บทความ ข่าวสาร กิจกรรม

SYMC สรุป Oppday ปี 2567: ทิศทางธุรกิจในยุคดิจิทัลและอนาคตที่ยั่งยืน
P/E 11.39 YIELD 2.94 ราคา 5.40 (-0.92%)
SYMC สรุป Oppday ปี 2567: ทิศทางธุรกิจในยุคดิจิทัลและอนาคตที่ยั่งยืน
สวัสดีค่ะ นักลงทุน นักวิเคราะห์ และท่านผู้ชมทุกท่าน วันนี้ บริษัท Symphony Communication จำกัด (มหาชน) (SYMC) ได้จัดงาน Oppday เพื่อนำเสนอผลการดำเนินงานปี 2567 และทิศทางธุรกิจในอนาคต โดยมีผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วมให้ข้อมูล ได้แก่ คุณธานีรัตน์ วงศ์ศรีจันทร์ นักลงทุนสัมพันธ์, Mr. Alex Loh ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, และคุณสุพศม เจริญดีสวัสดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายการเงิน
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
บริษัท Symphony Communication ดำเนินธุรกิจด้านโครงข่ายโทรคมนาคม ให้บริการเช่าสื่อสารความเร็วสูงเพื่อการเชื่อมต่อข้อมูลทั้งในและต่างประเทศ ผ่านสายเคเบิลใยแก้วนำแสงทั้งบนดินและใต้ทะเล (Submarine MCT) บริษัทได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่ปี 2553 ให้บริการตั้งแต่การเชื่อมต่อใยแก้วนำแสง, บริการอินเทอร์เน็ต, บริการดูแลและบริหารจัดการโซลูชันสารสนเทศ, บริการศูนย์ข้อมูล Data Center, บริการ ICT และ Digital Solution ต่างๆ เช่น Cloud และ Security Manage Security ให้แก่กลุ่มลูกค้าองค์กร, ภาครัฐและเอกชน รวมถึงลูกค้ากลุ่ม OTT ที่ให้บริการด้าน Content ผ่าน Platform Online ภายใต้สินค้า Symphony
ผลประกอบการปี 2567 พบว่า:
- รายได้รวมเพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนหน้า
- หากไม่รวมรายการพิเศษ (One-time) จากการขายสินทรัพย์ Revenue จริงๆ จะเพิ่มขึ้น 5.4%
- Net Profit (รวม One-time Gain) ลดลง 22%
- Net Profit (ไม่รวม One-time) เพิ่มขึ้น 0.9%
การที่ Revenue และ Net Profit เพิ่มขึ้นไม่มากนักเป็นผลมาจากการชะลอตัวของ International ซึ่งคาดว่าจะกลับมาเติบโตในปี 2568 บริษัทได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการให้จ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นเป็น 33.5% (จาก 25% ในปีก่อนหน้า)
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):
บริษัทมองเห็นโอกาสในการเติบโตจาก:
- การเติบโตของ Data Center ในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกและภาคกลาง
- ความต้องการเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอาคารพาณิชย์ (ปัจจุบันให้บริการ 313 ตึก) และนิคมอุตสาหกรรม (105 แห่ง)
- การขยายตัวของ ASEAN Connectivity โดยมีการเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน (พม่า, ลาว, กัมพูชา, มาเลเซีย, สิงคโปร์) ผ่านสายเคเบิลใยแก้วนำแสงทั้งบนดินและใต้น้ำ (27,000 กิโลเมตร fiber footprint, ครอบคลุม 52 จังหวัดในไทย)
- การเติบโตของ Cloud Symphony ที่ร่วมมือกับ AWS (Direct Connect) และได้รับ Certification จาก Veeam (Cloud Service Provider รายแรกในไทย)
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):
บริษัทเผชิญกับความเสี่ยงจาก:
- การชะลอตัวของ International Revenue (โดยเฉพาะช่วง COVID-19 และ Post-COVID) เนื่องจาก Global Tech Company ลดการลงทุน
- ต้นทุนที่สูงขึ้นจากการขยายงานเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):
บริษัทมีแนวทางแก้ไขปัญหาดังนี้:
- เพิ่มสัดส่วนรายได้จาก Domestic Market (Enterprise) เนื่องจากมีการเติบโตเพิ่มขึ้น
- ควบคุมต้นทุนโดยการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและเจรจาต่อรองกับ Third Parties
- มุ่งเน้นการขยาย Network และ Coverage Area เพื่อรองรับความต้องการของ Global Tech Company ที่ต้องการลงทุนใน ASEAN (โดยเฉพาะ Data Center)
- ยกระดับการให้บริการลูกค้าโดยเพิ่ม SLA เป็น 99.95% และ MTTR อยู่ที่ 3 ชั่วโมง
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):
บริษัทคาดการณ์ว่าปี 2568 จะเป็นปีที่ท้าทายแต่ก็น่าตื่นเต้น บริษัทจะมุ่งเน้นการขยายธุรกิจทั้งใน Domestic และ International Market โดยเฉพาะในกลุ่ม Enterprise ที่กำลัง Transformation รวมถึงการลงทุนใน Data Center และ ASEAN Connectivity บริษัทเชื่อมั่นว่า Thailand จะเป็น Regional Data Hub ในอนาคต
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [นาทีที่ 50.12]
คำถามและคำตอบ:
-
Q: ปัจจัยที่ทำให้ Domestic และ International Revenue สวนทางกันในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และเป็นไปได้หรือไม่ที่ทั้งสองส่วนจะเติบโตไปพร้อมกันในอนาคต?
A: Mr. Alex Loh อธิบายว่า ช่วง COVID-19 ทำให้ Domestic Market ซบเซา ในขณะที่ International เติบโตจากการทำงานที่บ้าน (Work from Home) หลัง COVID-19 International Revenue ลดลงเนื่องจาก Global Tech Company ลดการลงทุน แต่ Domestic Market กลับมาเติบโตจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจภายในประเทศ บริษัทเชื่อว่าทั้งสองส่วนมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกันได้ หากไม่มีเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบ และเศรษฐกิจมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
-
Q: Revenue และ Cost เพิ่มขึ้นในอัตราใกล้เคียงกัน ทำให้ Profit Growth ถูกจำกัด มีโอกาสที่ Cost Increase จะชะลอตัวลงหรือไม่? และบริษัทมี Strategies อะไรในการควบคุม Cost?
A: Mr. Alex Loh ตอบว่า Cost เพิ่มขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น ค่า Utility ที่สูงขึ้น บริษัทกำลังดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุม Cost เช่น การ Optimize Cost, การ Automate กระบวนการ, การลด Sites และการเจรจาต่อรองกับ Third Parties
-
Q: International Revenue โดยเฉพาะจาก ASEAN ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยหลักคืออะไร?
A: Mr. Alex Loh กล่าวว่า ช่วง COVID-19 และ Post-COVID International Revenue เติบโตอย่างมาก แต่ปี 2567 การเติบโตลดลงเนื่องจาก External Demand ลดลง อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกำลังส่งเสริมให้ Global Tech Company เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลให้ Data Center เติบโต และสร้าง Demand เพิ่มขึ้น
-
Q: Major Customer ที่มีสัดส่วน Revenue เกิน 10% หายไป บริษัทสูญเสีย Major Customer หรือไม่? และมีสถานการณ์อย่างไร?
A: Mr. Alex Loh ชี้แจงว่า บริษัทไม่มี Customer รายใดรายหนึ่งที่มีสัดส่วน Revenue เกิน 10% การเปลี่ยนแปลงเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของ Domestic และลดลงของ International รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของ Revenue Turn บริษัทมีการกระจายรายได้ที่ดี
-
Q: บริษัทเริ่มดึงดูด Private Cloud Customer อนาคตของธุรกิจนี้เป็นอย่างไร? และ Profit Margin เป็นเท่าไหร่?
A: Mr. Alex Loh อธิบายว่า Private Cloud เป็นธุรกิจที่บริษัทมองเห็นมานานแล้ว การที่ลูกค้าใช้ Multi-Hybrid Cloud ทำให้เกิด Demand สำหรับ Private Cloud บริษัทมี Large Customer Base และเป็น Managed Service Provider สำหรับ Network ซึ่งเอื้อต่อการนำเสนอ Private Cloud Solution บริษัทต้องการเป็นส่วนหนึ่งของ Ecosystem นี้
-
Q: Data Center ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก บริษัทมีโอกาสที่จะได้ Enterprise Customer จาก CLMV Countries หรือไม่?
A: Mr. Alex Loh ตอบว่า Data Center ที่เพิ่มขึ้นจะเอื้อประโยชน์ต่อ Enterprise Customer ที่ต้องการเชื่อมต่อผ่าน Telco และ Carrier ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางสำหรับ CLMV Markets เนื่องจากมี Demand และ Population จำนวนมาก
-
Q: จากการที่ Thailand จะเป็น Regional Data Hub ภายในปี 2570 ผู้บริหารมี Analysis เกี่ยวกับ Market Demand และ Supply Dynamics อย่างไร?
A: Mr. Alex Loh กล่าวว่า Data Center ที่เพิ่มขึ้นจะสร้าง Employment Opportunities, GDP และ Demand ทั้งภายในและภายนอกประเทศ จะดึงดูด Foreign Direct Investment (FDI) และทำให้ Thailand เป็น Business Data Hub สำหรับ ASEAN
-
Q: (เกี่ยวกับการราคาหุ้น) ราคาหุ้นของบริษัทร่วง คาดว่าเกิดจากกองทุน LTF ที่ถือหุ้นบริษัทค่อนข้างเยอะใช่หรือไม่?
A: ราคาหุ้นของบริษัท ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 5.3 บาท (จาก 8 บาทเมื่อปีที่แล้ว) สาเหตุหลักคือภาวะตลาดหุ้นไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง การเทขายของกองทุน LTF มีผลกระทบบ้าง แต่ภาพรวมส่วนใหญ่เป็นไปตามภาวะตลาด
-
Q: ช่วยอธิบายเพิ่มเติมว่าปี 2567 เทียบกับ 2566 ทำไมถึงเติบโตเล็กน้อยทั้งที่การเติบโตใช้ข้อมูลสูงครับ?
A: เนื่องจากปี 2566 มี One-time Gain จากการขาย Associate หากเปรียบเทียบการดำเนินงานปกติ บริษัทเติบโตขึ้นประมาณ 5% ซึ่งยังถือว่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง
-
Q: Kapex ปี 2568 เป็นอย่างไร?
A: ปี 2567 บริษัทใช้ Capex ประมาณ 30% ของ Revenue (600 ล้านบาท) ปี 2568 คาดว่าจะลดลงเหลือ 20-25% ของ Revenue การใช้ Capex ขึ้นอยู่กับ Opportunities และ Strategic Factors
-
Q: บริษัทคิดว่าการจะผ่านเฟสการลงทุนหนักๆแล้วหรือยังครับ?
A: การลงทุนของบริษัทมีทั้งส่วนที่เป็น Strategic และส่วนที่ต้องใช้จ่ายทุกปี การลงทุนเชิงกลยุทธ์จะพิจารณาจาก Timing, Demand และ Customer Request บริษัทได้ลงทุนจำนวนมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อสร้าง Network ใหม่ การลงทุนในอนาคตจะขึ้นอยู่กับ Opportunities เป็นหลัก
โดยสรุปแล้ว Symphony Communication (SYMC) ยังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโตในยุคดิจิทัล โดยเน้นการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการควบคุมต้นทุนและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว บริษัทเชื่อมั่นว่า Thailand จะเป็นศูนย์กลางข้อมูลระดับภูมิภาค และ SYMC จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเติบโตนี้