บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
MTC โชว์ผลประกอบการ Q2/2568 สินเชื่อคงค้างเติบโต 13% กำไรสุทธิพุ่ง 14.06% พร้อมเป้าหมายขยายสาขา 9,000 แห่งในปี 2570
P/E 10.79 YIELD 0.76 ราคา 33.00 (0.00%)
MTC โชว์ผลประกอบการ Q2/2568 สินเชื่อคงค้างเติบโต 13% กำไรสุทธิพุ่ง 14.06% พร้อมเป้าหมายขยายสาขา 9,000 แห่งในปี 2570
สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับนักลงทุนทุกท่านเข้าสู่กิจกรรม Opportunity Day ประจำไตรมาส 2 ของปี 2568 ในรอบการรายงานของบริษัท เมืองไทยแคปปิตอล จำกัด มหาชน ขณะนี้ทางบริษัทได้รับเกียรติจากคุณ สุรัตน์ ชายาวรเดช CFO เข้ามาร่วมให้ข้อมูลค่ะ สวัสดีครับ
ดิฉัน ญาณภัทรศินี ศรีหาอภัย นักลงทุนสัมพันธ์ค่ะ แล้วก็ในช่วงของ Q&A จะมีคุณ ปริทัศน์ เพชรอำไพ CEO เข้ามาร่วมตอบคำถามนักลงทุนด้วยค่ะ
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเข้าสู่ในช่วงของส่วนของ Financial Highlight ก่อนค่ะ นักลงทุนก็จะเห็นได้ว่าในส่วนของตัว ยอดสินเชื่อคงค้าง หรือว่า Loan Receivable ค่ะ ของไตรมาส 2 จะอยู่ที่ 174,807 ล้านบาท ก็เพิ่มขึ้นมาค่ะ จากไตรมาส 2 ของปี 2567 ที่อยู่ที่ระดับ 154,672 ล้านบาท ก็จะเห็นได้ว่าเมื่อเปรียบเทียบในส่วนของ year on year แล้วค่ะ ตัวสินเชื่อคงค้างของเราก็เติบโตขึ้นมาประมาณ 13% ซึ่งก็อยู่ในไกด์ไลน์กับที่ทางบริษัทได้สื่อสารกับนักลงทุนไว้ว่า ในปี 2568 ค่ะ เราตั้ง Target ของตัว Loan Growth อยู่ที่ระดับประมาณ 10-15% ค่ะ
ในส่วนของตัว พอร์ตสินเชื่อคงค้างค่ะ ถ้าเกิดว่าเทียบกับไตรมาส 1 นะคะ ก็จะเห็นได้ว่าในไตรมาส 1 เนี่ย อยู่ที่ระดับ 167,560 ล้านบาท ก็เพิ่มขึ้นมาประมาณ 4.3% ค่ะ ซึ่งการเพิ่มขึ้นค่ะ ของยอดสินเชื่อคงค้างนะคะ ก็จะส่งผลให้ทั้งตัวรายรับรวม แล้วก็กำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันค่ะ
ในส่วนของรายได้รวมค่ะ ไตรมาส 2 อยู่ที่ 7,546 ล้านบาท ก็เพิ่มขึ้นมาประมาณ 10.45% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้วค่ะ ที่อยู่ที่ระดับ 6,832 ล้านบาท แล้วก็เพิ่มขึ้นมาประมาณ 4.2% ค่ะ จากไตรมาส 1 ของปีนี้ที่อยู่ที่ระดับ 7,242 ล้านบาท ในส่วนของกำไรสุทธิค่ะ ไตรมาส 2 อยู่ที่ 1,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาค่อนข้างสูงประมาณ 14.06% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว ที่อยู่ที่ระดับ 1,444 ล้านบาท แล้วก็เพิ่มขึ้นมาเกือบๆ 5% จากไตรมาส 1 ที่อยู่ที่ระดับ 1,571 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ตัว Net Profit Margin ค่ะ ของไตรมาส 2 อยู่ที่ 21.83% ก็ปรับเพิ่มขึ้นมาจากในรอบของไตรมาส 2 ปีที่แล้ว ที่อยู่ที่ระดับ 21.14% แล้วก็เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 นะคะ ก็ปรับเพิ่มขึ้นมาเช่นเดียวกันจากที่อยู่ที่ระดับ 21.69%
ตารางด้านล่างค่ะ นักลงทุนก็จะเห็นได้ว่า เมื่อเปรียบเทียบ First Half ของปี 2567 กับ First Half ของปีนี้ค่ะ ก็จะเห็นได้ว่า ตัวรายได้รวมค่ะ ปรับเพิ่มขึ้นมาประมาณ 9.84% แล้วก็ในส่วนของตัวกำไรสุทธิค่ะ ก็ปรับเพิ่มขึ้นมาประมาณ 13.55% ค่ะ
ในส่วนของข้อมูลหลักทรัพย์นะคะ รอบสิ้นสุดไตรมาส 2 ค่ะ ก็จะเห็นได้ว่าราคาสูงสุดต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ค่ะ อยู่ที่ 54 บาท แล้วก็ 35.75 บาท ในขณะที่ Market Cap ค่ะ อยู่ที่ 74,730 ล้านบาท PE Ratio ค่ะ อยู่ที่ 12.35 เท่า แล้วก็ P/BV Ratio อยู่ที่ 1.94 เท่าค่ะ
หน้า นี้ก็จะแสดงถึง Major Shareholder นะคะ ก็ นักลงทุนที่ติดตามบริษัทมาในทุกๆ ไตรมาสก็จะเห็นได้ว่า การไม่ แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของ ผู้ถือหุ้นหลักมากนัก ก็อย่างที่นักลงทุนก็จะ ได้เห็นได้ว่าหลักๆ แล้วเนี่ยก็ยังถือครองโดยคุณ ชูชาติ แล้วก็คุณ ดาวนภา ค่ะ อยู่ที่ระดับ 67.46% แล้วก็รองลงมาค่ะ อันดับ 2 ก็จะเป็น สถาบันไทยนะคะ อยู่ที่ 20.29% อันดับ 3 ก็จะเป็นนักลงทุนต่างชาติค่ะ อยู่ที่ 6.25% แล้วก็อันดับสุดท้ายค่ะ จะถือครองโดยนักลงทุนรายย่อยค่ะ ประมาณ 6% ค่ะ
ในส่วนของ Milestone ค่ะ ก็ยังคงคล้ายๆ เดิมค่ะ ในปี 2568 ของบริษัทค่ะ ก็ ได้รับ Triple A ค่ะ จาก Set ESG Rating ค่ะ แล้วก็ได้รับรางวัลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรางวัลที่ชื่อว่า Thailand Capital Market Deal Awards นะคะ จาก IFR Asia Award ในรอบปี 2567 ค่ะ แล้วก็ในปี 2568 ค่ะ เราก็ได้รับรางวัลอีกหนึ่งรางวัลนะคะ จาก Global Banking and Finance Award ค่ะ โดยที่รางวัลเนี่ยเกี่ยวข้องกับ Best Microfinance Company ของประเทศไทยค่ะ
สไลด์ ทุกนี้นะคะ ก็จะเห็นได้ว่าทางเมืองไทยแคปิตอลของเราค่ะ ให้ความสำคัญในส่วนของ ESG ค่ะ แล้วก็มีการพัฒนา มีการให้ความสำคัญนะคะ แล้วก็พยายามที่จะนำ ESG เข้ามาปรับใช้ในทุกมิติของการดำเนินงานค่ะ ก็จะเห็นได้ว่า ทางบริษัทเราก็ได้เข้าอยู่ใน Index ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น MSCI, FTSE4Good หรือว่าจะเป็น Set ESG Rating ตามที่ได้แจ้งไปข้างต้นค่ะ
นอกจากนั้นค่ะ สไลด์ถัดมานะคะ ก็จะเห็นได้ว่าบริษัทค่ะ ให้ความสำคัญ ในส่วนของ Stakeholder หลายๆ ท่าน หลายๆ กลุ่มค่ะ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชุมชน ลูกค้า หรือว่าจะเป็นพนักงานของเมืองไทย แคปิตอล เองก็ดีค่ะ ในส่วนของชุมชนนะคะ เราก็มีการจัดกิจกรรม จัดโครงการต่างๆ เรื่อยๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นโครงการเมืองไทยร่วมใจ ปันโอกาส ปันเทคโนโลยีค่ะ โครงการนี้ก็เป็นโครงการที่ทางบริษัทค่ะ ได้บริจาคเครื่องคอมพิวเตอร์ค่ะ ให้กับทางโรงเรียน หรือว่าเยาวชนในพื้นที่ที่ขาดแคลนค่ะ ปัจจุบันก็มียอดรวมสะสมในการบริจาคประมาณ 100 เครื่องค่ะ โดยคอมพิวเตอร์เนี่ยมาจากการปรับปรุงเครื่องคอมพิวเตอร์เก่า เพื่อลดปัญหา E-waste แล้วก็ต้องการที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาด้วยค่ะ แล้วก็กิจกรรมล่าสุดที่ทางบริษัทได้จัดขึ้นนะคะ ก็เป็นกิจกรรมที่ชื่อว่า เมืองไทย แคปิตอล ร่วมใจบริจาคโลหิตค่ะ ของรอบปี 2568 2561 2558 ก็ โครงการนี้ก็จัดต่อเนื่องมามากกว่า 10 ปี โดยที่ทางบริษัทค่ะ ตั้งเป้าให้พนักงานของเราเนี่ยทั่วประเทศเนี่ยได้ร่วมบริจาคมากกว่า 60% โดยในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาค่ะ ทางเมืองไทย แคปิตอล ของเราค่ะ ได้ส่งมอบโลหิตรวมอยู่ที่ประมาณ 15,000 ยูนิตค่ะ โดย สามารถที่จะช่วยผู้ป่วยได้มากกว่า 46,000 ราย แล้วก็ในปีนี้ค่ะ มีเป้าหมายที่จะบริจาคอยู่ประมาณเกือบๆ 10,000 ยูนิต ระหว่างช่วงเดือนมิถุนายน จนถึงเดือนกันยายนค่ะ โดยทางบริษัทค่ะ ก็มีการสนับสนุนให้พนักงานค่ะ เข้าร่วมบริจาคให้กับโรงพยาบาล หรือว่าหน่วยงานสภากาชาดไทยค่ะ
อันนี้ก็จะเป็น Product หลักของเรานะคะ ก็จะเห็นได้ว่าในส่วนของผลิตภัณฑ์สินเชื่อค่ะ เราก็จะมีแบบออกมาเป็น 6 ประเภทด้วยกันอยู่ภายใต้ 2 ประเภทใหญ่ๆ นะคะ ประเภทแรกก็คือสินเชื่อที่มีทะเบียนเป็นหลักประกันค่ะ ก็จะประกอบไปด้วยสินเชื่อที่ใช้รถยนต์ รถจักรยานยนต์เป็นหลักประกัน แล้วก็อีก อีกส่วนหนึ่งก็จะเป็นสินเชื่อที่ใช้ที่ดินเป็นหลักประกันค่ะ แล้วก็อีกกลุ่มนึงนะคะ เราจะเรียกว่าสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ก็จะประกอบด้วยในส่วนของสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ค่ะ สินเชื่อส่วนบุคคล แล้วก็เมืองไทย Pay Later ค่ะ นอกจากนั้นแล้วค่ะ เราก็ยังมี Service บริการนะคะ ให้กับทางลูกค้าของเราค่ะ อีก 2 บริการด้วยกันก็คือ เป็น Compulsory Motor Insurance ค่ะ หรือว่าการ พรบ. การต่อ พรบ. นะคะ แล้วก็อีกประเภทหนึ่งก็จะเป็นการจำหน่ายตัว PA ประกันค่ะ
ในส่วนของขั้นตอนการให้สินเชื่อนะคะ ทางนักลงทุนก็จะเห็นได้ว่าหลักๆ เนี่ยก็จะมีอยู่ 5 ขั้นตอนใหญ่ๆ ด้วยกันค่ะ เริ่มแรกก็คือ ลูกค้านะคะ หรือผู้ที่สนใจเนี่ยสามารถเข้ามาติดต่อที่สาขาของบริษัทเราที่กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคได้ค่ะ โดยการที่ลูกค้าอาจจะนำรถจักรยานยนต์ หรือว่ารถยนต์มาเพื่อให้ทางสาขาช่วยประเมินนะคะ หรือว่าอาจจะเข้ามาติดต่อสอบถามข้อมูลก่อนก็ได้ค่ะ ซึ่งเมื่อลูกค้าเนี่ย มีความประสงค์ที่อยากจะขอสินเชื่อกับทางเมืองไทยแคปิตอลค่ะ ลูกค้าก็นำรถยนต์มาให้ทางพี่ๆ น้องๆ พนักงานที่สาขาค่ะ ช่วยเช็คข้อมูล แล้วก็ช่วยให้คำแนะนำค่ะ ซึ่ง ตั้งแต่สเต็ปแรกจนถึงสเต็ปสุดท้ายเนี่ย ก็จะใช้ระยะเวลาเฉลี่ยประมาณไม่เกิน 20 นาทีค่ะ
ในส่วนของสาขาค่ะ อย่างที่ได้เรียนนักลงทุนไปนะคะ ตั้งแต่สิ้นปีที่แล้วแล้วก็ไตรมาส 1 นะคะว่าในปีนี้นะคะ เรามีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ประมาณ 600 สาขาด้วยกัน ซึ่งในไตรมาส 2 ค่ะ เรามีเปิดสาขาเพิ่มขึ้นทั้งหมด 130 สาขา แล้วก็ถ้าเกิดว่านับจากไตรมาส 1 จนถึงไตรมาส 2 ค่ะ บริษัทก็เปิดสาขาไปประมาณ 262 สาขา แล้วก็ในปี 2570 ค่ะ เราคาดว่าสาขาเราจะมีครบอยู่ที่ 9,000 สาขาค่ะ ซึ่งในไตรมาส 2 ค่ะ สาขาทั้งหมดอยู่ที่ 8,433 สาขาค่ะ ก็จะแบ่งเป็นในส่วนของสาขาในโซนภาคเหนือค่ะ 1,062 สาขา ในโซนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2,361 สาขา โซนภาคกลาง 1,308 สาขา โซนภาคตะวันตก 514 สาขา ภาคตะวันออก 784 สาขา ภาคใต้ประมาณ 1,035 สาขา แล้วก็สุดท้ายในส่วนของพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลค่ะ ก็จะอยู่ที่ประมาณ 1,369 สาขาค่ะ ซึ่ง นักลงทุนนะคะ ก็จะเห็นได้ว่า เวลาเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ นะคะ ก็จะเห็นได้ว่าสาขาของเราเนี่ยก็จะตั้งกระจายอยู่ในแต่ละพื้นที่ของประเทศค่ะ หลักๆ แล้วก็จะมีประเภทสาขาเนี่ยอยู่ที่ 3 สาขาด้วยกัน สาขาแรกเนี่ยประเภทแรกเนี่ยเป็นสาขาใหญ่ที่สุดของเราก็จะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นเมืองใหญ่ๆ หัวเมืองใหญ่ๆ นะคะ ก็เราก็จะเรียกว่าเป็นสาขาใหญ่ ในขณะที่สเกลถัดรองลงมาค่ะ ก็จะเป็นสาขาย่อย แล้วก็สาขาเล็กสุดที่อาจจะตั้งอยู่ตามหมู่บ้านนะคะ เราก็จะเรียกว่าเป็นศูนย์บริการค่ะ ซึ่งสาขาทั้ง 3 ประเภทค่ะ ให้บริการเหมือนกัน ลูกค้าสามารถที่จะเข้าไปใช้บริการที่สาขาไหนก็ได้ตามสะดวกค่ะ
นอกจากเราจะเปิดสาขา Operate สาขาเป็นของตัวเองแล้วค่ะ เราก็ยังมีการจัดสร้างศูนย์ประมูลเป็นของตัวเองด้วยค่ะ โดยในปัจจุบันเนี่ยก็จะมีทั้งหมดอยู่ 8 แห่งด้วยกัน กระจายไปตามทั่วภูมิภาคของประเทศค่ะ ไม่ว่าจะเป็นในโซนของจังหวัดขอนแก่น ร้อยเอ็ด นครราชสีมา อันนี้ก็จะเป็นในโซนของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือค่ะ แล้วก็ในโซนของภาคเหนือตอนล่างค่ะ ก็จะเป็นในโซนของจังหวัดพิษณุโลก แล้วก็โซนภาคกลางก็จะอยู่ที่อ่างทองค่ะ แล้วก็ถัดมานะคะ ก็จะเป็นในส่วนของช่วงโซนที่อยู่ในจังหวัดชลบุรี ราชบุรี แล้วก็สุราษฎร์ธานีค่ะ
นอกจากการที่เราจะเน้นการเปิดสาขา เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าแล้วค่ะ สำหรับลูกค้าที่มีความสามารถในการเข้าถึงในส่วนของเทคโนโลยี หรือว่าแอปพลิเคชันต่างๆ ค่ะ อันนี้บริษัทก็มีการออกแอปพลิเคชันขึ้นมา เพื่อที่จะได้รองรับความต้องการแล้วก็เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า โดยที่บางธุรกรรมลูกค้าไม่จำเป็นที่จะต้องไปติดต่อที่หน้าสาขาค่ะ ปัจจุบันก็เราก็มีแอปพลิเคชันนะคะ ที่ชื่อว่า เมืองไทย Capital 4.0 ก็แอปพลิเคชันนี้ก็ Launch ออกมาตั้งแต่ปี 2561 แล้วก็มีจำนวน User มากกว่า 800,000 รายแล้วค่ะ ซึ่งในส่วนของแอปพลิเคชันนี้ค่ะ ลูกค้าก็สามารถที่จะเช็คข้อมูลลูกค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นยอดสินเชื่อคงเหลือ วันกำหนดชำระนะคะ ยอดคงเหลือต่างๆ โดยที่ลูกค้าเนี่ยสามารถเช็คข้อมูลได้ แล้วก็สามารถที่จะชำระสินเชื่อผ่านทางแอปพลิเคชันได้ด้วยค่ะ ซึ่ง นักลงทุนก็จะเห็นได้ว่ามุมขวาล่างนะคะ อันนี้ก็จะเป็น Review Score ที่เราได้รับนะคะ ก็จะอยู่ที่ระดับ 4.68 จากระดับ 5 ดาวค่ะ
ในส่วนของข้อมูลเกี่ยวกับงบการเงินนะคะ ขอเริ่มที่กราฟซ้ายมือด้านบนค่ะ ก็ตัวกราฟแท่งสีฟ้านะคะ ก็จะแสดงถึงยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทค่ะ ไตรมาส 2 ก็อย่างที่แจ้งไปอยู่ที่ระดับ 174,807 ล้านบาทค่ะ ในขณะที่มีจำนวนสาขาอยู่ทั้งสิ้น 8,433 สาขาค่ะ ก็จะเห็นได้ว่ากราฟเส้นสีเขียวด้านบน ก็จะแสดงให้เห็นว่า ยอดสินเชื่อคงค้างเฉลี่ยต่อสาขาเนี่ย จะอยู่ที่ระดับประมาณ 20.73 ล้านบาท ก็เพิ่มขึ้นมาจากไตรมาส 1 ค่ะ ที่อยู่ที่ระดับ 20.18 ล้านบาท แล้วก็เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ก็เพิ่มขึ้นมาเช่นเดียวกันจากเดิมที่อยู่ที่ระดับ 20.10 ล้านบาทค่ะ ในส่วนของคุณภาพสินทรัพย์ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นกราฟขวามือด้านบน แล้วก็กราฟขวามือด้านล่างนะคะ ขอเริ่มที่กราฟขวามือด้านบนค่ะ ก็จะแสดงถึงตัว Staging นะคะ ก็จะเห็นได้ว่า บริษัทเราค่ะ สามารถควบคุม NPL นะคะ ตัว กราฟแท่งสีแดงนะคะ ก็ต่ำลงกว่าที่เราได้สื่อสารกับทางนักลงทุนที่ว่าเราต้องการที่จะควบคุม NPL ให้ไม่เกิน 2.70% ค่ะ ในไตรมาส 2 เนี่ย ก็ NPL อยู่ที่ระดับ 2.62% ซึ่งนักลงทุนก็จะเห็นได้ว่าเทรนด์เนี่ยก็ลดลงจากไตรมาส 1 ที่อยู่ที่ระดับ 2.69% ค่ะ ในส่วนของ Stage 1 ค่ะ กราฟสีเขียว ก็จะเห็นได้ว่าเพิ่มขึ้นมาจากไตรมาส 1 จากระดับ 89.55% ไตรมาส 2 ก็ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 89.81% แล้วก็สีเหลืองค่ะ เป็น Stage 2 ค่ะ ไตรมาส 2 อยู่ที่ 7.57% ค่ะ ในส่วนของกราฟเส้นสีฟ้าด้านบนนะคะ ในส่วนของ NPL Formation ค่ะ ไตรมาส 2 อยู่ที่ 2.31% ค่ะ ถัดมาค่ะ กราฟขวามือด้านล่างนะคะ กราฟสีแดงก็อันนี้ก็จะเป็นในส่วนของ Credit Cost ค่ะ ก็อาจจะเห็นได้ว่าปรับเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยค่ะ จากไตรมาส 1 ที่อยู่ที่ระดับ 2.41% ในไตรมาส 2 ก็ปรับเพิ่มขึ้นมา 2.48% ค่ะ แต่ว่าอย่างใดก็ตามค่ะ เราได้สื่อสารกับนักลงทุนไว้ว่าเราจะคุม Credit Cost ให้ไม่เกิน 2.60% ในรอบปี 2568 ซึ่งก็นักลงทุนก็จะเห็นได้ว่า ตัว Credit Cost ถึงแม้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้นมาแต่ก็ยังอยู่ต่ำกว่าที่เราได้สื่อสารแล้วก็ที่เราต้องการค่ะ ในส่วนของกราฟซ้ายมือด้านล่างค่ะ ตัว Coverage Ratio ค่ะ บริษัทก็พยายามที่จะ Build Up ในทุกๆ ไตรมาสค่ะ ไตรมาสนี้ก็อยู่ที่ระดับ 139% ปรับเพิ่มขึ้นมาจากไตรมาสก่อนที่อยู่ที่ระดับ 138% ค่ะ
ถัดมาค่ะ จะเป็นส่วนของรายได้รวมนะคะ รายได้รวมค่ะ อย่างที่แจ้งไปตอนต้นก็เพิ่มขึ้นมาจากทั้งไตรมาส 1 แล้วก็ไตรมาส 2 ของปีที่แล้วค่ะ แต่ รายได้รวมของไตรมาส 2 อยู่ที่ 7,546 ล้านบาทค่ะ แล้วก็รายได้รวมของทั้งปีตั้งแต่ไตรมาส 1 จนถึงไตรมาส 2 ก็จะอยู่ที่ 14,788 ล้านบาทค่ะ ถัดมาค่ะ นักลงทุนก็จะเห็นได้ว่าในส่วนของโครงสร้างรายได้ของเราก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักนะคะ ในส่วนของกราฟแท่งสีฟ้า นักลงทุนก็จะเห็นได้ว่าตัวกราฟสีฟ้าค่ะ ซึ่งก็เป็นรายได้หลักของเราก็คือรายได้ดอกเบี้ยนะคะ ก็จะอยู่ที่ระดับ 97.50% ในขณะที่รายได้ค่า ฟรีอื่นๆ ค่าติดตามทวงถามค่ะ ปรับลดลงจากไตรมาส 1 ค่ะ จากอยู่ที่ระดับ 2% ไตรมาส 2 ก็อยู่ที่ระดับ 1.84% ค่ะ เหตุผลหลักๆ อันนี้ก็เป็นเพราะว่า บริษัทนะคะ สามารถที่จะควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดีขึ้นค่ะ แล้วก็ในส่วนของรายได้อื่นๆ ค่ะ อยู่ที่ 0.66% ค่ะ ซึ่งกราฟซ้ายมือด้านล่างค่ะ ถ้าเกิดว่าเรามาดูในส่วนของรายได้หลักของธุรกิจเรานะคะ ก็จะเห็นได้ว่าก็เติบโตขึ้นมาเช่นเดียวกันค่ะ อยู่ที่ระดับ 7,357 ล้านบาท สำหรับเฉพาะรายได้ดอกเบี้ยค่ะ เพิ่มขึ้นมาจากไตรมาส 1 ที่อยู่ที่ระดับ 7,058 ล้านบาท โดยที่รายได้ดอกเบี้ยของทั้งปีตั้งแต่ไตรมาส 1 จนถึงไตรมาส 2 ค่ะ อยู่ที่ 14,415 ล้านบาทค่ะ
ค่ะ ถัดมานะคะ SG&A Expense นะคะ ก็อันนี้ก็จะเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของเราค่ะ นักลงทุนก็จะเห็นได้ว่า ขวามือสุดค่ะ ตัวที่เป็นสีเหลืองนะคะ 2,953 ล้านบาท สำหรับไตรมาส 2 ก็เพิ่มปรับเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดของไตรมาส 1 ค่ะ ที่อยู่ที่ระดับ 2,829 ล้านบาท แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นค่ะ นักลงทุนก็จะเห็นได้ว่า เปอร์เซ็นต์ของ Cost to Income Ratio ค่ะ เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 แล้วก็ไตรมาส 2 เนี่ย ไตรมาส 2 ก็ปรับลดลงมาค่ะ อยู่ที่ระดับ 48.61% จากไตรมาส 1 ที่อยู่ที่ระดับ 48.84% ค่ะ เหตุผลหลักๆ ก็คือ 1 คือในไตรมาส 2 เนี่ย เรามีการเปิดสาขาน้อยกว่าไตรมาส 1 นะคะ แล้วก็ในไตรมาส 2 เนี่ย เราไม่มีการปรับเปลี่ยนในส่วนของค่าใช้จ่ายของพนักงานค่ะ
ถัดมาค่ะ ตัวกำไรสุทธิค่ะ ไตรมาส 2 อยู่ที่ 1,647 ล้านบาท ก็ปรับเพิ่มขึ้นมาจากไตรมาส 1 ที่อยู่ที่ระดับประมาณ 1,570 ล้านบาทค่ะ ซึ่งนักลงทุนก็จะเห็นได้ว่าทั้งปีไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 2 เนี่ย ตัวกำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ 3,218 ล้านบาทค่ะ
ในส่วนของกราฟซ้ายมือด้านล่างค่ะ ขอไปทีละเส้นนะคะ เส้นแรกค่ะ เส้นสีฟ้าด้านบนสุดนะคะ อันนี้ก็จะเป็นรายได้ดอกเบี้ยรับของบริษัทค่ะ ในไตรมาส 2 เนี่ยก็ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 17.85% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ที่อยู่ที่ระดับ 17.67% ค่ะ อันนี้ก็ต้องขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับนักลงทุนนะคะ ว่าทางบริษัทเนี่ยไม่ได้มีการปรับดอกเบี้ยที่เราเรียกเก็บกับลูกค้า แต่ว่าเหตุผลที่ อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเนี่ย เพราะว่าทางในช่วงของไตรมาส 2 เนี่ยมีจำนวนวันมากกว่าไตรมาส 1 ค่ะ แล้วก็ในส่วนของกราฟเส้นสีแดงค่ะ ตัว Funding Cost นะคะ ก็จะเห็นได้ว่า ยังอยู่ใน Range ที่ทางบริษัทได้สื่อสารกับนักลงทุนไว้ก็คือ ควบคุมให้อยู่ในช่วงประมาณ 4.6% ซึ่งนักลงทุนก็จะเห็นได้ว่าทางบริษัทก็สามารถที่จะ Manage ตัว Funding Cost ได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ด้วยซ้ำค่ะ ซึ่งไตรมาส 1 เนี่ย Funding Cost เราอยู่ที่ระดับ 4.44% ในไตรมาส 2 คุณก็จะเห็นได้ว่าตัว Funding Cost เนี่ยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.41% ซึ่ง Offset กันแล้วค่ะ ตัวรายได้รับแล้วก็ดอกเบี้ยจ่ายนะคะ ก็จะเห็นได้ว่า ตัว Interest Spread นะคะ ตัวเส้นสีเขียวนะคะ ก็ปรับเพิ่มขึ้นมาจากไตรมาส 1 ที่อยู่ที่ระดับ 13.23% ในไตรมาส 2 ก็ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 13.44% ค่ะ
กราฟขวามือด้านล่างค่ะ นักลงทุนก็จะเห็นได้ว่าทั้ง Net Profit Margin เส้นสีเหลืองนะคะ แล้วก็ตัว Return on Equity ตัวสีฟ้าเนี่ยก็ปรับเพิ่มขึ้นมาทั้งคู่เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ค่ะ โดยที่ตัว Net Profit Margin หรือว่าอัตรากำไรสุทธิค่ะ อยู่ที่ 21.83% ปรับเพิ่มขึ้นมาจากระดับ 21.69% ในขณะที่ ROE ค่ะ ปัจจุบันไตรมาส 2 ค่ะ อยู่ที่ 16.92% ก็ปรับเพิ่มขึ้นมาจากไตรมาส 1 ที่อยู่ที่ระดับ 16.85% ค่ะ
ในส่วนของ Interest Bearing Debt ค่ะ นักลงทุนก็จะเห็นได้ว่าสัดส่วนการใช้ Funding แหล่งเงินทุนต่างๆ เนี่ยไม่ได้ปรับเปลี่ยนมากนักค่ะ หลักๆ แล้วก็จะใช้เป็น Long Term Loan ค่ะ ประมาณ 55% ถัดมาก็จะเป็นในส่วนของสีเขียวค่ะ Current Long Term Loan อยู่ที่ประมาณ 36% แล้วก็พอชั่นที่น้อยที่สุดจะเป็น Short Term Loan ค่ะ ประมาณ 8.5% ค่ะ ซึ่งหนี้สินรวมของบริษัทนะคะ ไตรมาส 2 ค่ะ อยู่ที่ 140,410 ล้านบาทค่ะ ในขณะที่กราฟซ้ายมือด้านล่างสีเขียวนะคะ Equity ของเราทั้งหมดค่ะ ไตรมาส 2 อยู่ที่ระดับ 39,545 ล้านบาท ก็จะส่งผลให้ Debt to Equity Ratio ขวามือด้านล่างค่ะ ไตรมาส 2 เนี่ยอยู่ที่ระดับ 3.55 เท่านะคะ อันนี้ก็นักลงทุนอาจจะบางท่านอาจจะ Concern ว่า Ratio ของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นมาจากไตรมาส 1 อันนี้น่ากังวลหรือเปล่าค่ะ ทางบริษัทก็ขอแจ้งเพิ่มเติมนะคะ ว่าทุกๆ ไตรมาส 2 เนี่ย ทางบริษัทของเราเนี่ยจะมีการ จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นทุกท่านนะคะ อันนี้ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ในทำไมในทุกไตรมาส 2 เนี่ยตัว DE ของเราก็จะเพิ่มขึ้นมาเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ซึ่งนักลงทุนก็จะเห็นโน้ตเล็กๆ ข้างล่างค่ะ ว่าถ้าเกิดว่า ตัดการจ่ายปันผลออกไปเนี่ย DE Ratio ของเราก็จะอยู่ที่ระดับ 3.50 เท่า ซึ่งก็ถ้าเกิดเทียบ exclude dividend แล้วเนี่ย ตัว DE ก็ปรับลดลงมาจากไตรมาส 1 ที่อยู่ที่ระดับ 3.51 เท่าค่ะ
อันนี้ก็เป็นเพิ่มเติมนะคะ ในส่วนของโครงการ CSR ที่บริษัทได้ทำนะคะ นักลงทุนหลายท่านก็อาจจะได้เห็นจากข่าวประชาสัมพันธ์ต่างๆ นะคะ ก็โครงการแรกค่ะ ก็จะเป็นโครงการที่ชื่อว่า เมืองไทยร่วมใจมอบให้ชุมชนค่ะ โครงการนี้เนี่ยเป็นโครงการที่บริษัทเราค่ะ มีความตั้งใจที่จะส่งมอบรถจักรยานยนต์พ่วงข้างให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือที่เราเรียกกันว่า รพ.สต. ค่ะ เพื่อที่จะต้องการสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ แล้วก็เพิ่มโอกาสที่จะเข้าถึงในส่วนของ การบริการสาธารณสุขของประชาชนค่ะ ซึ่ง ปัจจุบันค่ะ เราก็มีการทำโครงการนี้นักเรื่อยๆ นะคะ ในไตรมาส ในปี 2566 เนี่ยเป็นปีแรกของเราที่เราได้เริ่มส่งมอบรถจักรยานยนต์พ่วงข้างจำนวน 20 คันค่ะ ให้กับโรงพยาบาลในจังหวัดสุโขทัย แล้วก็ในปีที่ผ่านมาปี 2567 ค่ะ เราก็ได้ส่งมอบรถจักรยานยนต์พ่วงข้างอีก 20 คันค่ะ ให้กับโรงพยาบาลในจังหวัดราชบุรีค่ะ นอกจากโครงการเมืองไทยร่วมใจมอบให้ชุมชนแล้วค่ะ แล้วก็ยังมีโครงการที่เกี่ยวกับสาธารณสุขอีกโครงการนึงค่ะ ที่ชื่อว่าโครงการเมืองไทยไม่ทิ้งกัน อันนี้ก็จะเป็นการที่ทางบริษัทนะคะ นำโดย ท่านประธานคุณ ชูชาติ แล้วก็คุณ ดานภา ค่ะ ได้บริจาคนะคะ เงินทุน แล้วก็มีการสร้างโรงพยาบาลนะคะ ให้กับโรงพยาบาลในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยค่ะ นอกจากนั้นค่ะ โครงการที่เราทำมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 12 ปีแล้วค่ะ ก็โครงการที่ชื่อว่า บ้านใหม่ของหนู ในรูปขวามือนะคะ ท่านก็จะเห็นได้ว่าอันนี้ก็จะเป็นโครงการที่เราสร้างแล้วก็ส่งมอบอาคารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ให้กับพื้นที่ที่ขาดแคลนค่ะ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กๆ แล้วก็ช่วยลดภาระผู้ปกครองระหว่างวันค่ะ ซึ่ง ก็ในปัจจุบันนะคะ เราก็มีการส่งมอบเรียบร้อยแล้วทั้งหมด 30 หลังด้วยกันค่ะ
อันนี้ก็เป็นภาพเพิ่มเติมนะคะ ของโครงการเมืองไทยไม่ทิ้งกัน ค่ะอันนี้ก็จะเป็นพื้นที่ การจัดสร้างที่ 4 นะ คะ ที่อยู่ที่โรงพยาบาล กงไกรลาศ อยู่ที่จังหวัด สุโขทัย ค่ะ
ครับอันนี้โดยภาพรวมนะครับของผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ นะครับก็อย่างที่ทางคุณยานภัคสินีได้รายงานไปนะครับ ในการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อเราก็ยังเป็น เอ่อเป็นไปตามเป้าหมายนะครับที่เราได้ให้แนวทางไว้ตั้งแต่ต้นต้นปีนะครับแล้วก็ในส่วนของเอ่อคุณภาพของทรัพย์สินนะครับเราก็มีการมอนิเตอร์แล้วก็มีการปรับเอ่อดูแลนะครับโดยใกล้ชิดนะครับไม่ให้ไม่ให้มีการ เอ่อคุณภาพของลูกหนี้เรา เอ่อด้อยค่าลงนะครับแล้วก็มีการตั้งสำรองที่คิดว่าเหมาะสมนะครับต่อสถานการณ์รวมทั้งเรื่องของการจัดหาแหล่งเงินทุนนะครับ เพื่อสนับพพอร์ตข้อมูลในการบริหารจัดการด้านการเงินนะครับแล้วก็เรื่องของต้นทุนทางการเงินนะครับที่เราก็ได้มีการบริหารจัดการนะครับแล้วก็พยายามหาแหล่งเงินทุนนะครับที่ไว้สำรองฉุกเฉินนะครับทั้งในส่วนของเอ่อที่เป็นเงินตราสกุลบาทนะครับซึ่งเป็นตัวหลักเพราะเราประกอบธุรกิจในประเทศไทยและในส่วนของการเอ่อหาแหล่งเงินทุนนะครับจากต่างประเทศ นะครับในการส่งเสริมสภาพคล่องนะครับแล้วเอ่อในสภาพสถานการณ์ที่ตลาดในเมืองในประเทศอาจจะไม่แน่นอนนะครับหรือว่ามีมีอะไรที่เอ่อสนุกนะครับในในประเทศอะไรอย่างงี้เราก็จะแหล่งเงินทุนจากต่างประเทศมาคอยสนับสนุน แล้วก็มีการเอ่อบริหารจัดการในเรื่องของเอ่อเอ่อหนี้สินระยะสั้นระยะยาวนะครับให้ให้ให้สอดคล้องกับตัวการการเก็บหนี้ของเรานะครับอันนี้ก็เราได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องนะครับเพราะวันนี้ก็ขอให้นักลงทุนได้มั่นใจในส่วนของเรื่องของการดำเนินงานตรงนี้นะครับ
สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่านครับ ขออนุญาตนะครับพอดีผม ปริทัศน์ เพชรอำไพ นะครับ CEO เมืองไทย แคปิตอล นะครับ พอดีว่าวันนี้เองมาทำธุระด้านนอกนะครับ ก็เลยขออนุญาตเข้ามาอีกช่องทางนึงนะฮะ ผมไม่มั่นใจระบบนี้ว่าทางท่านนักลงทุนจะสามารถเห็นผมหรือเปล่าเพราะว่าพอดีเป็นระบบของตลาดหลักทรัพย์นะครับ แต่สังเกตดูแล้วก็น่าจะเห็นชัดเจนเพราะว่า CFO ผมแล้วก็คุณเก้าเองก็มองมาทางนี้นะฮะ ก็ยังไงซะก็จะพยายามตอบคำถามทุกท่านนะครับ ไตรมาสที่ผ่านมาก็อย่างที่ทีมงานได้ได้เกริ่นไปนะครับ ก็ถือว่าเป็นไตรมาสที่ดีอีกไตรมาสหนึ่งนะฮะ ก็ไม่ได้แตกต่างจากไตรมาส 1 นะครับที่ที่ผ่านมานะครับแล้วเราก็คิดว่าโมเมนตัมเองขององค์กรเราเองก็น่าจะสามารถเติบโตได้นะครับทั้ง เอ่อไตรมาส 3 แล้วก็ไตรมาส 4 นะครับ คิดว่าไม่ใช่เป็นเรื่องกังวลใดๆ ทั้งสิ้นนะครับ
ยังตอบย้ำเหมือนเดิมนะครับว่าองค์กรเราเน้นความเติบโตแบบยั่งยืนนะครับเน้นเป้าหมายแบบระยะยาวนะครับแล้วก็เน้นในการที่ค่อยๆ เติบโตนะครับแล้วก็ต้นปีที่ผ่านมาพอร์ตสินเชื่อเองก็เติบโตได้ที่ 13% นะครับก็เป็นไปตามเป้าที่ทางเราให้ไว้ก็คือ 10-15% นะครับแล้วก็ตัวทิศทาง NPL เองก็ ลดลงมา นะครับแล้วก็รวมไปถึงตัว ตัวสำรองต่างๆ เองรวมไปถึงตัว Coverage Ratio ต่างๆ เองก็เป็นไปตามทิศทางที่เราได้ได้เกริ่นไปนะครับ ก็ผมว่าไตรมาสที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยมีอะไรที่เป็นเอ่อ สิ่งที่ เอ่อเปลี่ยนแปลง เอ่อ significant มากเท่าไหร่นักก็ค่อยๆ เติบโตขึ้นตามตามที่เราเอ่อบอกไปตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ขออนุญาตเข้าสู่ช่วง Q&A ค่ะ การเติบโตสินเชื่อทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ระดับเท่าไหร่ ครึ่งปีหลังการเติบโตจะดีขึ้นไหม และการเติบโตมาจากสินเชื่อประเภทไหนเป็นสำคัญไหมคะ
อัน อันนี้ก็ค่อนข้างเหมือนเดิมนะครับ 10-15% นะฮะ ก็ เอ่อครึ่งปีแรก 13% แล้ว ผมว่าน่าจะอยู่ใน Range คงไม่มีปัญหา นะครับส่วนจะเติบโตใน Segment ไหน ก็อย่างที่เราเราเราเคย เคยบอกไปว่าเราเน้นเอ่อเติบโต เอ่อใน Segment ที่มี NPL ต่ำนะครับก็คือมีหลักประกันนะฮะ ก็ทางนักลงทุนเองก็น่าจะเห็นเราเอ่อพยายามที่จะเติบโตในในสัดส่วนตรงนั้นมากขึ้นนะฮะ แต่สัดส่วนมันคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงเหมือนกับปีที่แล้วนะครับ เพราะปีที่แล้วเองเราเริ่มต้นจากการที่เอ่อมีเอ่อสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่เป็น Unsecured Loan ค่อนข้างเยอะนะครับ ปีนี้เริ่มต้นปีมันลดลงมาพอสมควรแล้วนะครับแล้วก็ work on ตรงนี้ต่อไปเรื่อยๆ นะครับ
ค่ะคำถามถัดมาค่ะ ทางบริษัทมอง NPL ในปีนี้ที่ระดับเท่าไหร่ คิดว่าจะสามารถปรับลดลงมา กว่านี้ได้อีกเยอะไหมคะ
อืม คิด คิดว่าไม่ได้ปรับเป้านะฮะ ก็ น้อง น้องเก้าฝาก Reconfirm ตลาดหน่อยว่าตั้งแต่ต้นปีมานี้เราเราสื่อสารอะไรตัวเลขอะไรบ้างนะครับ เผื่อผู้ ผู้ถูกหุ้นเขาจะได้รับรู้นะฮะ แล้วก็ปัจจุบันเป็นตัวเลขอะไรบ้างค่ะ
ค่ะ ก็อย่างที่ เอ่อเคยได้สื่อสารไว้นะคะ ทั้งในรอบปลายปีที่แล้วนะคะ แล้วก็ไตรมาส 1 ทางบริษัทก็มีการแจ้งไว้ว่าเราตั้ง Target ของ NPL ไว้ค่ะ อยู่ที่ระดับไม่เกิน 2.70% ในส่วนของไตรมาส 1 ค่ะ NPL ก็อยู่ที่ระดับ 2.69% แล้วก็ไตรมาส 2 ค่ะ NPL ก็ปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่องค่ะ อยู่ที่ระดับ 2.62% ค่ะ ในขณะที่ในส่วนของ Target ของ Credit Cost ค่ะ ที่เราตั้งไว้ก็อยู่ที่ระดับไม่เกิน 2.60% ค่ะ ในไตรมาส 1 นะคะ อยู่ที่ระดับ 2.41% แล้วก็ในไตรมาส 2 ก็อยู่ที่ระดับ 2.48% ค่ะ
ครับแล้วก็เสริมก็คือว่าตัว Coverage Ratio ของ MTC เองก็ไตรมาส 2 ก็มีการปรับเพิ่มขึ้นนะครับ ก็เข้าใจว่าอยู่ที่ประมาณสัก 140% ได้ 39 จุด จุด 5 01.01 ครับ จุด01 นะครับ ก็ประมาณนี้แล้วก็ปรับเพิ่มขึ้นตลอดเราค่อนข้าง Conservative ครับ
ค่ะคำถามถัดมาค่ะ เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ ในปัจจุบันค่ะ นักลงทุน อ่า มีความกังวลว่าจากการอพยพของแรงงานกัมพูชากลับประเทศ ทางบริษัทมีการประเมินผลกระทบอย่างไรบ้าง เช่น อัตราการ การคืนรถจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หนี้เสียจะมีไปในทิศทางไหน แล้วก็การอพยพของแรงงานเนี่ยค่ะ จะมีผลทำให้ราคารถมอเตอร์ไซค์มือสองในตลาดลดลงไปหรือเปล่าคะ
เอ๊ะ ผม ผมเข้าใจว่า อ่า ณ ตอนนี้เองอ่ะ ถ้าเกิดเรามาดู unemployment rate ของประเทศไทยอ่ะ ตัวเลขล่าสุดเองคิดว่าไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำไปนะฮะ ก็มองว่าทางอ่ากลุ่มกลุ่มแรงงานเองที่หายไปนะฮะ ก็ต้องมีความจำเป็นที่จะต้องใช้แรงงานไทยมากขึ้นนะฮะ รวมไปถึง อ่าอาจจะจำเป็นที่จะต้องอ่ามีการจ่าย เอ่อด้วยเงินที่สูงขึ้นด้วยซ้ำไปนะครับ อยู่แล้วว่าทางเห็นทางรัฐมนตรี อ่า ทาง อ่า เอ่อกระทรวง เอ่อแรงงานเองท่านเองก็บอกว่าคุณ ขาด ก็จะเอา คน พม่า พม่า มาเติม ตรง จุด นี้ นะครับ ข่าว ล่า สุด เห็น บอก ว่า ส่วน หนึ่ง ก็ จะ มา จาก ศรี ลังกา ด้วย นะ ครับ ก็ คิด ว่า อัน นี้ คือ สะท้อน ให้ เห็น ว่า unemployment rate ของ คน ไทย นี่ ค่อนข้าง ต่ำ นะ ครับ ที่ นี่ ลูกค้า MTC เอง ทั้งหมด เลย เป็น คน ไทย เท่า นั้น นะ ครับ เรา มอง ว่า จาก การ ที่ ว่า แรง งาน ขาด หาย ไป อาจ จะ มี โอกาส เป็น ไป ได้ ที่ ว่า อ่า โรง งาน หรือ ว่า ผู้ ประกอบ การ ต่างๆ ยินดี ที่ จะ จ่าย เงิน ตรง จุด นี้ สูง ขึ้น เพราะ จ้าง แรง งาน ไทย เข้า มา ทำ งาน นะ ครับ แล้ว ก็ กลุ่ม ลูกค้า MTC เอง ส่วน ใหญ่ เอง ก็ จะ เป็น พวก แรง งาน กลุ่ม นี้ นะ ครับ ทาง เรา มอง ว่า ใน ระยะ สั้น น่า จะ ส่ง ผล ค่อนข้าง โอเค กับ การ ที่ อ่า สร้าง ศักยภาพ ใน การ ผ่อน ชำระ กับ กับ MTC นะ ครับ ที่ นี่ เบื้อง ต้น น่ะ เรา เอง ก็ อยู่ ที่ เดือน เดือน สิงหาคม แล้ว นะ ครับ เรา ก็ เห็น ว่า เดือน เอะ เดือน 7 เดือน 8 เอง ยอด เก็บ ของ เรา เอง ไป ถึง ยอด ปล่อย ด้วย ก็ ไม่ ได้ กระทบ จาก จาก สิ่ง ที่ เกิด ขึ้น ระหว่าง ไทย เอ่อ ประเทศ ไทย กับ กัมพูชา ครับ ทุก อย่าง เป็น ไป ตาม แทร็ก ทุก อย่าง พัฒนา ดี ครับ
ค่ะคำถามสุดท้ายค่ะ จากนักลงทุนก่อนหมดเวลาค่ะ นักลงทุนถามเกี่ยวกับ อ่าทางบริษัทค่ะ มีอัปเดตเรื่องการกล่าวโทษ เรื่องการฝ่าฝืนการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของแบงก์ชาติอย่างไรบ้างค่ะ
ครับขอบคุณครับเก้า คือคือคืออันนี้ผมผมเข้าใจว่าเห็นเห็นอ่านักลงทุนบางคนนะฮะ ก็มีความกังวลตรงตรงจุดนี้คืออยากจะบอกว่าเอ่อตรงส่วนนี้เองเป็นส่วนที่ค่อนข้างที่จะถ้าเกิดเทียบกับผลประกอบการของเมืองไทยแคปิตอลแล้วนะครับอ่ายอดสินเชื่อเติบโตกำไรอ่ากำไรสุทธิก็นิวไฮนะครับเกือบๆ 1 1 1,600 ล้านบาทได้นะฮะที่นี้การกล่าวโทษของธนาคารแห่งประเทศไทยพอเข้าใจจุด Concern อยู่ว่ากังวลว่ามันจะไป Link กับตัวกำไรสุทธิในอนาคตจะกำลังจะบอกว่าทางเราเองประมาณการไว้ว่าโอกาสนะครับในการที่จะเสียค่าปรับตรงจุดเนี้ยที่จะเกินอ่า1 ล้านบาท ถึง 2 ล้านบาทอ่ะ โอกาสที่ ที่ จะ เกิน ตรง จุด เนี้ย ก็ คิด ว่า ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ น่า จะ สูง มาก นะ ครับ คิด ว่า 90% นะ ครับ น่า จะ โดน ปรับ ไม่ เกิน 2 ล้าน บาท นะ ครับ ดัง นั้น เอง เอ่อ ไม่ อยาก จะ ให้ นัก กังวล อ่า นัก นัก ลง ทุน กังวล ใน ใน จุด นี้ นะ ครับ อยาก จะ ให้ เน้น ผล ประกอบ การ ของ เมือง ไทย Capital มาก กว่า ที นี้ สิ่ง ที่ เรา อ่า โดน เก่า โทษ ไป สิ่ง ที่ เรา สามารถ พัฒนา ได้ ปรับ ปรุง ระบบ Operations ของ เรา ได้ เรา ก็ จะ ทำ นะ ครับ เนื่อง จาก ว่า อะไร เนื่อง จาก ว่า เรา เป็น ผู้ เล่น ราย ใหญ่ แล้ว เนื่อง จาก ว่า อะไร อีก เรา มอง เห็น ศักยภาพ ใน การ เติบโต ใน อุตสาหกรรม นี้ ใน ระยะ ยาว นะ ครับ ดัง นั้น เอง ก็