TK Oppday สรุปผลประกอบการ Q1/2568: ทิศทางใหม่ภายใต้ความท้าทายและโอกาสที่ยั่งยืน

P/E 18.93 YIELD 4.67 ราคา 4.28 (0.00%)

TK Oppday สรุปผลประกอบการ Q1/2568: ทิศทางใหม่ภายใต้ความท้าทายและโอกาสที่ยั่งยืน

สวัสดีค่ะ วันนี้บริษัท ฐิติกร จำกัด (มหาชน) ขอเสนอผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 โดยมีหัวข้อหลัก 4 ส่วนคือ ประวัติบริษัท ข้อมูลภาพรวมอุตสาหกรรม ผลการดำเนินงาน และสรุปสถานะทางการเงินที่สำคัญ

ฐิติกรก่อตั้งขึ้นในปี 2515 (1972) เพื่อดำเนินธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์ในเขตกรุงเทพฯ ในปี 2543 บริษัทเป็นเจ้าแรกที่ริเริ่มการประกันภัยรถจักรยานยนต์ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรมเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ในปี 2546 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และปี 2548 ได้ออกหุ้นกู้ล็อตแรก

พัฒนาการสำคัญต่อมาคือปี 2557 บริษัทเปิดบริษัทลูกแห่งแรกในต่างประเทศชื่อ "ซัวสะไดไฟแนนซ์" ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา และบริษัทลูกแห่งที่สอง "สบายดีลิสซิ่ง" ที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว ในปี 2560 บริษัทฉลองครบรอบ 45 ปี พร้อมจัดแคมเปญพิเศษเพื่อสมนาคุณลูกค้า ปี 2562 ฐิติกรได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งใน 193 บริษัทที่ได้รับรางวัล 5 ดาวด้าน Corporate Governance Scoring โดย IOD ในปี 2563 มีแผนลงทุนในประเทศพม่าแต่ต้องระงับไปเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมือง ในปี 2564 ได้ตั้งบริษัท TK Broker เพื่อทำธุรกิจนายหน้าประกันภัย และปี 2565 ตั้ง TK เงินทันใจ เพื่อทำธุรกิจ Personal Loan และได้รับรางวัล Investor Choice Award ต่อเนื่องเป็นปีที่ 15

ปัจจุบัน บริษัทมีโครงสร้างกลุ่มบริษัทที่มีบริษัทลูก 6 แห่ง โดยฐิติกรยังคงมุ่งเน้นธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย กัมพูชา และลาว นอกจากนี้ยังมี CVA ทำธุรกิจรับจ้างดูแลด้านเก็บหนี้, ชยภาคทำสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์, TK เงินทันใจทำ Nano Finance และบริษัทในต่างประเทศอย่างซัวสะไดไฟแนนซ์ (กัมพูชา) และสบายดีลิสซิ่ง (ลาว) ซึ่งทั้งสองแห่งมีพอร์ตรวมกันประมาณ 1,000 ล้านบาท TK Broker มีพอร์ตรวมประมาณ 2,000 ล้านบาท

ปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จของฐิติกรคือชื่อเสียงในด้านเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ประสบการณ์ที่ยาวนาน ฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง และความสัมพันธ์ที่ดีกับร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ มีสาขาทั่วประเทศไทยและเงินทุนที่แข็งแกร่งประมาณ 5,500 ล้านบาท DE ratio ต่ำ สินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นพอร์ตลูกหนี้ที่ให้ผลตอบแทน และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ BBB+ Stable จาก Tris Rating อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเข้มงวดกับการตั้งสำรองเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน

ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศไทย

ตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2564-2566 แต่ปี 2567 เป็นปีแรกที่ตลาดหดตัวลงประมาณ 9% เนื่องจาก สคบ. กำหนดเพดานดอกเบี้ยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ที่ 23% ในช่วงแรกผู้ให้บริการหลายรายเร่งปล่อยสินเชื่อโดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ที่มีราคาสูงเพื่อชดเชยดอกเบี้ยที่หายไป แต่ในครึ่งปีหลังของปี 2566 ผู้ให้บริการเริ่มลดการปล่อยสินเชื่อลง ทำให้ปี 2567 ตลาดรวมอยู่ที่ 1.7 ล้านคัน ลดลงประมาณ 9% ปี 2568 ผู้ผลิตรายใหญ่คาดว่าตลาดจะใกล้เคียงเดิมหรือโตขึ้นเล็กน้อย ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ตลาดโตขึ้น 1.5% และ 4 เดือนแรกโตขึ้นเกือบ 2% แต่การแข่งขันยังคงสูง

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมเข้ามากำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์อย่างเต็มตัว ซึ่งคาดว่าจะทำให้การแข่งขันเป็นไปอย่างมีระเบียบมากขึ้น

ยอดขายรถจักรยานยนต์ปี 2567 ติดลบ 10 เดือน มีบวก 2 เดือน ส่วนปี 2568 เปิดมา 4 เดือนแรกเป็นบวก แต่บวกเพียง 2% อาจเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจในไตรมาสแรกที่การส่งออกสูงเป็นประวัติการณ์

ในเขตกรุงเทพฯ ตลาดรวมปีที่แล้วติดลบ 9% และไตรมาสแรกโต 1.1% ซึ่งน้อยกว่าต่างจังหวัด

รถจักรยานยนต์ที่ขายดีในไทยมี 2 ประเภทหลักคือ รถ Family (ราคาถูก) และรถ Automatic (ราคาแพงกว่า ขับขี่สะดวกสบาย) ส่วนรถ Sport (ราคาเกิน 80,000 บาท) ความนิยมลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ

สัดส่วนยอดขายรถ Sport ลดลงจาก 19% ในปี 2515 เหลือ 3% ในปัจจุบัน ส่วนรถ Family ยังคงมีสัดส่วนมากที่สุด แต่หลังจากการควบคุมเพดานดอกเบี้ยในปี 2566 รถ Family ลดลงเหลือ 46% ขณะที่รถ Automatic เพิ่มขึ้นเป็น 50% และปี 2567 รถ Automatic มีสัดส่วน 53% และ 4 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 54% สะท้อนว่าผู้ให้บริการเช่าซื้อเน้นปล่อยสินเชื่อที่มีมูลค่าสูงขึ้นเพื่อชดเชยดอกเบี้ยที่ถูกจำกัด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงให้กับอุตสาหกรรม

รถไฟฟ้า (EV) เริ่มมีบทบาทมากขึ้น โดยปี 2565 มียอดขายประมาณ 5,000 คัน (0.3% market share) และ 4 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 10,000 คัน (2%) แต่เนื่องจากรถจักรยานยนต์มีราคาไม่สูงมากนัก ทำให้แบตเตอรี่ EV มีราคาสูงเมื่อเทียบกับตัวรถ ส่งผลให้ความนิยมยังไม่สูงเท่ารถยนต์

ตลาดรถยนต์ในประเทศมีการหดตัว ผู้ซื้อส่วนใหญ่มีรายได้สูงกว่าผู้ซื้อรถจักรยานยนต์ โดยปกติเศรษฐกิจชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ช้ากว่า แต่ครั้งนี้กลับตรงกันข้าม ตลาดรถยนต์หดตัวรุนแรงกว่าในรอบหลายสิบปี แม้ว่าภาครัฐจะสนับสนุนการซื้อรถ EV โดยให้เงินอุดหนุนคันละเป็นแสนบาท แต่ยอดขายก็ยังไม่สามารถแซงปี 2566 ได้

รถมือสองราคาตกต่ำเนื่องจากมีการสนับสนุนรถ EV ทำให้ผู้ผลิตรถ EV จากจีนลดราคาอย่างต่อเนื่อง รถคันละล้านบาทอาจเหลือ 7 แสนบาทในเวลาไม่นาน ทำให้ผู้ให้บริการสินเชื่อขาดทุนจากรถยึดจำนวนมาก

ปีนี้ผู้ผลิตรายใหญ่คาดว่าตลาดรถยนต์จะโตขึ้น 4-5% อยู่ที่ 6 แสนคัน แต่สมาพันธ์คาดว่าอาจลดลง 12% เหลือ 5 แสนคัน เนื่องจากหนี้เสียและหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ

ยอดขายรถยนต์รายเดือนปี 2567 น้อยกว่าปี 2565 และ 2566 ทุกเดือน และ 3 เดือนแรกของปี 2568 ก็ยังคงติดลบต่อเนื่อง รวมแล้วติดลบต่อเนื่อง 22 เดือน ซึ่งยังดูไม่น่าจะฟื้นตัวได้เร็ว

รถที่ขายดีในไทยแต่ก่อนคือรถญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันรถจีนเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเริ่มต้นจากรถ EV และขยายไปยังรถ Hybrid และดีเซล

ฐิติกรเน้นปล่อยสินเชื่อรถจักรยานยนต์เป็นหลัก แต่หลังจาก สคบ. ควบคุมเพดานดอกเบี้ย ก็หันมาเน้นผลิตภัณฑ์ใหม่ชื่อ TKME (ให้เช่า) แทน หาก ธปท. ออกกฎระเบียบที่ชัดเจน บริษัทก็อาจกลับมาเดินหน้าธุรกิจเช่าซื้อต่อไปได้

ปัจจุบัน ฐิติกรมี 48 สาขาใน 41 จังหวัด และใน สปป.ลาว มี 4 สาขา (จากเดิม 6 สาขา) และกัมพูชามี 12 สาขา โดยยังไม่มีแผนขยายสาขาเพิ่ม

ปี 2567 เป็นปีแรกที่บริษัทขาดทุน (15.9 ล้านบาท) ตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ก็ยังคงจ่ายเงินปันผล โดยมีการเร่งตัดหนี้สูญทั้งในและต่างประเทศ

Legacy Asset หรือ NPL ต่างๆ ไม่น่าจะมีมากแล้ว และหนี้สินของบริษัทแทบจะไม่มีเลย มีเพียงหนี้ในต่างประเทศเล็กน้อยเพื่อ Matching กับ Asset และ Liability

กัมพูชาและ สปป.ลาวเริ่มฟื้นตัวแล้ว โดยเฉพาะกัมพูชาที่เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 3-4 หลังจากเร่งตัดหนี้สูญ รายได้ในไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 267 ล้านบาท ลดลง 22% แต่รายจ่ายลดลง 42% ทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 52.5 ล้านบาท ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 8 ไตรมาส หากไม่นับรวมการเร่ง Write off เฉพาะฐิติกร (ประเทศไทย) ได้ Write off ไปเกือบ 400 ล้านบาทในปี 2567 และอีก 41 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2568

ปัญหาหนึ่งที่บริษัทเผชิญคือมีเงินสดมากเกินไป ทำให้ Generate Return ได้ไม่ดีเท่าที่ควร

สัดส่วนรายได้จากการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในประเทศลดลงจาก 72% ในปี 2566 เหลือ 53% ในปี 2567 และ 44% ในไตรมาส 1 ปี 2568 ส่วน Other Income สูงขึ้นเนื่องจากการ Divest Asset บางอย่างและการ Write back

ณ ไตรมาส 1 ปี 2568 ทรัพย์สินรวมลดลง 1% อยู่ที่ 5,817 ล้านบาท โดยมีเงินสดรวม 3,122 ล้านบาท (37.5%) และหนี้สิน 53% หนี้สินในต่างประเทศมีเพียง 170 ล้านบาท ตัวเลขเช่าซื้อรถจักรยานยนต์อยู่ที่ 1,870 ล้านบาท ลดลง 6% ส่วนรถยนต์อยู่ที่ 200 กว่าล้านบาท

รถจักรยานยนต์มีการปล่อยสินเชื่อประมาณ 2 ปีโดยเฉลี่ย ดังนั้นเวลาที่หยุดปล่อยหรือปล่อยน้อยลง ยอดลูกหนี้เช่าซื้อจะลดลงอย่างรวดเร็ว ในไตรมาส 1 ปี 2568 ลูกหนี้ค้างชำระเกิน 3 งวดอยู่ที่ 4.4% ส่วนรถยนต์อยู่ที่ 19% ของ 200 ล้านบาท เนื่องจากมีคนดาวน์ 20-25% ลูกหนี้เช่าซื้อรวมค้างชำระเกิน 3 เดือน ณ สิ้นปีที่แล้วอยู่ที่ 7% และไตรมาส 1 ปีนี้อยู่ที่ 6.1%

พอร์ตเช่าซื้อในกัมพูชาลดลงจาก 1,200 ล้านบาทในปี 2566 เหลือ 837 ล้านบาทในปี 2567 (ลดลง 31%) แต่ไตรมาส 1 ปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 884 ล้านบาท บริษัทคาดว่าจะเติบโต 20% ในปีนี้ แต่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเนื่องจากไทยและกัมพูชาถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีสูง ส่วนภาคการท่องเที่ยวก็ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตาม หนี้ครัวเรือนในกัมพูชาไม่ได้สูงเหมือนในไทย ทำให้การควบคุมคุณภาพหนี้เป็นไปได้ด้วยดี ในไตรมาสแรกรำไรเพิ่มขึ้น 42% และในไตมาสเดียว กำไรสูงกว่าทั้งปีของปี 2567 และ 2566 เสียอีก

ใน สปป.ลาว มียอดอยู่ที่ 159 ล้าน และโต 7% แม้เศรษฐกิจจะไม่หวือหวา แต่ลูกหนี้มีคุณภาพดี (ค้างชำระ 0.6%) ไตรมาสแรกกำไรเพิ่มขึ้นเล็กน้อย(9%) ทั้งรายได้และรายจ่ายเพิ่มขึ้น 17% แต่ผลประกอบการก็ยังดีอยู่

Coverage ratio ลูกหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือนอยู่ที่ 123 ล้านบาท บริษัทตั้งสำรองไว้ 132 ล้านบาท (Coverage ratio 107%) หรือ 6.6% ของพอร์ตรวม

Spread ปี 2567 ไม่ดีนัก แต่ปี 2565 และ 2566 ก็ถดถอยลง ปีนี้เริ่มขยับขึ้นมา แต่ดอกเบี้ยจ่ายก็สูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากเงินกู้ในประเทศหมด บริษัทจึงต้องกู้เงินสกุลกีบและดอลลาร์ในต่างประเทศ ซึ่งมีดอกเบี้ยสูงกว่าและมี Country Risk ด้วย มูลหนี้ล่าสุดในไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 116 ล้านบาท (สิ้นปีที่แล้ว 170 ล้านบาท) ส่วน Spread ลดลงเนื่องจากบริษัทไม่เน้นการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อในไทย

สัดส่วนการใช้ TK Plus อยู่ที่ประมาณ 62% และมีการใช้ระบบ Digital พอสมควร

Q&A Session เริ่มต้นที่ นาทีที่ 48.56

  1. ต้นทุนเงินกู้ที่สูงขึ้น Q1/68 เทียบกับ Q4/67
  2. เกิดจากเงินบาทหมด เลยเอาดอลล่าร์และกีบมาเบลนกัน cost of funds จึงสูง ถึงแม้ดอกเบี้ยเงินกู้ในกัมพูชาและลาวจะสูง แต่คุณภาพนี้ดี และมีเทรนที่ดีขึ้น

  3. จำนวนสาขาในไทย
  4. ปัจจุบัน 48 สาขาในไทย 12 ในกัมพูชา และ 4 ในลาว นโยบายคือไม่เปิดสาขาเพิ่ม พยายามเพิ่มรายได้ในสาขาที่มีอยู่ และขยายตัวจากสาขาที่มีก่อน ส่วนสาขาลาวที่มีรายได้น้อยก็จะปิดไป โดยจะเน้นเพิ่มยอกใน 4 สาขาให้กลับไปเท่าเดิม เพราะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

  5. เหตุใดคู่แข่งรายได้ไม่ตก
  6. อาจจะต้องดูเรื่องหนี้เสีย และการตั้งสำรองที่ไม่เท่ากันด้วย

สรุป: ฐิติกรกำลังเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงในตลาดและเศรษฐกิจ แต่ก็มีโอกาสในการเติบโตในต่างประเทศและจากการปรับปรุงประสิทธิภาพภายใน แม้ว่าผลประกอบการในอดีตจะมีการหดตัว แต่บริษัทก็กำลังดำเนินการเพื่อฟื้นฟูและสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน

โพสต์ล่าสุด