บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
GFPT อัปเดตผลประกอบการไตรมาส 1/2568: แนวโน้มสดใสในตลาดส่งออกและแผนการลงทุนเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
P/E 5.22 YIELD 2.02 ราคา 9.90 (0.00%)
GFPT อัปเดตผลประกอบการไตรมาส 1/2568: แนวโน้มสดใสในตลาดส่งออกและแผนการลงทุนเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่การประชุม Oppday ประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ผมวีรทิตย์ ทิตยานุกูลวงศ์ ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ของบริษัท GFPT จำกัด มหาชน ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การประชุมออนไลน์ในวันนี้ครับ
สำหรับวาระการประชุมในวันนี้ จะเริ่มต้นด้วยประวัติความเป็นมาคร่าวๆ ของกลุ่มบริษัท GFPT, ผลประกอบการไตรมาส 1 ที่ผ่านมา, ภาพรวมของอุตสาหกรรมในปีนี้ และสุดท้ายจะเป็น Guidance ของบริษัทประจำปีนี้ครับ สำหรับท่านใดที่มีคำถาม สามารถสอบถามได้ทางช่องทางออนไลน์ที่ทางตลาดจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งผมจะขออนุญาตรวบรวมตอบทีเดียวตอนท้ายครับ
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)
GFPT ก่อตั้งมาประมาณ 44 ปีแล้วในปีนี้ เป็นหนึ่งในผู้ผลิตไก่แบบครบวงจร โดยส่วนใหญ่จะเป็นไก่แปรรูปปรุงสุก รวมไปถึงไก่สดแช่แข็ง และมีธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจฟาร์ม และธุรกิจอาหารสัตว์ประเภทอื่นๆ ที่นอกเหนือจากไก่
นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจให้ได้รายได้หรือกำไรที่เพิ่มขึ้นแล้ว GFPT ยังให้ความสำคัญในส่วนของ ESG ด้วย โดยมีการตั้งเป้าหมายเป็น Net Zero ภายในปี 2593 ซึ่งน่าจะเป็นประเด็นหลักในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของผู้ประกอบการโดยภาพรวม
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)
วิสัยทัศน์ของกลุ่มบริษัท คือมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการผลิตไก่แปรรูปแบบครบวงจร โดยเน้นตลาดส่งออกเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่น, ประเทศในแถบยุโรป, สหภาพยุโรป, รวมไปถึงประเทศจีน นอกจากนี้ก็ยังมีประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ด้วย เช่น สิงคโปร์, มาเลเซีย, เกาหลีใต้ และประเทศอื่นๆ
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)
GFPT ค่อนข้างให้ความสำคัญกับ SDG ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางด้านสังคม, สิ่งแวดล้อม, รวมไปถึงตัวธรรมาภิบาล
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)
ในส่วนของการบริหารธุรกิจ นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจให้ได้รายได้หรือกำไรที่เพิ่มขึ้นแล้ว GFPT ยังให้ความสำคัญในส่วนของ ESG ด้วย โดยมีการตั้งเป้าหมายเป็น Net Zero ภายในปี 2593 ซึ่งน่าจะเป็นประเด็นหลักในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของผู้ประกอบการโดยภาพรวม
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)
GFPT มีรางวัลความสำเร็จต่างๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยได้รับรางวัลจากหลากหลายสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นของ IAA ซึ่งเป็นของ IR หรือนักลงทุนสัมพันธ์โดยตรง โดยได้รับรางวัลนี้ 4 ปีติดต่อกัน ซึ่งเป็นรางวัลที่ได้รับการโหวตจากทางนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ในประเทศไทย นอกจากนี้ GFPT ยังเข้าร่วมการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันในทุกรูปแบบของ CAC ในขณะที่ Rating CGR ก็ให้ตราสัญลักษณ์ยอดเยี่ยม
GFPT อยู่ในกลุ่มธุรกิจเกษตรและอาหาร ราคาปิดในช่วงปลายเดือน 4 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 10.10 บาทต่อหุ้น ถ้าเป็นราคาเฉลี่ยในไตรมาส 1 จะอยู่ที่ประมาณ 9 บาทต่อหุ้น ราคาสูงสุดในรอบปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 13.4 บาทต่อหุ้น และต่ำสุดอยู่ที่ 8 บาทต่อหุ้น มีแชร์ทั้งหมด 1,253 ล้านหุ้น พาร์อยู่ที่ 1 บาทต่อหุ้น ผู้ถือหุ้นปิดสมุดล่าสุดในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 8,774 ท่าน และมี Market Cap ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 12,600 ล้านบาท ฟรีโฟลตเกือบๆ 67% ถือว่าค่อนข้างสูง ในขณะที่สัดส่วนต่างชาติก็ไม่ได้สูงมากนัก อยู่ที่ประมาณ 8.6%
ในส่วนของนโยบายการจ่ายเงินปันผล GFPT จ่ายเงินปันผลไม่เกิน 50% ของงบการเงินเดี่ยว หลังหักเงินสำรองต่างๆ แต่ถ้าเป็นปีปกติ ตามนโยบายจะจ่ายเฉลี่ยประมาณ 80-90% ของงบเดี่ยว แต่ถ้าเป็นงบรวมหรือ Consolidated จะจ่ายอยู่ที่ประมาณ 20-30%
โครงสร้างการถือหุ้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มครอบครัวสิริมงคลเกษม ถืออยู่ที่ 51.25% ในขณะที่ Nichirei Foods ลำดับที่ 2 4.5% จะเป็น Strategic Shareholder หรือเป็นพาร์ทเนอร์ ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Joint Venture แห่งที่ 2 คือ GFPT Nichirei หรือ GFN ลำดับอื่นๆ ก็จะเป็นผู้ถือหุ้นที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่นอกเหนือจากครอบครัวสิริมงคลเกษม จะเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยทั่วไปในประเทศ ถืออยู่ 34.5% ถ้าเป็นกองทุนในประเทศถืออยู่ 8.5% และเป็นต่างชาติถืออยู่อีก 1.1%
โครงสร้างของกลุ่มบริษัท GFPT, GFPT เป็นบริษัทแม่ของกลุ่ม ดำเนินธุรกิจไก่แปรรูป โดยมีโรงเชือดไก่และโรงแปรรูปเป็นของตัวเอง ในขณะที่บริษัทในเครือมีอยู่ 5 บริษัท ซึ่งแต่ละบริษัทก็ประกอบธุรกิจที่แตกต่างกันไป ด้านซ้ายมือจะเป็นบริษัท กรุงไทย KTF หรือ กรุงไทยฟู้ด ผลิตอาหารสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นอาหารไก่ที่ใช้เอง และอาหารสัตว์ประเภทอื่นๆ เป็นอาหารสัตว์บกอาหารสัตว์น้ำหลากหลายประเภท เพื่อจำหน่ายให้กับในประเทศเป็นหลัก ในขณะที่ธุรกิจฟาร์มก็จะประกอบไปด้วย 3 บริษัท คือ บริษัท GP ประกอบธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่ปู่ย่าพันธุ์, FKT หรือ กรุงไทยฟาร์ม ประกอบธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่พ่อแม่พันธุ์ และ MKS ประกอบธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อ ตัว Subsidiary ลำดับสุดท้าย คือบริษัท GF Foods ประกอบธุรกิจไส้กรอกและลูกชิ้นเพื่อขายในประเทศ นอกจาก 5 บริษัทในเครือ จะมี 2 บริษัท Joint Venture บริษัทแรกคือ บริษัท McKey Food Services คือความร่วมมือระหว่าง GFPT และบริษัท Keystone Foods Corporation บริษัทต่อมา คือบริษัท GFN เป็น Partner กับบริษัทจากญี่ปุ่น ซึ่ง Nichirei ถือว่าเป็น Market Leader หรือผู้นำตลาดในประเทศญี่ปุ่นในส่วนของธุรกิจไก่ ถือว่าเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดี โดยทั้ง 2 JV ถืออยู่ 49% ดังนั้น ตัวกำไรที่รับรู้มาก็จะปรากฏในงบกำไรขาดทุนในแต่ละไตรมาส
ภาพรวมของธุรกิจไก่แปรรูปแบบครบวงจร เริ่มจากต้นน้ำด้านซ้ายมือ จะเป็นธุรกิจอาหารสัตว์ โดยมีโรงงานอาหารสัตว์ทั้งหมด 2 แห่ง แห่งแรกคือ KT1 จะผลิตอาหารสัตว์เพื่อจำหน่ายให้กับบุคคลภายนอก ไม่ว่าจะเป็นอาหารหมู อาหารวัว อาหารเป็ด รวมไปถึงอาหารสัตว์น้ำ จะเป็นอาหารปลา อาหารกุ้ง อาหารกบ ลูกค้าจะเป็นพวกผู้ค้าส่งรายย่อยทั่วไปในประเทศ ในขณะที่ KT2 จะตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี สร้างมาเพื่อ Supply ตัวอาหารไก่ ไม่ว่าจะเป็นไก่เนื้อหรือว่าไก่พันธุ์ สำหรับใช้เองทั้งหมด 100% ส่วนต่อมาจะเป็นธุรกิจฟาร์ม มี 3 Generation คือ ปู่ย่าพันธุ์ พ่อแม่พันธุ์ และฟาร์มไก่เนื้อ โดยฟาร์มเลี้ยงไก่ทั้งหมดจะตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี โลเคชั่นค่อนข้างใกล้เคียงกับตัว KT2 เพื่อลดค่าขนส่งและระยะเวลาเดินทางในการขนส่งตัวอาหารสัตว์ โดยจุดแข็งในส่วนของฟาร์มเลี้ยงไก่ ก็ยังเหมือนกับหลายปีที่ผ่านมา คือเลี้ยงไก่เองทั้งหมด 100% ไม่มีการทำ Contact Farming เนื่องจากต้องการเน้นคุณภาพให้อยู่ในระดับสูงสุด เพราะว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของ GFPT คือลูกค้าไก่แปรรูป ไม่ว่าจะเป็นไก่แปรรูปปรุงสุกหรือว่าไก่สดแช่แข็ง ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งมีความต้องการคุณภาพค่อนข้างสูงกว่า ถ้าเทียบกับสินค้าในประเทศที่มีความหลากหลายในส่วนของตัวคุณภาพของสินค้า
ฟาร์มเลี้ยงไก่ ถ้าเป็นไก่ปู่ย่าพันธุ์กับพ่อแม่พันธุ์ จะเลี้ยงอยู่ประมาณ 60-65 สัปดาห์ต่อ 1 รอบ ในขณะที่ตัว MKS หรือว่าฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อ จะเลี้ยงไก่ประมาณ 40-42 วัน ถือว่าค่อนข้างสั้น แต่ถ้าดูทั้ง Cycle เอง ใน 1 รอบ น่าจะประมาณ ใช้เวลานานพอสมควร ขั้นต่ำคือปู่ย่าพันธุ์ 25 สัปดาห์ ถึงจะมีผลผลิต เช่นเดียวกับพ่อแม่พันธุ์ก็อีก 25 สัปดาห์ เพราะฉะนั้นถ้านับเฉพาะแค่ไก่พ่อแม่พันธุ์กับปู่ย่าพันธุ์ รวมกันก็ประมาณ 50 สัปดาห์ ที่จะได้ผลผลิตมาเป็นลูกเจี๊ยบหรือว่าลูกไก่เนื้อ ทั้ง Process น่าจะตีกลมๆ ก็ประมาณ 1 ปีหรือ 1 ปีนิดๆ สำหรับ 1 รอบการเลี้ยง
ส่วนต่อมา ซึ่งเป็นพาร์ทที่ใหญ่ที่สุด คือธุรกิจ Food จะเป็นในส่วนของบริษัทแม่ GFPT ผลิตเพื่อการส่งออก ในขณะที่บริษัท McKey และ GFN ก็มีโรงงานผลิตเช่นกัน แต่ถ้าเป็นของ McKey จะมีเฉพาะโรงแปรรูปปรุงสุก GFPT Supply ตัวชิ้นส่วนไก่ ไม่ว่าจะเป็นน่องไก่ หรือว่า อกไก่ ให้กับทาง McKey ในขณะที่ GFN ตัวโรงงานจะคล้ายๆ กับ GFPT คือจะมีทั้งโรงเชือดไก่ รวมไปถึงโรงงานแปรรูปปรุงสุก
Timeline ของกลุ่มบริษัท GFPT เริ่มก่อตั้งในช่วงปี 2524 หลังจากนั้นอีกประมาณเกือบๆ 10 ปี ก็กลายเป็นบริษัทที่แปรรูปไก่แบบครบวงจร โดยมีการลงทุนเพิ่มเติมในส่วนของฟาร์มเลี้ยงไก่พ่อแม่พันธุ์, โรงงานอาหารสัตว์แห่งแรก, รวมไปถึงฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อ และโรงงานแปรรูปพวก ลูกชิ้นไส้กรอก เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปี 2535 ปีต่อมาเริ่มมีการขยายธุรกิจ มี Partner แห่งแรกคือ McKey ในปี 2536 ในช่วงปี 2546 กลายเป็นธุรกิจไก่แปรรูปแบบครบวงจรแบบ 100% เพราะมีการสร้างโรงงานฟาร์มเลี้ยงไก่ปู่ย่าพันธุ์ภายใต้บริษัท GP และปี 2551 เริ่มขยายธุรกิจเพิ่มเติมในส่วนของโรงงานอาหารสัตว์แห่งที่ 2 KT2 เพื่อที่จะผลิตอาหารไก่เพื่อใช้เองโดยเฉพาะ ในขณะที่ในปีเดียวกันนั้นเอง ก็มีการเซ็นสัญญาในการจัดตั้ง Joint Venture แห่งที่ 2 คือบริษัท GFPT Nichirei หรือ GFN โดย GFN เริ่ม Operation ในช่วงปี 2553 โดย 3 ปีแรก ผลประกอบการยังไม่ค่อยดีมากนัก เนื่องจากยังใช้กำลังผลิตได้ไม่เต็มที่ รวมไปถึงในช่วงนั้นเอง ราคาไก่ในประเทศค่อนข้างต่ำจากปัญหาเรื่อง Supply ในประเทศค่อนข้างเยอะ ทำให้มีการเพิ่มทุน หรือว่า Capital Injection สำหรับ GFN ในช่วงปี 2555 แต่หลังจากนั้นตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา ก็สามารถ Turn Around หรือว่าพลิกกลับมาทำกำไรได้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นขยายฟาร์มเลี้ยงไก่พันธุ์, ปู่ย่าพันธุ์, ฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อ, รวมไปถึงโรงงานไส้กรอกของ GF Foods และบริษัท JV เอง ก็มีการขยายธุรกิจด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะตัว McKey ก็มีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จะมีโรงงานแปรรูปแห่งที่ 2 และแห่งที่ 3 ของทาง McKey ทำให้ปัจจุบัน McKey มีกำลังผลิตไก่แปรรูปค่อนข้างเยอะ ปีนึงน่าจะประมาณ 80,000-90,000 ตันต่อปี ในส่วนของตัว McKey เอง ปัจจุบัน GFPT อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงเชือดไก่แห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี คาดว่าจะสร้างเสร็จในช่วงปีหน้าน่าจะเป็นครึ่งแรกของปีหน้า อาจจะเป็นช่วงปลายไตรมาส 1 หรือว่าในช่วงต้นไตรมาส 2 ก็จะเสร็จตาม Timeline ที่วางไว้ โดยโรงเชือดไก่แห่งใหม่ จะมีกำลังการเชือดไก่ 150,000 ตัวต่อวัน ปัจจุบัน GFPT เอง มีกำลังการเชือดไก่ Maximum Capacity รวมของ GFPT 150,000 ตัวต่อวัน แต่ว่าเชือดจริงปัจจุบันเชือดอยู่ 130,000-140,000 ตัวต่อวันแล้วแต่ช่วง ในขณะที่กำลังการเชือดของ JV คือบริษัท GFN มีกำลังการเชือดอยู่ที่ 150,000-160,000 ตัวต่อวัน มากกว่าเล็กน้อย ตัวที่สร้างอยู่จะเป็นของ GFPT โปรเจคต่อไป หลังจากที่สร้างโรงเชือดไก่เสร็จในช่วงปีหน้า 2569 จะใช้เวลาอีกประมาณ 2 ปีในการสร้างโรงงานแปรรูปไก่ หรือโรง Further Processing Plant ซึ่งจะทำให้มีกำลังการผลิตไก่แปรรูปเพื่อการส่งออกเป็นหลัก เพิ่มขึ้นอีก 30,000 ตันต่อปี ปัจจุบัน GFPT มีกำลังการผลิตในส่วนของไก่แปรรูปเพื่อการส่งออกอยู่ที่ 30,000 ตันต่อปี หรือสรุปง่ายๆ ถ้าสร้างโรงเชือดไก่เสร็จ รวมไปถึงโรงแปรรูปในอีก 3 ปีข้างหน้า จะทำให้ภาพรวมกำลังการผลิตของ GFPT บริษัทแม่เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 1 เท่าตัว
สินค้าของ GFPT แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ตัวอาหาร ส่วนใหญ่จะเป็นไก่แปรรูปปรุงสุกเพื่อการส่งออก ในขณะที่ในประเทศก็จะมีการขายเป็นชิ้นส่วนไก่ เป็นพวก By Product หรือผลพลอยได้ ที่ไม่ได้ส่งออก เช่น ซี่โครง เครื่องใน หนังไก่ หัวไก่ นอกจากนี้ก็จะมีตัวพวก ลูกชิ้นไส้กรอกที่ผลิตโดยบริษัท GF Food ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ขายในประเทศเป็นหลัก ส่วนของฟาร์ม หลักๆ จะเป็นการขายไก่เป็นให้กับ GFN ในขณะที่ DOC หรือว่า Day Old Chick ลูกเจี๊ยบก็จะขายให้กับบุคคลภายนอกอีกเล็กน้อย ตั้งแต่ช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา เริ่มมีการขายไก่ไข่ Cage Free อยู่ในช่วงเริ่มต้นของการขายไข่ไก่ ธุรกิจหลักก็ยังเป็นการขายไก่เป็นเป็นหลัก ตัวสุดท้ายจะเป็นตัวอาหารสัตว์ หลักๆ จะเป็นอาหารสัตว์บก ซึ่งหลักๆ จะเป็นอาหารหมู ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์หรือภาพรวมค่อนข้างดีขึ้นตามลำดับ หลังจากประสบปัญหาจากโรคระบาดเอง African Swine Fever ในประเทศ รวมไปถึงปัญหาหมูเถื่อน ปัจจุบันค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ ในขณะที่อาหารสัตว์น้ำ หลักๆ จะเป็นอาหารกุ้ง รวมไปถึงอาหารปลา
ภาพรวมรายได้ในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา มีรายได้อยู่ที่ 19,300 ล้านบาทโดยประมาณ เพิ่มขึ้นประมาณ 2% ถ้าเทียบกับปี 2566 โดยธุรกิจหลักยังเป็นธุรกิจ Food ประมาณครึ่งนึง 50% พอดี ตัวต่อมาจะเป็นตัวฟาร์ม 33% และจะเป็นตัวอาหารสัตว์อีก 17%
ในส่วนของตัวรายได้แยกตามประเภทธุรกิจ สีน้ำเงินเข้ม ส่งออก Chicken Export โดย GFPT 25% ตัว Inside Chicken Inner Export 11% จะเป็นการขายชิ้นส่วนไก่ให้กับบริษัท OEM คือบริษัท McKey ซึ่งเป็น Joint Venture แห่งแรก เพื่อนำไปผลิตและส่งออกให้กับลูกค้าของทาง McKey อีกทีนึง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้า McDonald's ในโซนเอเชียแปซิฟิก ตัว Chicken Domestic 10% จะเป็นธุรกิจที่การ เป็นการขายตัว By Product หรือผลพลอยได้พวกซี่โครงเครื่องในในประเทศ ตัวสุดท้ายของตัว Food จะเป็นตัวลูกชิ้นไส้กรอกที่ขายในประเทศอีก 4% ถัดมา ตัวธุรกิจ Feed หรือว่าอาหารสัตว์ อาหารสัตว์บก 6% ส่วนใหญ่เป็นอาหารหมู อาหารปลา 4% อาหารกุ้งอีก 7% ตัวสุดท้าย ธุรกิจฟาร์ม ก็เกือบทั้งหมดจะเป็นการขายไก่เป็นให้กับ GFN 28% และมีอีกประมาณ 5% ที่เป็นการขายตัวลูกไก่ให้กับบุคคลภายนอก
รายได้จากภาพรวม จากการส่งออก 25% จะเป็น US Dollar ประมาณ 22% เพราะว่าจะมีประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ เช่น ประเทศมาเลเซีย จะมีการจ่ายเงินเป็นเงินบาท ทำให้ภาพรวมความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนในแง่ของรายได้ก็ไม่ได้สูงมากนัก ประมาณ 22% ซึ่งก็จะเป็น US Dollar ในขณะที่ที่เหลืออีก 78% จะเป็นเงินบาท
Market Position ในช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา ในด้านการผลิต GFPT Group จะเป็นกำลังการเชือดของ GFPT และ GFN เชือดไก่รวมกันอยู่ที่ลำดับที่ 6 คิดเป็น 6% ของภาพรวมการผลิตไก่ในประเทศไทย ก็อาจจะไม่ได้สูงมากนัก แต่ถ้าดูในส่วนของภาพรวมการส่งออก GFPT รวมกับ McKey กับ GFN ซึ่งเป็น Joint Venture ซึ่งธุรกิจหลักก็เป็นการส่งออกเช่นกัน ก็ส่งออกรวม คิดเป็น 13% ของภาพรวมการส่งออกไก่ในประเทศไทย ก็เป็นลำดับที่ 2 ของประเทศ แสดงให้เห็นว่า เป็นบริษัทที่เน้นการส่งออกเป็นหลัก เพราะว่าตลาดส่งออกถือว่าเป็นตลาดที่มีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าในประเทศเยอะพอสมควร รวมไปถึงตัว Margin ที่ค่อนข้างดีกว่าด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะ Margin ในส่วนของไก่แปรรูปปรุงสุก ที่ส่งออกค่อนข้างเยอะประมาณ 58% ในขณะที่ ไก่สดแช่แข็งส่งออกประมาณ 42% ซึ่งไก่สดแช่แข็งส่วนใหญ่จะส่งออกไปยังประเทศจีน เป็นหลัก โดยจีนส่งออกปีที่ผ่านมาส่งออกไป 14% ส่วนใหญ่จะเป็นเท้าไก่ และมีปีกไก่เล็กน้อย ตลาดอื่นๆ ที่เป็นไก่สด ก็จะเป็นตลาดมาเลเซียประมาณ 16% ในขณะที่ตลาดหลักๆ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะเป็นไก่แปรรูปปรุงสุก โดยอังกฤษส่งออกค่อนข้างเยอะในปีที่ผ่านมาประมาณ 30% รวมไปถึงญี่ปุ่นก็ 21% แล้วก็ยังมี EU อีก 12%
ผลประกอบการไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ซึ่งหลายๆ ท่านอาจจะเห็นไปแล้วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะได้ประกาศงบไปในช่วงวันอังคารที่แล้ว รายได้รวมเพิ่มขึ้น 123 ล้านบาทโดยประมาณ หรือ 2.7% โดยมีรายได้รวมไตรมาส 1 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 4,650 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ก็ยังเป็นธุรกิจ Food อยู่ 2,218 ล้านบาท โดยตัว Food เพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 1.1% Food เพิ่มขึ้นหลักๆ จากปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ไตรมาส 1 ปีนี้ ส่งออกอยู่ที่ 8,700 ตัน ในขณะที่ไตรมาส 1 ปีที่แล้ว ส่งออกอยู่ที่ 8,300 ตัน หรือว่าเพิ่มขึ้นมาประมาณ 400 ตัน โดยตลาดที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นตลาดเอเชีย ได้แก่ประเทศมาเลเซียรวมไปถึงประเทศญี่ปุ่น ส่วนต่อมาที่เติบโตค่อนข้างดีในไตรมาสนี้ คือธุรกิจฟาร์ม โดยฟาร์มไตรมาส 1 ปีนี้ รายได้รวมอยู่ที่ 1,690 ล้านบาท ในขณะที่ปีที่แล้วอยู่ที่ 1,524 ล้านบาท หรือว่าเพิ่มขึ้น 166 ล้านบาท หรือว่าเพิ่มขึ้นประมาณ 10.9% โดยสาเหตุหลักๆ ที่ธุรกิจฟาร์มเพิ่มขึ้น ได้แก่ปริมาณการขาย ทั้งลูกไก่ รวมไปถึงไก่เป็นให้กับ GFN ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นทั้งคู่ ทั้งในแง่ของปริมาณและราคา ส่วนสุดท้ายจะเป็นธุรกิจ Feed ตัว Feed เอง มีการ ยอดขายไตรมาส 1 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 741 ล้านบาท ลดลงไป 67.5 ล้านบาท หรือว่า 8.3% โดยหลักๆ ที่ลดลงก็มาจากธุรกิจอาหารปลาลดลง รวมไปถึงธุรกิจอาหารกุ้ง ในขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์บกเพิ่มขึ้น ถ้าเทียบกับไตรมาส 1 ของปีที่แล้ว
ในส่วนของงบกำไรขาดทุน รายได้รวมเติบโต 122 ล้านบาท หรือ 2.7% ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจฟาร์มเป็นหลัก รวมไปถึงธุรกิจ Food ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ต้นทุนเอง ไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ที่ 3,997 ล้านบาท หรือถ้าคิดเป็น Percentage ของรายได้รวมจะอยู่ที่ประมาณ 80 86% ลดลงจากไตรมาส 1 ปีที่แล้ว ที่มี Cost of Sales อยู่ที่ประมาณ 87.5% หลักๆ ที่ลดลงมาจาก ต้นทุนในส่วนของตัวถั่วเหลืองกากถั่วเหลืองที่นำเข้าจากต่างประเทศลดลง ลดลงค่อนข้างเยอะในช่วงหลายๆ ไตรมาสที่ผ่านมา ทำให้ภาพรวมตัวต้นทุนค่อนข้างต่ำ ทำให้ตัวกำไรขั้นต้น ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาค่อนข้างดี 652 ล้านบาท หรือว่า GP Margin คิดเป็น ประมาณ 14% เปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้ว ที่มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 568 ล้านบาท หรือว่า GP Margin ประมาณ 12.55% ถ้าเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นก็ประมาณ 83 ล้านบาท และถ้าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 14.8% ตัวอื่นๆ S , G & A หรือค่าใช้จ่ายขายและบริหาร โดยภาพรวม ลดลง ถ้าเป็นเปอร์เซ็นต์ลดลงจาก 8.1% ในช่วงไตรมาส 1 ปีที่แล้ว เหลือ 7.8% ในไตรมาส 1 ปีนี้ สาเหตุหลักๆ ที่ลดลง มาจาก ต้นทุนในการขนส่งออกทางเรือลดลง เพราะว่าปัจจุบันสถานการณ์เรื่องการขนส่งไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทางอังกฤษยุโรปรวมไปถึงประเทศญี่ปุ่น ก็ถือว่า สถานการณ์โดยภาพรวมก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ ตัวที่เป็น Highlight ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาจะเป็นกำไรที่รับรู้จากบริษัทร่วมทุนทั้ง 2 แห่ง ไม่ว่าจะเป็น McKey หรือ GFN ก็ดีขึ้นทั้งคู่ โดยเฉพาะบริษัท McKey ดีขึ้นเยอะเป็นพิเศษ โดยภาพรวม กำไรที่รับรูมาจาก JV ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 322 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณเกือบๆ 90 ล้านบาท หรือว่า 37.8% ที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปีที่แล้ว โดย McKey ไตรมาส 1 ปีนี้ถือว่าค่อนข้างดีเลย รับรู้กำไรมาอยู่ที่ 218 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาส 1 ปีที่แล้วของ McKey อยู่ที่ 140 ล้านบาท สาเหตุหลักๆ ของ McKey ที่เพิ่มขึ้น มาจาก ภาพรวมการส่งออกที่ดีขึ้น รวมไปถึง McKey เอง มี Gain หรือว่ากำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ในขณะที่ของ GFN เอง ก็ดีขึ้น อาจจะไม่ดีเยอะมากเท่า McKey ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา รับรู้กำไรอยู่ที่ 103 ล้านบาท ไตรมาส 1 ปีที่แล้ว 91 ล้านบาท หลักๆ ก็มาจากปริมาณการส่งออกโดยภาพรวมที่ดีขึ้นเช่นกัน
ตัว Financial Cost หรือว่าต้นทุนทางการเงินก็ลดลงเล็กน้อย หลักๆ ก็มาจาก เงินต้น เงินกู้ยืมที่ลดลง โดยเฉพาะเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่ลดลงไปประมาณ 500 ล้านบาท ทำให้ เงินต้นลดลงก็เลย เสีย เสียดอกเบี้ยลดลง อีกตัวที่ลดลง คือตัว Tax หรือว่าภาษี ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 34 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาส 1 ปีที่แล้วอยู่ที่ 51 ล้านบาท หลักๆ ที่ลดลงมาจาก ภาษีเงินได้ค้างจ่าย หรือว่า Defer Tax ที่ลดลง ทำให้ภาพรวม กำไรไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ซึ่งตามปกติถือว่าค่อนข้างเป็น Low Season ของตัวธุรกิจ จึงถือว่าค่อนข้างดีเป็นพิเศษ อยู่ที่ 638 ล้านบาท ถ้าเป็น Net Profit Margin อยู่ที่ 13.73% ในขณะที่ไตรมาส 1 ปีที่แล้วมีกำไรอยู่ที่ 465 ล้านบาท หรือว่า Net Profit Margin อยู่ที่ 10.3% ก็คือเพิ่มขึ้น 173 ล้านบาท หรือว่าเพิ่มขึ้นประมาณ 37%
อัตราการทำกำไรในด้านต่างๆ Gross Profit Margin อย่างที่สรุปไป ไตรมาส 1 ปีนี้ก็ถือว่าค่อนข้างดี 14% ในขณะที่ตัว EBITDA Margin อันนี้ก็ดีเช่นกัน ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 24.4% ถือว่าค่อนข้างสูง ถ้าเทียบกับช่วง 4-5 ไตรมาสที่ผ่านมา ไตรมาส 1 ปีที่แล้ว EBITDA Margin อยู่ที่ 20.5% ตัวสุดท้ายในส่วนของอัตราการทำกำไร คือ Net Profit Margin กำไรสุทธิ ไตรมาส 1 ปีนี้อยู่ที่ 13.7% คล้ายๆ กับ EBITDA Margin ก็ถือว่าค่อนข้างสูงที่สุดในช่วง 4-5 ไตรมาสที่ผ่านมาเช่นกัน ในขณะที่ไตรมาส 1 ปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 10.3%
อัตราแลกเปลี่ยน ไตรมาส 1 ปีนี้ก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับช่วง Q4 ของปีที่แล้ว ก็อยู่ที่ประมาณ 34 บาทต่อ 1 US Dollar ในขณะที่ถ้าเทียบกับ ไตรมาส 1 ปีที่แล้ว ถือว่าเงินบาทค่อนข้างแข็งค่าขึ้นพอสมควร ไตรมาส 1 ปีที่แล้ว เงินบาทอยู่ที่ 35.67 บาทต่อ 1 US Dollar อย่างไรก็ตามทางบริษัท มีการป้องกันความเสี่ยงโดยการทำ Forward Contract ไว้ในด้าน ทั้งในด้านการส่งออกและการนำเข้า ทำให้ ความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนก็ไม่ได้สูงมากนัก นอกจากนี้ ในภาพรวมของกลุ่มบริษัท GFPT เอง ก็มี Natural Hedge มีทั้งการส่งออกเป็น US Dollar ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ยุโรป อังกฤษ หรือว่าประเทศจีน ในขณะเดียวกัน ก็มีการนำเข้าตัวถั่วเหลืองกากถั่วเหลือง จากต่างประเทศส่วนใหญ่จะเป็นบราซิล เป็น US Dollar เช่นกัน ทำให้มันก็หักล้างกันไปอยู่ส่วนนึง ส่วนต่างนี้ ก็ทำการป้องกันความเสี่ยงไว้ ทำให้ความเสี่ยงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ
Earning Per Share ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 51 สตางค์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปีที่แล้วที่อยู่ที่ 37 สตางค์ต่อหุ้น ในขณะที่ตัว ROA , ROE ก็จะเป็นการประมาณการ โดยใช้ข้อมูล จาก 3 เดือนที่ผ่านมา มาประมาณการภาพรวมทั้งปี โดย ROA คาดการณ์ว่าปีนี้น่าจะค่อนข้างใกล้เคียงกับปี 2565 ซึ่งเป็นปีที่มีผลประกอบการค่อนข้างดีเป็นพิเศษ โดย ROA ปีนี้คาดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 9.7% ในขณะที่ ROE น่าจะอยู่ที่ 12.9% ค่อนข้างสูง ถ้าเทียบกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดย Pay Out Ratio ปีที่ผ่านมาจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 20 สตางค์ต่อหุ้น หรือถ้าคิดเป็น Dividend Pay Out Ratio ก็จะอยู่ที่ 12.7% โดยสาเหตุที่จ่ายปันผล อาจจะไม่สูงมากนัก ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่ ก็จะ ต้องการเงินสำรองไว้บางส่วนสำหรับการลงทุน CAPEX หรือว่าการขยายธุรกิจในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เพราะว่ายังมีโปรเจคที่ต้อง สร้างอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตัวที่ สร้างอยู่อย่างเช่น ตัวโรงเชือดไก่ รวมไปถึงโปรเจคที่จะสร้างในช่วง อีก 2-3 ปีข้างหน้า จะเป็นตัวโรงงานแปรรูปปรุงสุก
ในส่วนของตัวงบดุล ทรัพย์สินโดยภาพรวมก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทรัพย์สินอยู่ที่ 26,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 211 ล้านบาท หรือว่าเพิ่มขึ้น 0.8% ตัวหลักๆ ที่เพิ่มขึ้นคือตัวเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าสภาพคล่องของบริษัทค่อนข้างสูง โดย สิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 2,659 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 557 ล้านบาท หรือว่าเพิ่มขึ้น 26.5% อีกตัวที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างเยอะ คือเงินลงทุนในบริษัทร่วมทุน มีนาคมที่ผ่านมาลงทุนเพิ่มอีก 220 ล้านบาท ที่เพิ่มขึ้นจากช่วงปีที่แล้ว หรือว่าเพิ่มขึ้น 4.9% เพราะว่าบริษัทร่วมทุนมีการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ข้ามมาดูในส่วนของตัวหนี้สิน แม้ว่าภาพรวม Asset จะเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย แต่หนี้สินลดลง เพราะว่าส่วนใหญ่ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นในส่วนของตัว Shareholder Equity หรือว่าส่วนของผู้ถือหุ้น ที่เพิ่มขึ้น โดย ตัวหนี้สิน ลดลงไป 430 ล้านบาท หรือว่า 6.3% อย่างที่บอกไป ส่วนใหญ่จะลดลงจากเงินกู้ ระยะสั้น จากสถาบันการเงินลดลงจาก 770 ล้านบาทในช่วงปีที่แล้ว เหลือ 270 ล้านบาทในปีนี้ หรือว่าลดลงไป 500 ล้านบาท ทำให้ภาพรวมหนี้สินลดลง ส่วนของผู้ถือหุ้น ล่าสุดก็อยู่แตะ 20,000 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีนาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 21,133 ล้านบาท หรือว่าเพิ่มขึ้น 641 ล้านบาท หรือว่า 3.3% ที่เพิ่มขึ้น
กระแสเงินสด Ebit ของ GFPT เพิ่มขึ้นจาก 549 ล้านบาท เป็น 702 ล้านบาท หรือว่าเพิ่มขึ้น 153 ล้านบาท เช่นเดียวกับตัว EBITDA เพิ่มขึ้นเช่นกัน จาก 929 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 1 ปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นเป็น 1,132 ล้านบาท หรือว่าเพิ่มขึ้น 203 ล้านบาท 21.9% ที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว พวกสภาพคล่องอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง โดย Cash Ending ล่าสุด ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 2,660 ล้านบาท โดยประมาณ เพิ่มขึ้นจากช่วง เวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 373 ล้านบาท
ตัว Book Value ของ GFPT เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดช่วงมีนาคม มี Book Value อยู่ที่ 16 บาทต่อหุ้นโดยประมาณ หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยก็ลดลง ตอนนี้ก็ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาทแล้ว ปกติจะอยู่ในช่วงประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท ช่วงที่ผ่านมา ก็มีการ ลดในส่วนของตัวเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงินลดลง ทำให้ภาพรวม ส่วนใหญ่โครงสร้างของ เงินกู้ที่มีภาระดอกเบี้ย ส่วนใหญ่จะเป็นเงินกู้ระยะยาว อยู่ที่ 3,470 ล้านบาท เป็นระยะสั้นอยู่ที่ 500 ล้านบาท โดยเงินกู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาว จะเป็นเงินบาททั้งหมด ไม่มีความเสี่ยงในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างผันผวน หนี้สินที่ หนี้สินต่อทุน ค่อนข้างต่ำในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 0.3-0.4% โดยประมาณ
แผนการลงทุน GFPT ลงทุนเฉลี่ยปีนึงประมาณ 1,000-1,200 ล้านบาทต่อปี ส่วนใหญ่จะเป็นการขยายฟาร์มเลี้ยงไก่ ไม่ว่าจะเป็นไก่พันธุ์หรือว่าไก่เนื้อ รวมไปถึงโรงเชือดไก่ที่กำลังสร้างอยู่
ภาพรวมของตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดในประเทศหรือว่าตลาดต่างประเทศ ประเทศไทยทั้งประเทศ ผลิตไก่ได้เป็นลำดับที่ 7 ของโลก ปีที่ผ่านมา 2567 ผลิตไก่ได้เกือบ 3,490,000 ตัน ในขณะที่ด้านการส่งออก เป็นลำดับที่ 4 ของโลก ส่งออกไก่ในปีที่ผ่านมามากกว่า 1,100,000 ตัน คู่แข่งที่สำคัญเหมือนหลายๆ ปีที่ผ่านมา คือประเทศบราซิล สัดส่วนในการส่งออกเทียบกับการผลิตอยู่ที่ 33% ในขณะที่ประเทศไทยสูงกว่าบราซิลเล็กน้อยประมาณ 34% แต่ถ้าดูในส่วนของภาพรวมสเกลการผลิต บราซิลผลิตได้เยอะกว่าไทย ก็เยอะพอสมควร ในขณะที่ประเทศอื่นที่ผลิตได้เยอะๆ อย่างเช่นอเมริกา ก็ผลิตเพื่อการบริโภคในประเทศค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคู่แข่งที่สำคัญมากนัก ใน ในด้าน การส่งออก ตลาดส่งออกที่สำคัญของประเทศไทยทั้งประเทศ คือประเทศญี่ปุ่น 40% ในขณะที่อังกฤษ 17% ยุโรป 14% แล้วก็ประเทศจีนอีก 9% ในขณะที่ประเทศอื่นส่วนใหญ่จะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ส่งออกไป 20% ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกไก่แปรรูปปรุงสุก 54% และเป็นไก่สดแช่แข็ง 46%
ภาพรวมการส่งออกในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาของประเทศไทย ส่งออกในแต่ละปีก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 20-30 ปีแรก ส่วนใหญ่จะส่งออกเป็นไก่สดแช่แข็งเป็นหลัก เริ่มมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญในช่วงปี 2547 หรือประมาณ 20 ปีที่แล้ว มีเกิดไข้หวัดนกครั้งใหญ่ในประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศไม่สามารถส่งออกไก่สดแช่แข็งได้ ผู้ประกอบการโดยภาพรวม รวมไปถึง GFPT เอง ก็ หันมาผลิต ไก่แปรรูปปรุงสุกเพิ่มขึ้น โดยมีการนำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศ มีการใช้แรงงานที่มีทักษะในการตัดแต่ง ทำให้ปัจจุบันประเทศไทย ถือว่าเป็นหนึ่งใน ผู้นำตลาดในด้านการส่งออกไก่ แปรรูปปรุงสุก ในขณะที่บราซิล ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ ส่วนใหญ่เขาจะส่งออกเป็นไก่สดแช่แข็งเป็นหลัก ทำให้ในด้านสินค้าที่ส่งออก ก็ไม่ได้ถือว่าส่งออกสินค้าที่เหมือนกับบราซิลโดยตรง บราซิลก็จะเป็นไก่สด ประเทศไทยก็จะเป็นไก่แปรรูปปรุงสุก โดยภาพรวมการส่งออกในปี 2567 ที่ผ่านมา ก็เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว จากปี 2566 พอสมควร เพิ่มขึ้นประมาณ 11.5% แต่ว่าถ้าเป็นการคาดการณ์ปีนี้ เนื่องจากฐานปีที่แล้วค่อนข้างสูง ทำให้ทางสมาคม ส่งออกไก่แห่งประเทศไทย คาดการณ์ว่าน่าจะส่งออกในปีนี้เติบโตได้ประมาณ 2-2% โดยประมาณ ก็เป็นการประมาณการที่ ค่อนข้าง Conservative เพราะว่าส่วนใหญ่ ทางสมาคมไม่ได้ประมาณการสูงมากนัก แล้วก็อาจจะมีการปรับประมาณการอีกครั้ง ถ้าถ้าภาพรวมการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
ภาพรวมของ Top 10 ในด้านต่างๆ ในด้านการผลิต อเมริกาก็เป็น เป็นผู้นำตลาดในด้านการผลิต ตามมาด้วยประเทศจีนแล้วก็บราซิลที่ผลิตค่อนข้างใกล้เคียงกัน ในขณะที่ประเทศไทยก็เป็นลำดับที่ 7 ในด้านการส่งออก จะเป็นบราซิล เพราะว่าบราซิลก็จะคล้ายๆ ประเทศไทยผลิตเพื่อการส่งออกเป็นหลัก อเมริกาก็จะตามมาเป็นลำดับที่ 2 แล้วก็จะเป็นลำดับที่ 3 ก็จะเป็นยุโรป ไทยเป็นลำดับที่ 4 ในส่วนของการนำเข้า ผู้นำตลาด จะเป็นประเทศญี่ปุ่น เพราะว่ามีกำลังซื้อ รวมไปถึง มี Demand ที่ค่อนข้างเยอะ ในส่วนของไก่แปรรูปปรุงสุก ส่วนต่อมาก็จะเป็นเม็กซิโก แล้วก็ ลูกค้ารายหลัก ก็จะเป็น อังกฤษยุโรป รวมไปถึงประเทศจีน ซึ่งเป็นลำดับที่ 8 ส่วนของ Global Consumption โดยภาพรวมจะเป็นอเมริกา ที่ผลิตแล้วก็บริโภคในประเทศค่อนข้างเยอะ แล้วก็ตามมาด้วยประเทศจีนแล้วก็ยุโรป
ราคาของสินค้าปศุสัตว์ ตัวหลักๆ ที่ดูคือตัวข้าวโพดที่ซื้อในประเทศ ในขณะที่ถั่วเหลืองกากถั่วเหลืองนำเข้าจากต่างประเทศ ตัวข้าวโพด ในประเทศ ราคาล่าสุด ถ้าไตรมาส 1 อยู่ที่ประมาณ 10 บาท 10.7 บาท แต่ถ้าเป็นราคาปัจจุบันก็ใกล้เคียงกัน ประมาณ 10.6-10.7 บาท ในส่วนของข้าวโพดในประเทศ ค่อนข้างใกล้เคียงกับราคาเฉลี่ยปีที่แล้ว แต่ตัวที่ ลดลงมาค่อน