SYMC สรุป Oppday Q2/2568: โอกาสและการเติบโตในยุคดิจิทัล

P/E 9.79 YIELD 4.23 ราคา 3.76 (0.00%)

SYMC สรุป Oppday Q2/2568: โอกาสและการเติบโตในยุคดิจิทัล

SYMC หรือ Symphony Communication จัดงาน Oppday เพื่อนำเสนอผลการดำเนินงานไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของปี 2568 โดยมีผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วมให้ข้อมูลและตอบคำถามนักลงทุน

1. **ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):**

รายได้รวมของบริษัทเติบโตต่อเนื่อง 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยขับเคลื่อนมาจากการใช้บริการการเชื่อมต่อภายในประเทศและยอดขาย ICT ที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิลดลง 32% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้น (บางส่วนเป็นค่าใช้จ่ายเพียงครั้งเดียว) และผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน

ฐานลูกค้าในประเทศยังคงเพิ่มขึ้นและสร้างการเติบโตของรายได้ ส่วนความต้องการในลูกค้าต่างประเทศที่ชะลอตัวคาดว่าจะกลับมาได้ในครึ่งปีหลังของปี 2568

รายได้รวมในไตรมาส 2 อยู่ที่ 533.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.1% จากไตรมาสก่อน การเติบโตของรายได้นี้เป็นผลมาจากยอดขายบริการการเชื่อมต่อที่ยังคงมีความต้องการต่อเนื่อง

ครึ่งปีแรก 6 เดือน บริษัทมีรายได้รวม 1,066.7 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 2.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สัดส่วนรายได้จากลูกค้าองค์กรในประเทศเพิ่มขึ้นจาก 47% เป็น 50% ในขณะที่สัดส่วนลูกค้าต่างประเทศลดลงเล็กน้อยจาก 39% เหลือ 37% แม้ว่ารายได้ของทั้งสองกลุ่มจะมีการเติบโต แต่ธุรกิจในประเทศนั้นสูงกว่า

ต้นทุนการให้บริการในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 6.5% จากปีก่อน ซึ่งมาจากต้นทุนค่าเช่าจากโอเปอเรเตอร์รายอื่น (Leased Line) และการเชื่อมต่อข้อมูล Cloud รวมทั้งต้นทุนการขาย ICT ที่สูงขึ้น

ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารงานเพิ่มขึ้น 24.8% ในไตรมาส 2 โดยมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับพนักงานที่สูงขึ้น ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว

EBITDA ไตรมาส 2 อยู่ที่ 182.2 ล้านบาท ลดลง 5.3% จากปีก่อน และ 7% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักมาจากต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบริหารงานที่สูงขึ้น ประกอบกับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน

กำไรสุทธิไตรมาส 2 อยู่ที่ 40.1 ล้านบาท ลดลง 41.8% จากปีก่อน สำหรับภาพรวม 6 เดือน กำไรสุทธิ 90.5 ล้านบาท ลดลง 32% จากปีก่อน

สินทรัพย์รวมของบริษัทอยู่ที่ 4,558.4 ล้านบาท หนี้สินรวม 1,485.9 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 3,072.4 ล้านบาท

กระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงานเป็นบวก 303.8 ล้านบาท และมีกระแสเงินสดสำหรับการลงทุน 370.8 ล้านบาท

2. **โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):**

บริษัทมุ่งเน้นการเติบโตในตลาด Enterprise โดยเฉพาะบริการ Connectivity, Cloud และ Security

การขยายโครงข่ายไปยังศูนย์ Data Center ใหม่ๆ และการให้บริการที่เกี่ยวข้อง

บริษัทมองเห็นโอกาสในการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อของภูมิภาคอาเซียน โดยใช้ประเทศไทยเป็น Hub ในการเชื่อมต่อไปยังกลุ่มประเทศ CLMV และมาเลเซีย รวมถึงสิงคโปร์และฮ่องกง

ความต้องการใช้บริการ Cloud และ Security ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มลูกค้าองค์กร

การลงทุนใน Data Center ที่กำลังจะเกิดขึ้นจำนวนมากในปีหน้า จะเป็นโอกาสในการสร้างรายได้และ Billing ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป

3. **ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):**

ความเสี่ยงจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ (เช่น ไทย-กัมพูชา) ที่ส่งผลกระทบต่อการเชื่อมต่อและการใช้บริการ

การชะลอตัวของตลาดต่างประเทศและความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

การแข่งขันด้านราคาในตลาดโทรคมนาคม

ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเปิดพรมแดนและการกลับมาของธุรกิจและการท่องเที่ยวในภูมิภาค

4. **วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):**

การปรับแผนธุรกิจเพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยการเปลี่ยนเส้นทางการเชื่อมต่อและหาตลาดใหม่

การควบคุมและบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

การพัฒนาบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล เช่น Cloud และ Security

การใช้ประโยชน์จากโครงข่ายและ Data Center ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

5. **แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):**

บริษัทคาดการณ์การเติบโตในระดับ Low to Mid Single Digit สำหรับปี 2568 โดยหวังว่าสถานการณ์จะกลับมาดีขึ้นในปีหน้า

การเติบโตของธุรกิจจะมาจาก Data Center ที่จะเปิดให้บริการในปีหน้า และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น

บริษัทจะยังคงมุ่งเน้นการให้บริการ B2B ในตลาด Enterprise และขยายการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน

บริษัทเชื่อมั่นว่า Enterprise Transformation จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในระยะยาว

6. **ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [นาทีที่ 38:00]** * **Q: เหตุใดรายได้จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดลงในช่วง 2-3 ไตรมาสที่ผ่านมา และมีแนวทางแก้ไขอย่างไร?** * A: ตลาดต่างประเทศมีความแตกต่างจากตลาดในประเทศ รายได้มาจาก Telco Carriers, Regional Carriers และ OTT/Content Providers ซึ่งมีความผันผวนตามช่วงเวลา ปีนี้มีความต้องการจาก Carriers ลดลง และมีการยกเลิกบริการจากลูกค้าบางราย (Churn) เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลก, ความกังวลด้านต้นทุน และสงครามราคา บริษัทยังมองหากลุ่มลูกค้าใหม่จาก Global Tech Companies (AWS, Google, Microsoft, Chinese OTT) ที่ลงทุนในไทย และคาดว่าจะมีความต้องการต่อเนื่อง 3 ปี International Business จะเติบโตแบบ Organic แต่การมาของ Hyperscalers จะช่วยเพิ่มศักยภาพและ Demand ในอนาคต การลดลงของรายได้เป็นส่วนหนึ่งของ Organic Business แต่บริษัทมองหารายได้ระยะยาวจาก Big Boys * **Q: กลยุทธ์ในการจัดการประสิทธิภาพและผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ลงทุน และการขยายกำลังคน?** * A: บริษัทได้เปลี่ยน Network System ทั้งหมด เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต (7-12 ปี) และรองรับ Big Scale Customers และ Big Scale Demands Service Quality เป็นสิ่งสำคัญ (MTTR 3 ชั่วโมง) เพื่อแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว กำลังคนในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสม และจะเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานกำลังคน * **Q: การตอบสนองของตลาดต่อการที่บริษัทเข้าสู่ Cloud Security และ AI?** * A: Cloud และ Security เป็น 2 Revenue Streams ที่บริษัทให้ความสำคัญในการเติบโตในประเทศ ปัจจุบันลูกค้าต้องการ Full Solutions (Network/IT Transformation) ที่รวมถึง Cloud และ Security บริษัทมองเห็นว่าลูกค้าต้องการ Infrastructure Expansion และเป็น Service ที่บริษัทให้บริการได้ ลูกค้าของบริษัทมีขนาดใหญ่ (Big Scale), Niche Markets, Dynamic และ Customized ดังนั้น Solutions ของบริษัทจึงต้องมีทั้ง Security, Cloud และ Connectivity เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า Enterprise Transformation จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในระยะยาว (3-5 ปี) * **Q: ตัวเลขในไตรมาส 2 ค่าใช้จ่ายสูงกว่าปีก่อน และส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิ?** * A: One-Time Expenses เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นไม่ประจำ (Network Expansions, Marketing, Professional Fees) One-Time Expenses ไม่เกิดขึ้นทุกปี และขึ้นอยู่กับ Business/Operation Strategies สถานการณ์ Forex ก็มีผลกระทบ (ปีที่แล้ว Forex Gain, ปีนี้ Forex Loss) * **Q: Guidance สำหรับปี 2025? Data Center จะสร้าง Uplift หรือไม่?** * A: ปี 2025 จะเห็น Demand จาก Data Centers เพิ่มขึ้น และการลงทุนจาก International Global Tech Companies Domestic Connectivity และ International Connectivity จะเติบโต International Business จะ Give Us Additional Uplift (รายได้) แน่นอน การขยาย Network และการเพิ่ม Customers จะเติบโต Domestic จะเติบโต Double Digit (10-15%) International ต้องรออีกหน่อย แต่บริษัทอยู่ใน Position ที่เหมาะสม (Assets, Service Level) * **Q: แผนการชำระคืนเงินกู้?** * A: เงินกู้ปัจจุบัน 1.3 พันล้านบาท ชำระคืนตาม Fixed Repayment Period และไม่ต้องการ New Loan Expansions Network Expansions ส่วนใหญ่ (80-90%) มาจาก Internally Funded (Operating Cash Flow) * **Q: สัดส่วน Float Rate และ Fixed Rate ในเงินกู้?** * A: มีทั้ง Float Rate และ Fixed Rate ขึ้นอยู่กับ Bank’s Offering Rate และสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา
**สรุป:** SYMC มุ่งเน้นการเติบโตในตลาด Enterprise และ Data Center โดยการให้บริการ Connectivity, Cloud และ Security ที่ครบวงจร แม้ว่าจะมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในระยะสั้น แต่บริษัทเชื่อมั่นในการเติบโตในระยะยาว และการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อในภูมิภาคอาเซียน

โพสต์ล่าสุด