บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
SCGP โชว์ผลงาน Q2/2568: เน้นขยายตลาด Consumer Packaging, ปรับกลยุทธ์รับมือความผันผวน
P/E 23.56 YIELD 3.57 ราคา 15.40 (0.00%)Alright ครับ เริ่มกันเลย!
SCGP โชว์ผลงาน Q2/2568: เน้นขยายตลาด Consumer Packaging, ปรับกลยุทธ์รับมือความผันผวน
สวัสดีครับท่านผู้ถือหุ้น นักลงทุน และผู้เข้าร่วมชมทุกท่าน ทางบริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ช่วงของ Set Opportunity Day ในส่วนของบริษัท SCGP ครับ วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่เรามีผู้บริหารทั้งสองท่าน CEO คุณวิชาญ จิตพัดมี และ CFO คุณดนัยเดช เกศสุวรรณ มาร่วมให้ข้อมูลการดำเนินงานในวันนี้ครับ โดยข้อมูลในวันนี้จะเป็นในส่วนของครึ่งปีแรกและลงไปในรายละเอียดในส่วนของไตรมาสที่สองครับ
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
สถานการณ์ในรอบที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวน US tariff ก็ settle ไปเกือบหมดแล้ว เหลือเฉพาะของประเทศจีน ในขณะเดียวกัน geopolitical tension ที่เราพูดถึงกันวันนี้ก็ลามมาถึงระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน หวังว่า tension ต่างๆ เหล่านี้ก็จะสงบและจบลงโดยเร็ว
SCGP เน้นอยู่ 3 เรื่อง:
- เรื่องกระแสเงินสด (Cash Flow): SCGP มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
- การปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ (Adaptation): โดยเฉพาะการควบคุม Supply Chain ในยุคที่ผันผวน ในครึ่งปีแรกถือว่าทำได้ดีมาก
- ขยายธุรกิจที่เกี่ยวกับผู้บริโภค (Consumer-related Business Expansion): หรือ Consumer Packaging นั่นเอง
ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา:
- รายได้: 63,766 ล้านบาท (ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในช่วงเวลาเดียวกัน)
- ปริมาณการขาย (Volume): เพิ่มขึ้น
- ปัจจัยที่ทำให้ยอดขายลดลง: ราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน
- ถ้าเทียบกับครึ่งปีหลังของปี 2024: Volume เพิ่มขึ้น มีการ Pick up ในช่วงของ Half 1 ขึ้นมาได้ค่อนข้างดี
- EBITDA: 8,489 ล้านบาท (YoY ลดลง)
- สาเหตุที่ลดลง: เป็นไปตามทิศทางของยอดขายที่ลดลงเมื่อเทียบ YoY
- ถ้าเทียบ Half on Half: ดีขึ้นพอสมควร
- สาเหตุที่ EBITDA ดีขึ้น: Volume ปรับตัวเพิ่มขึ้น ต้นทุน (วัตถุดิบ, กระดาษรีไซเคิล, พลังงาน) ลดลง
- Margin ขยายตัว: เพิ่มขึ้นจาก Half ปลายปี 2024 (10%) เป็น 13% ในครึ่งปีแรกนี้
- กำไร: 1,910 ล้านบาท (เป็นไปในทิศทางเดียวกับ EBITDA)
สัดส่วนของรายได้:
- Consumer Packaging: เพิ่มขึ้นจาก 44% เป็น 46%
- Consumer Packaging หมายถึง: บรรจุภัณฑ์กระดาษ (กล่องกระดาษลูกฟูก, กล่อง Offset) บรรจุภัณฑ์พลาสติก บรรจุภัณฑ์อาหาร วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ (ธุรกิจใหม่)
- ยอดขายแบ่งตามประเทศ: หลักๆ ยังคงเป็นกลุ่มประเทศอาเซียน
- ไทย: เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยในช่วงที่ผ่านมา (การเติบโตในแง่ของ Demand)
ผลประกอบการไตรมาส 2:
- รายได้: 31,557 ล้านบาท (ลดลงไปเทียบกับปีก่อนหน้า)
- Volume: ดีขึ้นในไตรมาส 2 เทียบกับปีก่อนหน้า
- ราคาผลิตภัณฑ์: ลดลง (คล้ายกับ Half 1)
- QoQ (เทียบไตรมาสต่อไตรมาส): Volume ลดลง (กลุ่มที่ส่งออกและธุรกิจ Fiberbus)
- ราคา: คงที่ (ค่อนข้างทรงๆ)
- EBITDA: 4,257 ล้านบาท (YoY ลดลง แต่ QoQ สูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อย)
- สาเหตุที่ EBITDA สูงขึ้น: ต้นทุนทำได้ดีขึ้น
- กำไร: 1,010 ล้านบาท (เป็นไปในทิศทางเดียวกับ EBITDA และยอดขาย)
สายธุรกิจหลัก: บรรจุภัณฑ์ครบวงจร
- รายได้: 23,856 ล้านบาท (YoY และ QoQ ลดลง)
- YoY ลดลงมา 8.6%: มาจากเรื่องของราคาขายเป็นหลัก
- QoQ แตกต่างกัน: กลุ่ม Plastic Polymer ยอดขายเพิ่มขึ้น (Volume เพิ่มขึ้น Demand สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปดีขึ้น วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์เติบโตขึ้น)
- บรรจุภัณฑ์กระดาษ (กล่องกระดาษลูกฟูก): รายได้ค่อนข้างคงที่ เวียดนามและอินโดนีเซียไปได้ดี (ไทยมีเทศกาลสงกรานต์ทำให้รายได้ลดลงบ้าง)
- กระดาษบรรจุภัณฑ์ (ตัวหลัก): รายได้ลดลง (ปริมาณการขายหรือ Volume ที่ส่งออกลดลง ซึ่งเป็นความตั้งใจของบริษัทในการ Decouple หรือ Diversify ออกจากตลาดจีน)
- ราคา Packaging Paper: อ่อนตัวลงเล็กน้อย (อินโดนีเซียราคาขายเพิ่มขึ้นได้เมื่อเทียบกับไตรมาส)
- EBITDA เพิ่มขึ้น: 3,813 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นทั้งเทียบปีและเทียบไตรมาส)
- มาจากต้นทุนที่ดีขึ้น
- ในแง่ของไตรมาส: มาจากการที่ผลประกอบการของธุรกิจในอินโดนีเซียมีการเติบโต
- Margin เพิ่มขึ้น: จาก 15% เป็น 16%
สายธุรกิจเยื่อและกระดาษ:
- รายได้: 5,926 ล้านบาท (ลดลง)
- หลักๆ มาจากปริมาณขายและราคา
- Food Service Packaging: ไปได้ดี (ยอดขายเพิ่มขึ้น เทียบกับไตรมาสก่อน)
- บรรจุภัณฑ์อาหารที่ขายในยุโรปและอเมริกา: ดีขึ้น (High Season)
- กระดาษ Specialty: แนวโน้มรายได้ลดลง (ลูกค้ามี Inventory เยอะ การส่งออกติดเรื่องสายเรือ)
- เยื่อ: ยอดขายลดลง (Volume และราคาตลาดลดลง)
- ธุรกิจเสื้อผ้า (Dissolving Pulp): Demand ยังไม่ค่อยเติบโต
- EBITDA: 446 ล้านบาท (หดตัวลงจากปีก่อนและไตรมาสก่อน)
- ผลจากยอดขายที่ลดลง เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น (ธุรกิจนี้มีการส่งออกค่อนข้างเยอะ)
โครงสร้างทางการเงิน:
- Net Debt: 55,000 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยจากปลายปีที่แล้ว)
- การใช้เงินลงทุนต่างๆ ทำให้ Net Debt เพิ่มขึ้น
- อัตราส่วน Net Debt to EBITDA: 3.7 (เพิ่มขึ้นมาจากปลายปีก่อน)
- คาดการณ์ว่า Net Debt to EBITDA จะลดลงมาอยู่ที่ 3.3-3.4 ในช่วงปลายปีนี้
- เงินลงทุน: ใช้ไปในครึ่งปีแรกประมาณ 6,000 ล้านบาท
- Growth CapEx: ประมาณ 4,000 ล้านบาท (ซื้อหุ้นเพิ่มในบริษัท Duytan ที่เวียดนาม, Organic Expansion อื่นๆ)
- งบลงทุนปีนี้: ประมาณ 10,000 ล้านบาท
- Growth CapEx: ประมาณ 7,000 ล้านบาท
- ยังมีโครงการ M&P (Mergers & Partnerships) และ Organic ต่างๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง
- คาดว่าจะปิดดีลได้สัก 1 อันในปีนี้
- งบประมาณ 10,000 ล้านบาทอาจจะลดลงเล็กน้อยจาก 13,000 ล้านบาท (โครงการบางส่วนอาจจะชะลอ)
- จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล: เดือนสิงหาคมนี้ อัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):
อินโดนีเซีย:
- ผลประกอบการ Improve ขึ้นเมื่อเทียบกับ Q1 และ Q3 Q4 ของปีที่แล้ว
- ราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย Q2 เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบกับ Q1
- ยอดขายฝั่ง Domestic เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- จำนวนกระดาษที่ส่งออกไป China ลดลง แต่โดยรวมยังทรงตัว
- Margin ของ Domestic เพิ่มสูงขึ้น
- นโยบายบริษัท: Re-Focusing จาก China มาเน้นที่ Domestic ในอาเซียน (China ได้รับภาษี US Tariff สูง โอกาสเติบโตน้อยลง)
- EBITDA ที่ Improve ขึ้นมาจาก Domestic
- Cost Saving
- การเพิ่มทุนไปที่ Fajar (ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ Fajar ค่อนข้างสูง ดอกเบี้ยเงินกู้ที่เมืองไทยต่ำกว่าเยอะ)
- Net Debt to Equity น้อยกว่า 1
เวียดนาม:
- Restructure ในส่วนของ Rigid Packaging
- เพิ่มจำนวนการถือหุ้นอีก 30% ในบริษัทที่ชื่อว่า Duytan
- ต้องการเพิ่มการเติบโตใน Consumer Packaging โดยเฉพาะในฝั่งของเวียดนาม
- Leverage Duytan competitive advantage (ขยายและส่งมาขายในเมืองไทยเพิ่มเติมขึ้น)
- Enhance Synergy (Expand Solution และ New Product ของ Duytan เช่น Houseware)
- Houseware มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น
- ยอมรับในตลาดเวียดนาม (ขยายกลับเข้ามาสู่ในเมืองไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ส่งออกไปต่างประเทศด้วย)
การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยใช้ Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning:
- Apply ใช้ตลอดทั้ง Value Chain
- ตัวอย่าง: Production Process กับ Power Plant (Generate พลังงานหรือ Steam ที่ใช้ในการอบกระดาษ)
- ความปลอดภัย (Safety First)
- Cost Reduction (Fiber Recycle ที่กลับมาใช้ สามารถเพิ่ม Yield ได้)
- Quality Improvement (Quality Prediction และ Quality Monitoring Dashboard)
- Reliability (แสดงถึง Abnormality ของเครื่องจักร Prediction เมื่อไหร่เครื่องจักรหยุดยาว หยุดเครื่องจักรก่อน)
- Energy Efficiency (Steam Control และ Steam Reduction ปริมาณการใช้ Steam และเชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น)
Carbon Footprint Product:
- 169 Products และ 16 Process ที่ Certify by TGO
- ไตรมาสที่ 4 ปีนี้ จะทำ Carbon Footprint Product ครบ 100% ในส่วนของเยื่อและกระดาษ
- Phase ถัดไป: จะทำในส่วนของ Carbon Footprint Product ที่เป็น Polymer
EcoVadis:
- SCGP ได้รับการประเมินให้อยู่ในระดับ Platinum
- Top ของอุตสาหกรรมในส่วนของ EcoVadis ที่ให้มา
- Highest Sustainability Rating (2 ปีต่อเนื่อง)
รางวัล Best Public Company of the Year 2025 (Packaging Sector):
- Outstanding Performance
- Efficiency of the Business Management
- Sustainable
- ได้รับจากงาน Money & Banking Awards
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):
Trade และ Economic:
- ASEAN ยังเป็น Domestic Consumption ที่ยัง Growth อยู่
- US Tariff ส่งผลให้ Shift ของ Export Diversification
- ลูกค้าปรับตัว Diversify Port ไปใน Area ที่ตัวเองไม่ได้ทำ ลดต้นทุน
- China เริ่มมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดกำลังการผลิตของกระดาษบรรจุภัณฑ์ (Over Capacity)
- Inflation (อาเซียนพยายามจะลดดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ)
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):
Transformative Transformation (ปรับตัวเองอย่างต่อเนื่องให้ทันกับสภาพ Trade และ Economic ที่เปลี่ยนแปลงไป):
- เน้น Consumer Business (Consumer Packaging): 46% ของยอดขาย (เติบโตอย่างต่อเนื่อง)
- Focus ที่อาเซียน: เป็น Zone/Area/Regional ที่อัตราการเติบโตของ Consumer Packaging สูง
- นำเสนอ Solution และ Service มากขึ้น Cross-Selling มากขึ้น การมีทั้งบรรจุภัณฑ์ที่เป็นกระดาษและพลาสติก Offer New Service
- Strategic Customer Portfolio Restructure (จาก Segment เป็น Market)
- Decentralized จาก Head Office ที่เมืองไทย ไปแต่ละประเทศ (ตัดสินใจได้เร็วขึ้น Response ต่อตลาด/ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น)
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):
SCGP ยังคง Focus ที่ Consumer Packaging และ ASEAN โดยอาศัยการ Transformative Transformation อย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความผันผวนและคว้าโอกาสทางธุรกิจ
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [เริ่ม Q&A นาทีที่ 43:36]
• ปัจจัยและเป้าหมายผลการดำเนินงาน
คำถาม: ปัจจัยอะไรที่ส่งผลหลักต่อผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 และแนวโน้มของยอดขายในครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร และเป้าหมายที่วางไว้ในส่วนที่สื่อสารไว้ว่าตัว EBITDA วาง Target ไว้ที่ 18,000 ล้านยังจะคงตามนี้อยู่หรือไม่?
คำตอบ (คุณดนัยเดช):
- Q2 หลักๆ ถ้าดูในแง่ของความต้องการ ตลาดในอาเซียนยังเติบโตได้
- การเติบโตของตลาดในทุกๆ ประเทศ ถ้ามอง Year on Year ในแง่ของ Volume ไปได้ดีทีเดียว
- Volume ที่ลดลงใน Q2 หลักๆ มาจาก Fiberbus Business
- ผลกระทบจากการส่งออกกระดาษและเยื่อ Dissolving Pulp
- Integrated Packaging Business ในแง่ของ EBITDA อะไรต่างๆ ไปได้ดี เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
- ในเชิง Volume ใน Q3 ยังมองว่ายังคงไปต่อได้
- Order ต่างๆ ที่เข้ามาในช่วงต้นไตรมาส เทียบกับเดือนกรกฎาคม เทียบกับเดือนมิถุนายนยังคงเดินต่อได้พอสมควร
- ปลายไตรมาส 3 เป็นช่วงที่จะมีการผลิตสินค้าส่วนใหญ่ จะเป็น Cycle ที่ผู้ประกอบการเตรียมสินค้าสำหรับที่จะผลิตส่งมอบในช่วงปลายปี ช่วงฤดูการท่องเที่ยว ฤดูคริสต์มาส
- Volume ตรงนี้เข้ามา ถ้าเป็นในภาวะปกติ ช่วงประมาณเดือนกันยายนจะเริ่มแล้ว
- มี Upside จากตรงนี้ ในแง่ของ Volume
- ทางธุรกิจ Fiberbus เห็นการฟื้นตัวของภาค Textile Garment เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เริ่มมีขึ้นมาก
- Food Service บรรจุภัณฑ์อาหารยังอยู่ในช่วง High Season
- ในแง่ Volume ยังคงไปต่อได้
- เรื่องของราคา ในภาวะปัจจุบัน อาจจะเรียกว่าทรงๆ
- ยังไม่มีปัจจัยบวกที่จะช่วยหนุนให้การปรับราคาเป็นไปได้อย่างมาก
- ข่าวดีในเรื่องของต้นทุน
- ราคาขายปรับไม่ได้ ต้นทุนมีแนวโน้มที่จะคงตัวหรือลดลง
- ต้นทุนกระดาษ วัตถุดิบ กระดาษรีไซเคิล พลังงาน ยังอยู่ในระดับที่ต่ำ
- ถ้าเป็นสายธุรกิจ Integrated Packaging Business มีแนวโน้มที่จะคงไว้ซึ่ง Positive Momentum ในแง่ของ Performance
- Fiberbus Business หรือเยื่อกระดาษ ยังเป็น Challenge อยู่ แต่มี Upside จาก Volume หรือต้นทุน
- โดยภาพรวม Outlook ใน Q3 ยังคิดว่ายังคงมีความใกล้เคียงกับ Q2 ที่ผ่านมา
- ยังคง Maintain เป้า ในปีนี้ EBITDA อยู่ที่ 18,000 ล้าน
• การนำเข้าวัตถุดิบ
คำถาม: มีการนำเข้าวัตถุดิบจากทางสหรัฐอเมริกาเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ต่อการนำเข้าทั้งหมด และในส่วนนี้โดนผลกระทบจากความผันผวนจาก US Tariff ในครึ่งปีแรกอย่างไรบ้าง และมีมุมมองอย่างไรเกี่ยวกับการนำเข้าดังกล่าวในครึ่งปีหลัง?
คำตอบ (คุณวิชาญ):
- ปี 2025 ครึ่งปีแรก นำเข้ากระดาษจากอเมริกาประมาณ 18%
- 14% นำเข้าจากยุโรป
- 68% Source ใน Domestic (อาเซียน, ไทย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์)
- ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งออกเป็นหลัก
- บรรจุภัณฑ์ต่างๆ จะไปให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่เราส่งออกไป
- ปริมาณการผลิตไม่เพียงพอ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
- มีบริษัทย่อย 2 บริษัท
- บริษัทที่อยู่ในอเมริกา (Trader Company)
- บริษัทอยู่ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในการนำเข้าเศษกระดาษ
- การ Source จาก 2 ที่ เพื่อ Diversify Risk ในการนำเข้า
- ความผันผวนของ US Tariff ถ้าพูดถึงการนำเข้าเศษกระดาษ ไม่มีผลแต่ อย่างใด
- ถ้าพูดถึง US Tariff ที่มีผลต่อธุรกิจของ SCGP
- ผลกระทบทางตรงต่อธุรกิจ: ปัจจุบัน SCGP มีการส่งออกโดยตรงไปที่สหรัฐอเมริกา ในส่วนของครึ่งปีแรก 2,800 ล้าน (4% ของรายได้รวม ใกล้เคียงกับปีที่มา เพิ่มขึ้นเล็กน้อย Front Load คนที่ส่งไปอเมริกา)
- สินค้าที่ส่งไปที่อเมริกา: กระดาษถ่ายเอกสาร กระดาษ A4 A5 (รีม) บรรจุภัณฑ์ที่เป็น Polymer บรรจุภัณฑ์อาหาร (ถ้วยกระดาษ ชามกระดาษ ถ้วยกาแฟ Wooden Cutlery)
- ส่วนของ Impact ที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา ไม่ได้ Impact เท่าไหร่ แต่ในไตรมาสที่ 3 นี้ พอภาษีออกมา 19%
- Impact แยกเป็น 2 ส่วน: เทียบคู่แข่งที่เวียดนามกับที่จีน (จีนส่วนมากเอาเรา) ถ้า Relative กับคู่แข่ง ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบ
- ฝั่งลูกค้า Request ให้ลดต้นทุน ตอนนี้อยู่ในระหว่างที่ทำแผนลดต้นทุน เพื่อ Absorbed ช่วยลูกค้า ลูกค้าไป Request ลูกค้าปลายทางในการที่จะปรับราคาขึ้น
- ผลกระทบทางอ้อม: ลูกค้าสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์ของเรา ใส่ของของลูกค้าและส่งไปที่อเมริกา
- อยู่ใน Range ประมาณ 5-10% ที่เราขาย
- ประมาณสัก 2,000 ล้านบาท ในครึ่งปีแรก (3% ยอดขาย)
- ปริมาณนี้ไม่เยอะ ลูกค้าสามารถ Diversify ไปได้
- China ได้รับ US Tariff สูงกว่าประเทศอื่น
- ส่งไปอเมริกาได้ยากขึ้น
- จีนอาจจะมีการย้ายฐานมาฝั่งในอาเซียนเพิ่มมากขึ้น
- เราได้ประโยชน์จากการที่สามารถขายบรรจุภัณฑ์ได้มากขึ้น
- บาง Segment ลูกค้าจีน สามารถดึงคนที่ผลิตบรรจุภัณฑ์จาก China ตามมาด้วย
- อยู่ในระหว่างการติดตามความคืบหน้า
• งบประมาณการลงทุน
คำถาม: ในครึ่งปีแรกมีการลงทุนเกี่ยวกับเรื่องของ Maintenance หรือมีการสร้างโรงงานใหม่ไหม ไปแล้วกี่เปอร์เซ็นต์จากงบที่เราคุยไว้ว่าใช้ 10,000 ล้าน ในปีนี้ และในเรื่องของงบของ Maintenance CapEx ที่ลดลงไปในทุกๆ ปี ดูเหมือนจะขัดแย้งกับการขยายธุรกิจในด้านของ Consumer Packaging เรื่อยๆ ขอให้ช่วยอธิบายในส่วนนี้ด้วยครับ
คำตอบ (คุณดนัยเดช):
- ครึ่งปีแรกมีการใช้เงินลงทุนไปประมาณ 6,000 ล้าน
- Growth CapEx (ลงไปลงทุนซื้อหุ้น ขยายกิจการ ขยายโรงงาน) ประมาณ 4,000 ล้าน
- Maintenance (บำรุงรักษาเครื่องจักร) ประมาณ 800 กว่าล้านบาท (โดยเฉลี่ยแต่ละปีจะอยู่ที่ประมาณสัก 1,500-2,500 ล้าน แล้วแต่ช่วงปี)
- สัดส่วนในการลงทุนในปีนี้ (10,000 ล้าน) เงินลงทุนในฝั่งที่เป็น Maintenance (คงไว้ซึ่งความสามารถในการผลิตต่างๆ ให้สูง) ประมาณ 1,500-2,000 ล้าน (15-20% ของเงินลงทุนทั้งหมด)
- เทรนด์ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ถ้าจำแนกเป็นเรื่องของ Maintenance เพียงอย่างเดียว จะ Vary อยู่ประมาณ 2,000 กว่าล้าน 1,700 ปีนี้ก็ประมาณ 1,700-1,800 ล้าน (ค่อนข้างคงที่) บางปีที่ดูมาก อาจจะเป็นเรื่องของ Major Maintenance (Revamp เรื่องของ Boiler)
- ส่วนนี้แยกกันกับส่วนที่ลงทุนไปเสริมศักยภาพด้าน Consumer Packaging (Growth CapEx)
- กรณีของปีนี้ ใน 4,000 ล้าน ที่เป็น Growth CapEx คือการไปเพิ่ม Exposure ในบริษัทที่ชื่อว่า Duytan (คุณวิชาญเล่าให้ฟัง) ตรงนั้นใช้เงินไป 3,000 กว่าล้าน (บริษัทมีกำไรดี มี Profit Margin ในระดับสูง)
- ลงทุนส่วนนี้ไปอยู่ที่จุดที่เป็น Growth CapEx เป็นหลัก จะไม่ใช่ Maintenance CapEx
คำตอบ (คุณวิชาญ): ตามข้อมูลที่ผมลงให้ในหน้า 12 กับเรื่องการใช้ AI อย่างที่ดูในเรื่องของ Process แล้วก็ในเรื่องของ Power Plant ก็จะเห็นว่าใน Bullet ทางขวากลมๆ ที่เป็นสีทอง เราเห็นว่า Plant Reliability แล้วก็ With Advance Prediction ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีพัฒนาไปได้ก้าวไกลมาก ผมเคยพูดว่าวันนี้เราไม่เชื่อว่าสิ่งไม่มีชีวิตที่เป็นเครื่องจักรก็สามารถเรียนรู้และปรับตัวเองได้
• เป้าหมายลดการใช้ถ่านหิน
คำถาม: มีแผนอย่างไรบ้างและมีเป้าหมายเป็นอย่างไรบ้าง?
คำตอบ (คุณวิชาญ):
- ปี 2020 ใช้ Alternative Fuel และ Renewable Energy 19%
- ปีนี้ ไต่ขึ้นมาจนถึง 30 กว่าเปอร์เซ็นต์
- ปริมาณการใช้ถ่านหินลดลง
- เป้าหมาย: ปี 2050 จะลดการใช้ถ่านหินลงไปเหลือ 0
- เป้าหมายระยะใกล้: ปี 2030 Renewable Energy 47% ถ่านหินเหลือประมาณสัก 25% (1 ใน 4)
• แผนการดำเนินงาน FAJAR
คำถาม: ในส่วนของ Operation ที่อินโดนีเซียในส่วนของครึ่งปีหลัง เรามีแผนการดำเนินงานของ FAJAR อย่างไรบ้างครับ?
คำตอบ (คุณวิชาญ):
- ไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา EBITDA ของที่ประเทศอินโดนีเซียเป็นบวกก็ดีขึ้น
- มี 4 เรื่อง
- ปริมาณขายในประเทศที่เพิ่มขึ้น
- Margin Domestic นี่ดีกว่าส่งออกไป China (China ผูกเวลาระยะยาวอาจจะมี Issue เรื่อง US Tariff ที่ China โดน)
- ปรับราคาขายใน 2 ของอินโดนีเซีย ไตรมาสที่สองก็เพิ่มขึ้นประมาณสัก 2%
- จัดการต้นทุน
- จัดหาวัตถุดิบ
- มีบริษัทของเราอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ 1 ที่ (Source เศษกระดาษจากยุโรป)
- มีบริษัทของเราอยู่ที่อเมริกา 1 ที่ (Source เศษกระดาษจากอเมริกา)
- กระดาษจากอเมริกาเป็นกระดาษที่มีคุณภาพสูง
- การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- การเริ่มขยายผลการใช้ AI กับ Machine Learning ไปที่อินโดนีเซีย ทำให้ต้นทุนต่างๆ เหล่านี้ถูกลง
- ไตรมาสที่ 3 ตรงนี้ก็คิดว่าเราทำอย่างต่อเนื่อง เพิ่มตัวที่ยอดขาย Domestic
- ไตรมาสที่ 3 จะมีประเด็น
- คู่แข่งรายหนึ่ง (เบอร์ 1) จะขึ้นเครื่องใหม่ (มีผลกระทบในระยะสั้น)
- กระดาษที่เรียกว่าเป็น Commissioning Grade เข้ามาขายในตลาด
- ดู Balance กับ ดู Growth ตัวที่เบอร์ 1 นั้นลงแคปเครื่อง 700,000 ตันต่อปี
- หยุดเครื่องเก่าที่ประสิทธิภาพต่ำ 350,000 ตัน ก็คือจริงๆ มี Cap เพิ่มประมาณสัก 350,000 ตันต่อปี
- ตัดหาร 2 ครึ่งนึง ประมาณครึ่งปีหลัง ก็เหลือ 100,000 กว่า
- สามารถ Absorb Demand ของอินโดนีเซียที่เติบโตได้
- Commissioning Grade (Grade ที่อาจจะตกสเปคทำออกมาขายราคาถูกในตลาด) จะเป็นผลที่ทำให้มีผลกระทบ
- ปัจจัยภายนอก แต่ปัจจัยภายในที่ทำเอง เรื่องลดต้นทุน การขาย Domestic มากขึ้น สร้าง Relation ลูกค้า ออก Solution ใหม่ๆ
- ทำให้ Fajar ขายในส่วนของ Domestic เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
• ผลกระทบจาก US Tariff ต่อ SCGP
คำถาม: สินค้าของจีน ส่งมาขายในอาเซียน จะส่งผลต่อ SCGP หรือไม่ อย่างไร และเรามีโอกาสจะได้รับประโยชน์จากมาตรการทางภาษีตรงนี้ด้วยหรือไม่ครับ?
คำตอบ (คุณวิชาญ):
- Business Model ของ SCGP จะเรียกว่าเป็น Consumer Link ประมาณสัก 75% ยอดขาย
- เครื่องใช้ไฟฟ้า E&E (Electronic and Electrical Appliances) (Air Condition พัดลมต่างๆ)
- ตัวที่ส่งออกจากจีนมาเมืองไทย
- Consumer Product ของกิน ของใช้ อาหารสัตว์ Snack ต่างๆ ไม่มี
- จีนส่ง Product มาก็จะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรหนัก ยานพาหนะ EV
- Segmentation แตกต่างกันออกไป
- Core ของ SCGP ได้รับผลกระทบน้อยมากๆ
- เครื่องใช้ไฟฟ้า ถือเป็นโอกาสในการที่จะเข้าไปขาย (ที่ผ่านมาก็ทำแล้ว)
- SCGP มี Sales Account Executive หรือ Key Account Manager ที่เรามีอยู่
- คนจีนในการดูแลลูกค้าจีน
- ลูกค้าญี่ปุ่นก็มีพนักงานชาวญี่ปุ่นมาช่วยดูแลลูกค้าด้วย
- การพูด การสื่อสาร หรือแม้แต่การออกบินที่เป็นภาษาจีน ต้องใช้คนที่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง
- ส่วนใหญ่เราจะได้ประโยชน์ ตัวที่จะเสียประโยชน์: จีนเข้ามาเครื่องใช้ไฟฟ้า ก็อาจจะมากินแชร์ลูกค้าเก่าเรา ตรงนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องดูแล เป็นสิ่งที่ลูกค้าจะต้อง Offer Value ให้กับลูกค้า
• อัพเดท Health Care Packaging
คำถาม: อยากให้ทางผู้บริหารช่วยอัปเดตว่าตอนนี้มีลูกค้ากี่โรงพยาบาลแล้วครับ และเราเองเรามี Competitive Advantage เหนือคู่แข่งจากทั้งในประเทศและต่างประเทศหรือเจ้าเก่าๆ ในตลาดไทยอย่างไรบ้าง ตอนนี้โฟกัสตลาดประเทศไหนครับ
คำตอบ (คุณวิชาญ):
- Health Care Packaging (New Business) เข้ามาประมาณสัก 2-3 ปีแล้ว
- ทำกระดาษ ทำกล่อง ทำ Polymer ที่เป็นพลาสติก (ใช้ Injection กับ Low Molding คล้ายๆ กัน)
- เริ่มต้นจากมีบริษัทที่ชื่อ Delta Lab ที่ Spain
- Acquire หรือ M&P กับ Delta Lab ที่ Spain เพราะว่า Delta Lab มีลูกค้า
- ใช้ของ (Health Care Supply หลอด ตรวจ เลือด สบ เทส เข็ม ฉีด ยา ต่างๆ)
- Delta Lab ไป Acquire Bicapa (ทำ Tip ที่ใช้ในห้อง Lab)
- ปีที่แล้ว ขยายจากที่เรามีตลาด แล้วลงที่ DM Thailand เพื่อที่จะผลิต ของเรา
- ปัจจุบันในการขายของ Delta Lab ของเราแล้วก็ที่เราเข้ามา เป็นการขายผ่านตัวแทนจำหน่าย
- ขายโดยตรงกับโรงพยาบาล ต้องใช้การ Verify นาน
- ขายผ่านตัวแทนจำหน่าย 4 รายที่เมืองไทยด้วยกัน
- ผลิตเอง เดือนธันวาคม จะผลิตเข็มฉีดยา สลิ้งฉีดยา
- ฉีดยาเราผลิตเองเนื่องจากเป็นพลาสติก เข็มเรานำเข้ามาแต่ว่าจะประกอบในห้องปลอดเชื้อที่ที่เมืองไทย
- ยอดขายส่วนของ Health Care ทั้งหมดยังไม่เยอะประมาณสัก 2,680 ล้าน ที่เราวางแผนไว้ ตรงนี้ก็จะค่อยๆ เติบโตเข้าไป
- ตัวแทนจำหน่ายไปขาย อันนั้นเป็นหน้าที่ของตัวแทนจำหน่าย เราขายผ่านตัวแทนจำหน่าย
- มี Business Model แล้วก็ผลิตเองเยอะขึ้น ก็จะดำเนินการ ขายตรงในเรื่อง Amount ที่ที่ที่เยอะขึ้น
- Partnership (อนาคต)
- พูดคุยกับบางที่ในการที่จะเร่งในการที่ขาย บรรจุภัณฑ์ หรือเรียกว่า Health Care Supply ให้มากขึ้น
โดยสรุป, SCGP ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตในตลาด Consumer Packaging และ ASEAN พร้อมทั้งปรับตัวรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน การดำเนินงาน ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและ ESG