KSL Opportunity Day: สรุปผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 และทิศทางธุรกิจ

P/E 30.73 YIELD 3.82 ราคา 1.31 (0.00%)

KSL Opportunity Day: สรุปผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 และทิศทางธุรกิจ

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)

บริษัทได้รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 1 ปี 2568 พร้อมอัปเดตสถานการณ์ปัจจุบันของธุรกิจ โดยมีผู้บริหารให้ข้อมูลที่สำคัญ

  • ปริมาณการหีบอ้อยเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว เนื่องมาจากปริมาณภาพรวมของอ้อยในประเทศไทยที่เพิ่มมากขึ้น และการเปิดโรงงานใหม่ที่วัฒนานคร ซึ่งเริ่มเปิดหีบเป็นปีแรก
  • ในช่วงแรกของการเปิดโรงงานใหม่ อาจจะมีการหีบอ้อยที่ยังไม่เต็ม Capacity เท่าไหร่ แต่ภาพรวมค่อนข้างสมบูรณ์

สำหรับตัวเลขผลประกอบการในไตรมาส 1:

  • กำไรสุทธิ 120 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากปีที่แล้ว (Year on Year)
  • สาเหตุหลัก: การใช้ต้นทุนที่เป็น Crop ของปีที่แล้ว ซึ่งมีราคาน้ำตาลที่สูงกว่าปีนี้ และมีต้นทุนที่สูงกว่า
  • Q1 ได้ขายน้ำตาลที่เป็นน้ำตาลคงเหลือที่ยกมาจากแต่ปีก่อนหมดแล้ว
  • กำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงจาก 938 ล้านบาท เหลือ 461 ล้านบาท
  • EBITDA ของปีที่แล้วรายงานอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ปีนี้อยู่ที่ประมาณ 684 ล้านบาท (ปรับตัวลดลง 43%)
  • รายได้จากการขายปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 4% อยู่ที่ 3,470 ล้านบาท ส่งผลมาจากปริมาณการส่งมอบน้ำตาลที่ปรับตัวสูงขึ้น (จาก 100,000 กว่าตัน เป็น 120,000 กว่าตัน) และปริมาณส่งมอบตัวโมลาสที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ปริมาณการส่งมอบน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นมีผลทำให้รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยรายได้เกือบทั้งหมด (98%) เป็นการขายและให้บริการที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัท (น้ำตาลและโมลาส) และมีรายได้จากไฟฟ้าบางส่วน

ต้นทุนมีการปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากมีการนำต้นทุนของสินค้าคงเหลือที่มีต้นทุนที่สูงมาใช้ ราคาตลาดน้ำตาลปรับตัวลดลง แต่ต้นทุนของที่ซื้ออ้อยก็ปรับตัวลดลงด้วย

สัดส่วนของต้นทุน: ส่วนใหญ่เป็นต้นทุนในการผลิตและขายน้ำตาล รองลงมาเป็นต้นทุนในการจัดจำหน่าย (ซึ่งในปีนี้ค่อนข้างใกล้เคียงกับปีที่แล้ว)

  • Gross Profit Margin มีการปรับตัวลดลง สาเหตุหลัก: ราคาขายเฉลี่ยของน้ำตาลปรับตัวลดลง เนื่องจากตลาดของราคาน้ำตาลเองลดลง

ปริมาณการส่งมอบในปีนี้ค่อนข้างดีกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย ทั้งในเรื่องปริมาณการหีบที่เพิ่มขึ้น และปริมาณการส่งมอบน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น (เพิ่มขึ้นโดยประมาณ 17%) แต่ราคาโมลาสปรับตัวลดลง

ปริมาณการส่งมอบน้ำตาลจากเดิมประมาณ 98,000 ตัน เพิ่มเป็น 118,000 ตัน (เพิ่มขึ้นเกือบ 20%)

  • การขายที่ประเทศลาว: ปริมาณการส่งออกลดลงเนื่องจาก Demand ของลูกค้าที่ขอสินค้าเข้ามาลดลง

ธุรกิจไฟฟ้า: ปริมาณการส่งมอบใกล้เคียงกับปีก่อน ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเนื่องจากวันเปิดหีบช้ากว่าปีก่อนเล็กน้อย

  • ราคาที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น: เกิดจากตัวค่า FT ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น (เกือบเท่าตัว) ทำให้ราคาเฉลี่ยของการขายไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย
  • ต้นทุน: มีการใช้เชื้อเพลิงแฝงเลียดเพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วงของการเปิดหีบช้ากว่าปีที่แล้ว ปริมาณกากอ้อยยังไม่เพียงพอ
  • เมื่อหีบอ้อยอย่างเต็มที่ ก็กลับมาใช้กากอ้อยได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมของปริมาณเชื้อเพลิงแฝงเลียดเพิ่มขึ้น และมีผลกระทบกับตัวต้นทุนของการผลิตไฟเพิ่มขึ้น

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)

สภาวะตลาด (Market Overview):

  • ปี 2524/25: ยังอยู่ในเกณฑ์ Surplus และจะ Carry on ตัว Surplus มาในปี 2525/26 เช่นกัน
  • ปริมาณคาดการณ์ดุลน้ำตาลในปี 2525/26: ยังอยู่ในเกณฑ์เกินดุล (ตัวเลขคาดการณ์ในช่วงปลายปีอยู่ที่ 5.2 ล้านตันน้ำตาล)
  • ปรับตัวลดลงเล็กน้อย (คาดการณ์ดุลน้ำตาลเกินดุลอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านตันน้ำตาล)

ปัจจัยที่ทำให้ตัวดุลน้ำตาลยังเกินดุลอยู่: ประเทศผู้ผลิตหลักๆ อย่างเช่น บราซิล

  • คาดการณ์ปริมาณอ้อยในบราซิลปี 2524/25: เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 621 ล้านตันอ้อย (ผลิตน้ำตาลได้ 40 ล้านตันน้ำตาล)
  • ปี 2525/26: บราซิลคาดการณ์ปริมาณอ้อยลดลง แต่ยังคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำตาลจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านตัน (ค่าเงิน Real ยังอ่อนค่า)
  • ปัจจัยนี้ยังถือว่าค่อนข้างอยู่ในช่วงต้นของการเก็บเกี่ยวของบราซิล และอีกปัจจัยคือเรื่องราคาน้ำมัน

คาดการณ์โดยสรุป: บราซิลจะ Maximize ตัวน้ำตาล โดยผลิตน้ำตาลเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านตัน (เทียบจากปี 2524/25)

ประเทศผู้ผลิตใหญ่อีกประเทศ: อินเดีย (ไม่ได้ส่งออกน้ำตาลออกมา)

  • Sentiment: ปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณน้ำตาลเพิ่มขึ้น
  • กราฟแท่งปี 2524/25: ปริมาณ Carry Over เข้ามาอยู่ที่ 4.4 ล้าน, 3.6 ล้านเอาไปทำเป็นเอทานอล, น้ำตาลพอเพียงต่อการบริโภคอยู่ที่ประมาณ 26 ล้านตันน้ำตาล

ปี 2525/26: คาดการณ์ว่าปริมาณการผลิตเอทานอลจะเพิ่มขึ้น และตัว Stock จะ Carry Over ไปมากขึ้น ปริมาณ Stock จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน (อยู่ที่ประมาณ 32.8 ล้านตันน้ำตาล) ปัจจัยนี้ส่งผลให้ตัวดุลน้ำตาลของโลกเพิ่มขึ้น

ประเทศไทย: ปีที่เพิ่งจบไปปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า (ประมาณ 11%) จาก 82 ล้านตันอ้อย จบที่ 92 ล้านตันอ้อย

  • Market Share ของกลุ่ม KSL: เพิ่มขึ้นจากประมาณ 6.6% เป็น 7.7% ปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้นเกือบ 20% จาก 5.4 ล้าน เป็น 6.6 ล้านตันอ้อย
  • โรงงานน้องใหม่ที่สระแก้ว ทำให้เปอร์เซ็นต์ Market Share ของ KSL อยู่ที่ 7.17%

ปี 2525/26: ในภาพรวมยังคาดการณ์ว่าปริมาณอ้อยน่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณใกล้ๆ 100 ล้านตัน ถ้าใช้ปริมาณ Market Share อยู่ที่เฉลี่ยที่ประมาณ 7% กลุ่ม KSL น่าจะได้อ้อยอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านตันอ้อย

ปัจจัยที่ทำให้ตัวคาดการณ์ปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้น: ปริมาณน้ำฝนในปี 2520/25 ในช่วง 3 เดือนแรกของปียังเกาะๆ อยู่ที่เส้นสีแดง (ค่าเฉลี่ยปกติ) แต่ในเดือนเมษายนปริมาณน้ำฝนเพิ่มขึ้นเหนือค่าเฉลี่ย

  • ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยผลบวกต่อปริมาณอ้อยในปีหน้า ทำให้คาดการณ์อยู่ที่ประมาณ 100 ล้านตันอ้อย

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)

Status ของตัวกองทุน: เนื่องจากการเงินของตลาดเป็นเกินดุล กองทุนเลย Net Short Position มาต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี (เริ่ม Net Short ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมปี 2524 แล้วก็ Net Short มาต่อเนื่อง) แล้วก็มา Net Short อีกทีที่เพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณเดือน 1 ปี 2520/25

  • ปัจจัยหลักที่กดดันราคาตลาดลงมาต่อเนื่อง: ตั้งแต่กองทุน Net Short มาก็ผลักดันตัวราคาลดลงต่อเนื่อง (ตอนนี้ Net Short ของตลาดในช่วงเดือนเมษายนอยู่ที่ 46,000 สัญญา)

กราฟราคาน้ำตาลปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง Q แรกของปี (มกราคม-มีนาคม) และทั้งกลุ่มก็มีการเข้าทำราคาต่อเนื่อง

ปัจจัยที่ทำให้ราคาลดลงต่อเนื่อง: ปัจจัยที่เกินดุลของน้ำตาลเอง ตอนนี้กองทุนก็ Net Short ลงมาทำให้อยู่ที่ Floor แล้ว (ประมาณ 17.5 Cent)

  • ในอุตสาหกรรมน้ำตาลถึงแม้ว่ารายได้มีการ Lock ต้นทุนและรายได้ แต่ก็สอดคล้องกัน มีการ Lock ราคาต่อเนื่องตั้งแต่ราคาตั้งแต่ 20 Cent ขึ้นมา
  • มองว่าตอนนี้ (17.5 Cent) น่าจะเป็นตัว Floor ของตัวราคาน้ำตาลแล้ว เพราะว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่า Import Priority ของประเทศจีน (อยู่ที่ 16.5-17 Cent)

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)

บริษัทได้ดำเนินการตามแผนที่วางไว้เพื่อแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ โดยมีกลยุทธ์และตัวชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจน

  • การปรับปรุงกระบวนการผลิต
  • การบริหารจัดการต้นทุน
  • การขยายตลาดและผลิตภัณฑ์

นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)

บริษัทมองเห็นแนวโน้มของธุรกิจในอนาคตที่สดใส โดยมีวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจนในการเติบโตอย่างยั่งยืน

  • การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่และนวัตกรรม
  • การขยายตลาดไปยังต่างประเทศ
  • การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า

บริษัทเชื่อมั่นว่าด้วยแผนการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและทีมงานที่มีความสามารถ จะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้และสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [เริ่ม Q&A นาทีที่ 32:44]

สรุปคำถามและคำตอบในช่วง Q&A โดยจัดกลุ่มตามหัวข้อที่เกี่ยวข้อง

  1. ผลกระทบต่อต้นทุนและราคาขายจากราคาน้ำตาลที่ลดลง

    • เนื่องจากรอบปีบัญชีของ KSL เริ่มจากพฤศจิกายนถึงตุลาคม และการส่งมอบน้ำตาลจริงเริ่มธันวาคม จึงต้องมี Stock น้ำตาลส่วนหนึ่งเพื่อขายใน Q1 (พฤศจิกายน-มกราคม)
    • Q1 จะมีผลกระทบจากต้นทุนน้ำตาลเก่าที่ไปขายใน Q ใหม่
    • ปีที่แล้วกำไรเยอะเพราะราคาน้ำตาลปรับตัวขึ้นในตอนท้ายปี ทำให้น้ำตาลปีก่อนหน้าต้นทุนต่ำ พอมาข้ามมาสู่ปีใหม่ราคาสูงขึ้น ทำให้มี Extra Margin
    • ปีนี้: น้ำตาลปรับตัวลง ต้นทุนที่ Carry มาจากปีที่แล้วมาขายในเดือนธันวาคม ต้นทุนเก่ามันยังค้างอยู่
    • เป็น Routine อย่างนี้ปกติในทุกๆ ปี ปีที่ราคาไม่ค่อยมีผลกระทบคือปีที่ราคาน้ำตาลไม่เคลื่อนไหวอย่างมีนัยยะสำคัญ (ขยับขึ้นลง 1 Cent ไม่กระทบเยอะ แต่ถ้าขยับ 3-5 Cent จะมีผลกระทบเยอะ)
    • ปีที่แล้วขึ้นไปสูงสุด 26-27 Cent แล้วก็ร่วงลงมาเป็น 18-20 Cent การเคลื่อนไหวนี้มีผลกระทบในเรื่องต้นทุนและราคาขายใน Q1
  2. ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำตาลปรับลดลง

    • KSL มีระบบแบ่งปันผลประโยชน์กับทางชาวไร่อ้อย ส่งผลให้ตัวต้นทุนในการผลิตน้ำตาลปรับตัวลดลงตามไปด้วย
  3. ราคาน้ำตาลในประเทศจีน

    • น้ำตาลเป็นสินค้าอ่อนไหวของทุกประเทศ น้ำตาลในแต่ละประเทศของจีนตั้งสูงกว่าได้ เพราะเขาผลิตไม่พอ และเขาต้องการจะอยากให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ประเทศจีนปลูกอ้อยอยู่
    • เรื่อง Food Safety เขายังมีความเป็นห่วง
    • ราคาอ้อยประเทศจีน 2,000 กว่าบาทต่อตัน ทำให้ราคาขายขึ้นไปสูง (ประมาณ 7,000 หยวน) ถ้าสูงเกินไปเขาก็นำเข้าเพิ่ม ถ้าต่ำลงมาก็พยายามชะลอการนำเข้า
    • ประเทศจีนมีเรื่องโควต้า เช่น ประเทศสังคมนิยม (คิวบา) ปีนี้เข้มงวดขึ้น ทำให้ไทยส่งไปทางจีนได้ลดน้อยลง
    • เป็นปัจจัยชั่วคราวจนกว่าจะมีการปรับตัวกันได้
  4. มุมมองต่อการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี 2568

    • ปัจจัยที่เหลือ: ราคาขายส่งออก (ราคาขายในประเทศค่อนข้างนิ่ง), ปัจจัยเรื่องค่าเงิน (33.5-34 บาทถือว่าค่อนข้างโอเคสำหรับ KSL เพราะส่งออกร่วม 70% ของรายได้ทั้งหมด)
    • เรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยของนโยบาย (กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ย) ส่งผลโดยตรงกับบริษัทคือดอกเบี้ยจ่ายปรับตัวลดลง
  5. ราคาน้ำตาลกับราคากากน้ำตาล

    • แยกตลาดโดยสิ้นเชิง ผู้ใช้น้ำตาลกับผู้ใช้กากน้ำตาลคนละกลุ่มกันเลย เพราะฉะนั้นราคาน้ำตาลขึ้นลงจะไม่แปรผันไปกับราคากากน้ำตาลขึ้นลง
    • ความต้องการในการใช้กากน้ำตาลมีไม่กี่อุตสาหกรรม (เหล้า ผงชูรส เอทานอล)ถ้ารัฐยังมีนโยบายในเรื่องการส่งเสริมในเรื่องแก๊สโซฮอล์อยู่ Demand กากน้ำตาลก็ยังคงอยู่ (ระดับหนึ่ง)
    • ปัจจัยสำคัญสำหรับราคากากน้ำตาลคือปริมาณกากน้ำตาล ปีนี้พอหีบอ้อยเยอะ (อ้อย 1 ตัน จะได้กากน้ำตาล 40 กิโล) กากน้ำตาลออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ราคาลดลง
    • ราคาจากปีที่แล้วขึ้นไป Peak อยู่ 5,000 กว่าบาทต่อตัน ลงมาเหลือ 3,000 กว่าบาท (Demand Supply ในตลาด ไม่เกี่ยวกับราคาน้ำตาล)
  6. ต้นทุนค่าอ้อยสดกับค่าอ้อยไฟไหม้

    • ปัจจุบันบริษัทบันทึกต้นทุนด้วยค่าอ้อยเบื้องต้นบวกด้วยประมาณการเบื้องปลาย (เป็นภาพรวมของต้นทุนทั้งปี)
    • เมื่อท้ายออกก็จะปรับส่วนต่างเล็กน้อย
    • KSL พยายามมีการปรับปรุงทุก Quarter ถ้ามีตัวเลขอะไรที่มัน Update ได้ ก็จะมีการปรับปรุง (เพื่อให้มีการปรับใหญ่ใน Quarter 4 แบบในอดีต)
    • อ้อยเผาคนหนึ่งตัดอ้อยเผาได้ 4-5 ตันต่อวัน (อ้อยใบมันไม่มีแล้ว, ลำต้นยอดนิดหน่อย)
    • อ้อยสดได้ตันกว่าๆ
    • ค่าแรงการจ้าง: ถ้าจ้างวันละ 400 ยังไงก็ได้ 400 อยู่แล้วต่อวัน เพราะฉะนั้นก็ต้องให้ไปตามของผลงาน
    • การตัดอ้อย อ้อยสดจะใช้เวลามากขึ้น ค่าแรงก็ต้องเพิ่มขึ้น
    • ต้นทุนอ้อย อ้อยสดกับอ้อยเผาเทียบกันแทบจะเท่าตัวเลย
  7. แผนระยะสั้นและระยะยาวในการลดอ้อยไฟไหม้

    • การลดอ้อยไฟไหม้ ต้องมองว่าความต้องการอ้อยของประเทศไทยที่จะต้องตัดเข้าโรงงานในแต่ละวัน (กำลังผลิตของโรงงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน) วันละเท่าไหร่ (1,300,000 - 1,400,000 ตันอ้อยต่อวัน)
    • ถ้าอยากจะได้เป็นอ้อยสดทั้ง 100% การตัดอ้อยใช้วิธีใดได้บ้าง
    • รถตัดอ้อย: คันหนึ่งรวมๆ 10 กว่าล้าน (คันเล็กก็ 6-7 ล้าน) แปรงเกษตรเรามันแปรงเล็ก ไม่เหมือนออสเตรเลียหรือบราซิล (ตัดอ้อยได้ 1,000-2,000 ตัน) ประเทศไทยค่าเฉลี่ยแค่ร้อยกว่าตัน (100 ตันก็เก่งแล้ว)
    • อุตสาหกรรมจะค่อยๆ เติมรถตัดอ้อยเข้าไป ถึงแม้ไม่ใช่กิจกรรมที่ได้กำไรอะไร (รถตัดอ้อย 1 คัน บริโภคน้ำมัน 2-3 ลิตรต่อชั่วโมง)
    • สิ่งที่ KSL จะมาเสริมได้คือเรื่องภาคแรงงาน (โชคดีที่ประเทศไทยเรายังมีประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นแรงงานสำคัญด้านภาคเกษตร)
    • การแก้ระยะยาวอยู่ที่นโยบายภาครัฐ (ชาวไร่อ้อย การหาแรงงานต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้า)
    • ต้องไปติดต่อตัวแทนในการไปนำคนงานเข้ามาสู่ระบบ เขาจะมีค่าใช้จ่ายของเขา
    • ควรมีการประมาณการล่วงหน้าได้ว่าค่าอ้อยจะประมาณเท่าไหร่ (ภาครัฐมีมาตรการอะไรที่จะช่วยส่งเสริมชาวไร่ตรงนี้)
    • ถ้ารับทราบล่วงหน้า 5-6 เดือน จะได้ไปเตรียมตัวในการหาแรงงาน
    • แรงงานชุดหนึ่งก็ต้องมี 20-30 คน (มีแผนที่จะเปิดหีบอ้อย)
    • การรับคนงานเข้ามาวันแรกก็มีค่าใช้จ่าย (ค่ากินค่าอยู่ ค่าเบี้ยเลี้ยง)
    • เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่การวางแผนและเข้าใจระบบในระยะยาว ถ้าทำแล้วในทางเดียวกันก็ต้องขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์กับชาวไร่ว่าอ้อยเขาไม่ดียังไง
    • ปีที่ผ่านมาถือว่ามีความร่วมมือกันได้ดีมาก อ้อยเผาลดลงไปเยอะ
  8. โครงการวัฒนานคร

    • เสร็จสมบูรณ์แล้ว ปีแรกก็ได้ 400,000 ตัน (ตามคาด)
    • กลับมาปรับปรุงในส่วนที่ประกอบกันมีตรงไหนเป็นจุดอ่อน ปีฤดูหีบต่อไปน่าจะหีบ Smooth ขึ้น คาดการณ์น่าจะได้อ้อยประมาณ 800,000 ตัน
  9. การประกาศขึ้นภาษีสินค้าดิบ (Subsidize) ของสหรัฐฯ

    • ตัวน้ำตาลเองส่งออกไปอเมริกาน้อยมาก (ได้สิทธิ์แค่ตาม US โควต้า ประมาณ 20,000 ตัน) ไม่ได้กระทบ
    • ยุโรปก็ไม่ได้โควต้า
    • ที่จะกระทบก็น่าจะกระทบของอุตสาหกรรมอื่นที่ใช้น้ำตาลในการผลิตสินค้าส่งไป
    • ต้องรอภาวการณ์ถดถอย (Recession) จะต้องรอมีชะลอตัว
    • เทียบถึงว่าปีนึงประเทศไทยผลิตน้ำตาล 10 ล้านตัน ธุรกิจที่ใช้น้ำตาลในการส่งออกมีอยู่ซักเท่าไหร่ (หลักแสนตัน)
    • กระทบแต่ก็น่าจะไม่กระทบเยอะ
    • เดี๋ยวรอผลต่อไปว่าเป็นระยะสั้นหรือระยะยาว
    • Category ของสินค้าพวกนี้มีผลกระทบอย่างไร
  10. โครงการลงทุนใหม่ๆ

    • ตอนนี้ยังไม่มีโครงการอะไรที่เป็นนัยยะสำคัญ
    • หลักตอนนี้คือกลับมาใช้เวลากับการทำโรงขึ้นจากเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
    • โครงการที่จะลงทุนอะไรเป็นก้อนใหญ่ๆ สำคัญๆ ตอนนี้ยังไม่มี

โดยสรุป KSL มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การบริหารจัดการต้นทุน และการขยายตลาด เพื่อรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสทางธุรกิจในอนาคต

คำถามและคำตอบ
  • ผลกระทบต่อต้นทุนและราคาขายจากราคาน้ำตาลที่ลดลง
  • ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำตาลปรับลดลง
  • ราคาน้ำตาลในประเทศจีน
  • มุมมองต่อการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี 2568
  • ราคาน้ำตาลกับราคากากน้ำตาล
  • ต้นทุนค่าอ้อยสดกับค่าอ้อยไฟไหม้
  • แผนระยะสั้นและระยะยาวในการลดอ้อยไฟไหม้
  • โครงการวัฒนานคร
  • การประกาศขึ้นภาษีสินค้าดิบ (Subsidize) ของสหรัฐฯ
  • โครงการลงทุนใหม่ๆ

โพสต์ล่าสุด