KUMWEL ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจชะลอตัว ประกาศกลยุทธ์ปี 2568: Academy สู่ผู้นำภูมิภาค, Smart Rain Sensor, และคาร์บอนฟุตพริ้นท์!

P/E 7.85 YIELD 5.83 ราคา 1.03 (0.00%)

KUMWEL ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจชะลอตัว ประกาศกลยุทธ์ปี 2568: Academy สู่ผู้นำภูมิภาค, Smart Rain Sensor, และคาร์บอนฟุตพริ้นท์!

บริษัท คัมเวล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ใช้โอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งด้านเทคโนโลยี ความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และบริบททางสังคม มาทบทวนและต่อยอดจากจุดแข็งดั้งเดิมที่สะสมมากว่า 26 ปี เพื่อก้าวไปอีกขั้นด้วยการยืนยันวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้ให้บริการโซลูชันระบบป้องกันฟ้าผ่าและระบบด้านความปลอดภัยระดับโลกที่ได้รับความไว้วางใจจากทุกภาคส่วน โดยมุ่งมั่นสานต่อและขยายขอบเขตจากจุดแข็งเดิมสู่การเติบโตในมิติที่กว้างขึ้น และยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณค่าในผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ควบคู่ไปกับการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้มาตรฐานสากล

เพื่อรองรับโอกาสเติบโตในอนาคต บริษัทได้จัดโครงสร้างธุรกิจเป็น 5 หน่วยธุรกิจหลัก ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพความเชี่ยวชาญและทิศทางในการทำธุรกิจให้ชัดเจนยิ่งขึ้น:

  1. Lighting Protection System Business Unit: ต่อยอดจากจุดแข็งของบริษัท ครอบคลุมระบบป้องกันฟ้าผ่า ระบบสายดิน ระบบป้องกันเซิร์ช และนวัตกรรมระบบป้องกันฟ้าผ่าอัจฉริยะ
  2. Smart Lighting Rain Forecast Business Unit: มุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการพยากรณ์ฟ้าผ่าและฝนในระดับพื้นที่จำเพาะ
  3. Laboratory and Testing Business Unit: ต่อศักยภาพสู่การสร้างมูลค่าและรายได้ในอนาคต
  4. Safety for Healthcare and Food Business Unit: มุ่งเน้นการจัดทำโซลูชันด้านความปลอดภัยให้ครอบคลุมภาคโรงพยาบาลและสถานพยาบาล
  5. Security and Safety Business Unit: พัฒนาโซลูชันด้านความปลอดภัยโดยใช้เทคโนโลยีระบบตรวจจับด้วยสายใยแก้วนำแสง

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)

รายได้รวมในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 140.2 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบทั้ง Q on Q และ Year on Year 3 เดือน มียอดรายได้ที่ใกล้เคียงกัน (141 และ 142 ล้านบาท) โดยแบ่งเป็นรายได้ในประเทศ 113.8 ล้านบาท และรายได้จากต่างประเทศ 26.4 ล้านบาท

เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว โครงการต่างๆ อาจมีการชะลอหรือปรับแผน ส่งผลให้ยอดรายได้ในประเทศมีการย่อตัวลดลงเล็กน้อย (ประมาณ 7.3 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ Year on Year 3 เดือน) แต่ยอดขายต่างประเทศมีอัตราเพิ่มขึ้นที่ 31% ปัจจัยหลักมาจากการปรับปรุงแผนการตลาดใหม่ รวมถึงการปรับปรุงช่องทางการจัดจำหน่าย ผ่านกระบวนการการประชาสัมพันธ์และการส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง

ภาพรวมครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตอยู่ในทิศทางที่น่าพอใจ โดยยอดขายในประเทศอยู่ที่ 237 ล้านบาท เติบโตจากครึ่งปีแรกของปี 2567 ประมาณ 1.9% โดยหลักมาจากงานบริการและนวัตกรรมที่เป็น Backlog เมื่อสิ้นปี 2567 ที่ทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาส 1 และ 2 ของปี 2568 ส่วนยอดขายต่างประเทศเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (24.7%) เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2567 ส่งผลให้ภาพรวมระดับของรายได้ยังคงรักษาระดับของการเติบโตในครึ่งปีแรกที่ 5%

รายได้ตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ในครึ่งปีแรก นำโดยกลุ่มป้องกันฟ้าผ่า (155 ล้านบาท) รองลงมาเป็นกลุ่มต่อลงดิน (93 ล้านบาท) และกลุ่มบริการนวัตกรรม (34 ล้านบาท) โดยกลุ่มบริการและนวัตกรรมมียอดจำหน่ายที่เติบโตสูงขึ้นที่สูงที่สุดใน 3 กลุ่ม (21.1 ล้านบาท)

กำไรขั้นต้นไตรมาสที่ 2 มีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีเก่าๆ (ลดลงจาก 41% อยู่ที่ประมาณ 39.4%) ทั้งนี้ปัจจัยหลักมาจากสัดส่วนยอดจำหน่ายในต่างประเทศที่จำหน่ายผ่านช่องทาง Distributor เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งมาทดแทนยอดจำหน่ายในประเทศที่มีการย่อตัวลงเล็กน้อย แต่ถ้ามองภาพรวมของอัตรากำไรในครึ่งปีแรก เปรียบเทียบกันระหว่างปี 2568 และปี 2567 พบว่ามีอัตราที่ใกล้เคียงเดิม (40.2%) โดยภาพรวมยังคงรักษาระดับอัตรากำไรสุทธิไว้ได้ที่ 8%

ค่าใช้จ่ายในการขายมีระดับที่ใกล้เคียงกัน (ประมาณ 11 ล้านบาท) โดยค่าใช้จ่ายการขายครึ่งปี 2568 เมื่อเทียบกับครึ่งปี 2567 พบว่ามีการลดลงด้วย (ประมาณ 4.5%) ทั้งนี้มาจากยอดจำหน่ายที่เติบโตขึ้น แต่ยังคงรักษาควบคุมระดับของค่าใช้จ่ายในการขายได้ดี ส่วนในด้านของค่าใช้จ่ายบริหาร ภาพรวมจะพบว่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ 7.1% ทั้งนี้มาจากปัจจัยหลักมาจากการตั้งประมาณการหนี้สงสัยจะสูญทางบัญชี รวมถึงมีงานกระบวนการปรับปรุง ก็มีการสร้างที่ปรึกษามาในส่วนของการดำเนินงานด้านคาร์บอนฟุตปริ้นท์หรือการปรับปรุงกระบวนการในองค์กร

ภาพรวมทั้งในส่วนของค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่าย ค่าใช้จ่ายในการบริหารโดยรวม มีการเพิ่มขึ้นที่ 3.4 ล้านบาท แต่ก็สอดคล้องกับยอดจำหน่ายที่มีการเพิ่มขึ้นนั่นเอง

สินทรัพย์รวมมีการลดลง 16 ล้านบาท หรือลดลง 2.3% โดยภาพรวมจะลดลงจากตัวลูกหนี้การค้า ที่มีการควบคุมและจัดเก็บชำระหนี้ได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการลดลงของสินค้าคงเหลือ ซึ่งอยู่ในแนวทางของการควบคุม พยายามลดอัตราสินค้าคงคลังให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ในส่วนของที่ดินอาคารอุปกรณ์ลดลงเช่นกันที่ 3% หลักๆ มาจากค่าเสื่อมราคา

หนี้สินลดลงถึง 15% อันนี้ก็คือเป็นการลดลงของหนี้สินระยะยาว ที่เป็นหนี้สินค่าก่อสร้างสำนักงานแห่งใหม่นั่นเอง ส่วนอื่นๆ จะเป็นส่วนของเจ้าหนี้การค้าค่ะ แล้วก็หนี้สินอื่นมีการเพิ่มขึ้น ซึ่งโดยหลักเจ้าหนี้การค้าเพิ่มขึ้นมาจากการสั่งสินค้าวัตถุดิบ รวมทั้งการบริหารจัดการการชำระเงินให้เป็นไปตามรอบ และก็การบริหารกระแสเงินสด โดยรวมของ Equity ก็มีการปรับตัวเล็กน้อยเนื่องจากเรามีการประกาศจ่ายเงินปันผลในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา

อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 0.44 ซึ่งลดลงจาก ณ สิ้นปี 2567 และก็อัตราของ Interest Bearing Debt ลดลงจาก 0.36 มาอยู่ที่ 0.31 สัดส่วนของผู้ถือหุ้นก็ลดลงจากการจ่ายเงินปันผล สรุปโดยภาพรวมโครงสร้างทางการเงินของบริษัทยังคงมีความแข็งแรงและก็มีโอกาสในการที่ขยายการลงทุนใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น

ในไตรมาสที่ 2 คำเวลยังคงสามารถรักษาระดับได้ไม่ต่ำไปกว่า Performance ที่เคยทำได้ โดยอัตราส่วนที่สำคัญยังคงอยู่ในระดับเดิม earning per share ยังคงอยู่ในระดับที่ 0.08 ต่อหุ้น บริษัทเชื่อมั่นว่าในไตรมาสที่ 3 ไตรมาสที่ 4 ที่เหลือ ก็จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของธุรกิจที่จะต้องผลักดันเร่งสร้างเร่งปรับปรุงกระบวนการเพื่อมุ่งไปสู่ผลลัพธ์ให้ได้ตามเป้าหมายแล้วก็ดีขึ้นกว่าเดิม

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)

การเข้าสู่โครงการ Jumpstart ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนและเพิ่มมูลค่าตลาดทุนไทยอย่างยั่งยืน

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)

สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อโครงการต่างๆ ที่อาจมีการชะลอหรือปรับแผน ซึ่งส่งผลให้ยอดรายได้ในประเทศมีการย่อตัวลดลงเล็กน้อย

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)

การปรับปรุงแผนการตลาดใหม่ การปรับปรุงช่องทางการจัดจำหน่าย การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง การควบคุมค่าใช้จ่ายในการขาย การบริหารจัดการหนี้สินและกระแสเงินสด

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)

KUMWEL มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต โดยมีกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจใน 4 ประเด็นหลัก:

  1. ยกระดับบทบาท KUMWEL Academy: เสริมความแข็งแกร่งในการเจาะตลาดทั้งในและต่างประเทศ
  2. ผลักดันหน่วยธุรกิจ Smart Lighting and Rain Forecast: สร้าง New S-Curve ของบริษัท
  3. ยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม: ผลักดันยอดขายด้วยการขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์
  4. เข้าร่วมโครงการ Jumpstart: ส่งเสริมการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนและเพิ่มมูลค่าตลาดทุนไทยอย่างยั่งยืน

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [นาทีที่ 45:10]

Q: ภาพรวมการแข่งขันในตลาด

A: ตลาดระบบป้องกันฟ้าผ่ามีการแข่งขันสูง แต่ KUMWEL มีจุดแข็งด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ การบริการ และความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทำให้สามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดได้

Q: แผนการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่

A: บริษัทมีแผนการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น AI และ IoT เพื่อพัฒนาระบบป้องกันฟ้าผ่าอัจฉริยะและโซลูชันด้านความปลอดภัยที่ล้ำสมัย

Q: ผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19

A: สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจบ้าง แต่บริษัทสามารถปรับตัวได้โดยการเพิ่มช่องทางขายออนไลน์และการให้บริการแบบ Remote

Q: นโยบายการจ่ายเงินปันผล

A: บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ โดยพิจารณาจากผลประกอบการและกระแสเงินสดของบริษัท

Q: ความคืบหน้าโครงการในต่างประเทศ

A: บริษัทกำลังขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นตลาดที่มีศักยภาพ เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง

Q: กลยุทธ์การเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด

A: บริษัทมีกลยุทธ์ในการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การขยายช่องทางจัดจำหน่าย และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า

  • Q: แผนการเติบโตในระยะยาว
  • A: บริษัทมีแผนการเติบโตในระยะยาว โดยมุ่งเน้นการเป็นผู้นำด้านระบบป้องกันฟ้าผ่าและโซลูชันด้านความปลอดภัยระดับโลก

โดยสรุป KUMWEL ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มี การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง และการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว

โพสต์ล่าสุด