TU โชว์ผลงาน Q2/2568 กำไรโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมอัปเดตกลยุทธ์ธุรกิจ

P/E 10.26 YIELD 5.60 ราคา 12.80 (0.00%)

TU โชว์ผลงาน Q2/2568 กำไรโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมอัปเดตกลยุทธ์ธุรกิจ

1. **ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):**

ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU มียอดขาย 33,400 ล้านบาท ลดลง 5.4% จากปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการแปลงอัตราแลกเปลี่ยน 4.7% เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก และ 0.7% จาก Organic Sales ที่ชะลอตัวลงในบางส่วน อย่างไรก็ตาม กำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 19.7% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

กำไรจากการดำเนินงาน (Adjusted Operating Profit) ปรับตัวดีขึ้น 3.2% จากปีก่อน Operating Profit Margin อยู่ที่ 6.4% และกำไรสุทธิ (Adjusted Net Profit) ปรับตัวดีขึ้น 13.2% หากไม่รวม Transformation Cost กำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้น 4.4% กำไรต่อหุ้น (Earning per Share) ปรับตัวดีขึ้น 18.5% ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานที่ดีขึ้นและการซื้อหุ้นคืน

ในครึ่งแรกของปี ยอดขายอยู่ที่ 63,178 ล้านบาท ชะลอตัว 7.8% จากปีก่อน แต่ Gross Profit Margin ปรับตัวดีขึ้นเป็น 19.3% และ Adjusted Net Profit ปรับตัวดีขึ้นกว่า 11% Net Debt to Equity เพิ่มขึ้นจาก 0.9 เท่า เป็น 1.1 เท่า แต่ยังคงอยู่ในระดับที่บริษัทรับได้ เนื่องจากการจ่ายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืน

บริษัทได้ซื้อหุ้นคืนราว 400 ล้านหุ้น คิดเป็น 8.98% ของ Total Paid-Up Capital หรือคิดเป็นมูลค่า 4,300 ล้านบาท และได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (Interim Dividend) ที่ 0.35 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้อัตราการจ่ายเงินปันผลของบริษัทอยู่ที่ 59% กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 1 กันยายน

2. **โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):**

บริษัทมุ่งมั่นทำการตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มยอดขายและ Volume ของธุรกิจภายใต้แบรนด์ของตนเอง ทำให้ยอดขายแบรนด์ในสหรัฐฯ และยุโรปเพิ่มขึ้น รวมถึงในตะวันออกกลางที่มี Demand เพิ่มขึ้น

บริษัทมีฐานการผลิตในหลายประเทศ เช่น กานา, เซเชลส์, ไทย, และเวียดนาม ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันด้านภาษีและต้นทุน

บริษัทมีโอกาสในการใช้ Know-how ร่วมกับ Mitsubishi ในธุรกิจ Sashimi, Salmon, และ Pet Food

3. **ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):**

ยอดขายในไตรมาส 2 ชะลอตัว 5.4% จากปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากการแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและการชะลอตัวของ Organic Sales

ธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ในสหรัฐฯ มียอดขายลดลงจากความไม่แน่นอนในเรื่องของ US Tariff

Pet Care มี Gross Profit Margin ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากระดับ Premium Mix ที่ลดลง และค่าเสื่อมที่สูงขึ้นจากโรงงาน Automation ของ ITC

4. **วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):**

บริษัทบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีปลาทูน่าในคลังที่ราคาต่ำ

บริษัทยังคงมุ่งมั่นทำการตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อ Boost ยอดขายและ Volume ของธุรกิจภายใต้แบรนด์ของตนเอง

บริษัทมีนโยบายในการเพิ่มยอดขายและ Volume ของธุรกิจที่เป็นแบรนด์ของตนเอง ซึ่งมี Margin ที่ดีกว่า OEM

5. **แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):**

บริษัทคาดการณ์ว่าใน Quarter ที่ 2 และ 3 จะเห็นรายได้ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับ Q1 และ Q2 Gross Profit Margin ใน Q3 และ Q4 คาดว่าจะอยู่ในระดับเดียวกับ Target Guideline ที่ 18.5% - 19.5%

บริษัทคาดว่าราคาวัตถุดิบในปีนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก และ Demand จากประเทศต่างๆ จะเริ่มกลับเข้ามาดีอีกครั้ง

บริษัทได้มีการประเมินผลกระทบของ Top-Up Tax ที่เกิดจากการบังคับใช้หลักเกณฑ์ GloBE 2.0 Pillar 2 และปรับเป้าประมาณการของทั้งปีใหม่ลงมาอยู่ที่ระดับ 100-150 ล้านบาท

6. **ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session):** [นาทีที่ 44:17]

**คำถาม:** การที่ Mitsubishi เข้าถือหุ้นใน TU จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไหม?

**คำตอบ:** ก่อนหน้านี้ Mitsubishi ถือหุ้นใน TU 6% และมีที่นั่งในบอร์ด 1 ที่นั่ง จาก 11 ที่นั่ง การเปลี่ยนแปลงคือ Mitsubishi จะเข้ามามีที่นั่งในบอร์ด 2 ที่นั่ง แต่การบริหารงานและการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ยังคงเป็นของกลุ่ม Family เช่นเดิม และการบริหารงานต่างๆ ยังคงดำเนินการโดย TU ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร

**คำถาม:** แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไรบ้าง?

**คำตอบ:** ในครึ่งปีแรก บริษัทมีรายได้ที่ค่อนข้าง Soft กว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ใน Quarter ที่ 2 และ 3 คาดว่าจะเห็นรายได้ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับ Q1 และ Q2 ในมุมของ Gross Profit Margin เอง ทั้ง Quarter ที่ 3 และ 4 คาดว่าจะเห็น Gross Profit Margin อยู่ในระดับเดียวกับ Target Guideline 18.5% - 19.5% และเห็นในมุมของ Bar ที่สูง ราวๆ 19.5% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ราคาวัตถุดิบไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก และมีการเก็บ Stock ของปลาที่มีราคาถูก รวมถึง Demand ของประเทศต่างๆ เริ่มกลับเข้ามาดีอีกครั้ง เนื่องจากสถานการณ์ของ US Tariff คลี่คลาย

**คำถาม:** ราคาวัตถุดิบในครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร ทั้งทูน่า กุ้ง และแซลมอน?

**คำตอบ:** ปัจจุบัน Skipjack Tuna อยู่ที่ราวๆ 1,510 เหรียญต่อตัน ในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเพิ่งมีการประกาศบนเว็บไซต์ว่าอยู่ที่ราว 1,500 เหรียญต่อตัน โดยเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ราว 1,550-1,580 เหรียญต่อตัน ซึ่งไม่ได้ผันผวนมากนัก กุ้งในปัจจุบันอยู่ที่ 139 บาทต่อกิโลกรัม โดยใน Quarter ที่ 3 และ 4 ทั้งตัวกุ้งและตัวแซลมอน Quarter ที่ 3 อาจมีการปรับลงเล็กน้อย และกลับมาปรับตัวสูงขึ้นใน Quarter ที่ 4 ตาม Seasonal ปกติ

**หัวข้อคำถาม-คำตอบ:**

  1. ผลกระทบต่อการถือหุ้นของ Mitsubishi
  2. แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง
  3. ราคาวัตถุดิบ (ทูน่า, กุ้ง, แซลมอน)

โดยสรุป TU ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตของธุรกิจหลัก การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ แม้จะมีความท้าทายจากปัจจัยภายนอก แต่บริษัทก็พร้อมปรับตัวและคว้าโอกาสใหม่ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

โพสต์ล่าสุด