบำรุงตามแผนเนี่ยก็จะไม่มีแล้วอ่ะนะคะ ประกอบกับตัว เอ่อ spread ของ MTBE ที่จะดีขึ้นด้วยนะคะ เพราะฉะนั้นเนี่ย ไตรมาส 3 น่าจะดีขึ้นค่ะ
- คำถาม: ภาษีที่เพิ่มขึ้นเป็น 15-19% นั้น เราสามารถปรับราคาขายในประเทศได้ 15-19% เช่นกันกับภาษีที่ผู้ผลิตต่างประเทศได้รับหรือไม่?
คำตอบ: ตัว PET เนี่ยไม่ได้รวมอยู่ใน list นั้น แต่ว่าเราอ่ะกำลังดำเนินงาน ดำเนินการอย่าง อย่างหนักหน่วงเลยนะคะ ให้เพื่อผลักดันให้ PET เนี่ยเข้าไปรวมอยู่ใน list อ่า ถ้าเกิดได้ ได้ยังไงเนี่ย มันก็จะเป็น positive ต่อบริษัทนะคะ แต่ อย่างไรก็ตาม เนี่ยตอนนี้ ตัว PTA อย่างเงี้ย ตัว fiber ก็จะได้ อ่า ได้รับประโยชน์จาก ไอ้ตัว ตัวนี้นะคะ ซึ่งประโยชน์โดยรวมๆ เนี่ยที่เรามองก็คือ 20-25 ล้านเหรียญนะคะ ซึ่งถ้าเกิด PET เนี่ยสามารถเข้าไปอยู่ใน list ด้วยเนี่ยก็จะ ได้เพิ่มอีกจาก 50-60 ล้านเหรียญค่ะ
- คำถาม: หลายๆ ประเทศ น่ะค่ะ ซื้อ อีเทน จากอเมริกา จะมีได้รับ ผลกระทบ เอ่อในทางลบเกี่ยวกับตัว เอ่อต้นทุนการ ไอ้ วัตถุดิบของเราหรือเปล่า?
คำตอบ: ตัวเราเนี่ย เราเนี่ยมีตัวแครกเกอร์อยู่ที่อเมริกานะคะ แล้วเราก็ผลิตตัว derivative ที่อเมริกาเช่นกันนะคะ เพราะฉะนั้นเนี่ยก็จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรค่ะ
สรุป
โดยสรุปแล้ว IVL มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาส 2 ปี 2568 โดยมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอกต่างๆ บริษัทกำลังดำเนินการตามแผนการเติบโตในระยะยาว โดยมุ่งเน้นที่การขยายธุรกิจในตลาดที่มีศักยภาพ การลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน