บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
สรุป Oppday KCG Corporation ปี 2024: ทิศทางและโอกาสทางธุรกิจ
P/E 9.22 YIELD 5.13 ราคา 8.00 (0.00%)
สรุป Oppday KCG Corporation ปี 2024: ทิศทางและโอกาสทางธุรกิจ
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
- ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ดีของ KCG สามารถปิด All Time High ทั้งในส่วนของ Top Line และ Bottom Line
- ในปี 2024 มี New High อีกครั้งในส่วนของ Bottom Line และ Top Line
- กำไรขั้นต้นปรับปรุงดีขึ้น จาก 30% ในปี 2023 เป็น 30.9% ในปี 2024
- สามารถลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร (SG&A) ได้ จาก 24.1% ในปี 2023 เหลือ 23.9%
- ไม่มีเงินกู้ระยะยาว เหลือแต่เงินกู้ระยะสั้น และมีการลดเงินกู้ระยะสั้นลง
- ในปี 2024 เงินกู้คงเหลือ 1,523 ล้านบาท ต่ำกว่าปี 2023 ที่ 1,837 ล้านบาท
- ได้รับการประเมิน ESG Rating จากตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เกรด 1A
ปี 2024 ถือเป็นปีที่ KCG Corporation ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ทั้งในด้านรายได้และกำไร ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การลดต้นทุน และการได้รับการประเมินด้าน ESG ในระดับที่ดี
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):
- เน้นขยายตลาดชีสสำหรับผู้ที่ชื่นชอบชีส
- ร่วมมือกับลูกค้าหลักในการสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ
- ขยายส่วนของเครื่องดื่มมากขึ้น
- มุ่งเน้นผู้บริโภควัยรุ่นที่ใส่ใจสุขภาพสำหรับสินค้าบิสกิต
- สร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ Allowrie และ Imperial ในระดับภูมิภาคอาเซียน
- รับจ้างผลิตสินค้า OEM ในตลาด Non-ASEAN เพื่อเติมเต็ม Capacity
บริษัทมองเห็นโอกาสในการเติบโตในตลาดชีส เบเกอรี่ และบิสกิต โดยมีแผนที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยเน้นตลาดอาเซียนและตลาด Non-ASEAN
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):
ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วส่งผลกระทบต่อ Gross Profit Margin (GPM)
ความเสี่ยงหลักที่บริษัทกำลังเผชิญคือ ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกำไรขั้นต้น บริษัทจึงมีแผนที่จะบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบจากความเสี่ยงนี้
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):
- ทำ Demand Supply Planning ให้แม่นยำมากขึ้น
- เพิ่ม Production Efficiency
- Product Utilization ให้สูงขึ้น
- บริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ
- ลดค่าใช้จ่าย SG&A โดยใช้ KCG Logistic Park และ Solar Cell
บริษัทมีแผนที่จะแก้ไขปัญหาต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น โดยการปรับปรุงกระบวนการวางแผนการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้กำลังการผลิต และการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในระยะยาว
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):
- คาดการณ์ยอดขายปี 2025 จะเติบโตในระดับ Mid to High Single Digit
- เน้นการเติบโตแบบ Organic Growth ผ่าน NPD, E-Commerce, และ Export
- ทำ OEM กับ Partner และ M&A/JV
- ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน
- มุ่งเน้นการทำ Sustainable Supply Chain และ ESG
บริษัทคาดการณ์ว่ายอดขายในปี 2025 จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนที่จะเน้นการเติบโตแบบ Organic Growth และการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และมุ่งเน้นการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [เริ่ม Q&A นาทีที่ 42:02]
- แนวโน้มวัตถุดิบใน Q1-Q2 ปี 2568
- ราคาวัตถุดิบมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นใน Q4 ปีที่แล้ว
- Q1 ปีนี้ยังคงใกล้เคียงกับ Q4 ปีที่แล้ว
- Q2 เริ่มทรงตัวและลดลงบ้าง แต่ยังไม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
- มีระบบการสั่งซื้อที่สามารถทราบข้อมูลล่วงหน้า และซื้อ Stock ล่วงหน้าเมื่อราคาถูก
- ซื้อ Spot ระหว่างทางเพื่อเฉลี่ยต้นทุน
- เป้าหมายการลดค่าใช้จ่าย SG&A ในปี 2568
- ตั้งเป้าลด 0.2-0.3%
- ยอดขายให้ NSL ลดลงหรือไม่
- NSL ยังคงเป็น Top 5 ของลูกค้า
- Category Dairy ที่ขายให้ NSL ยังเติบโตแบบ Double Digit
- แนวโน้มการจ่ายปันผลระหว่างกาลในปี 2568
- ยังไม่มีนโยบาย แต่ยังอยู่ในระหว่างพิจารณา
- โอกาส M&A ในปีนี้
- มีการคุยกันอยู่ 1-2 รายในธุรกิจกลางน้ำ
- มีธุรกิจใกล้ปลายน้ำอีก 1 ราย
- ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
- แผน OEM Partnership
- มีแผนทำทั้ง 3 Category (บิสกิต, FBI, Dairy)
- มีคุยกับ Partner ในต่างประเทศ
- Capacity ของ Partner เต็ม จึงสนใจให้ KCG ผลิตให้
- อยู่ในช่วงส่งตัวอย่าง
- คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้
- การใช้ประโยชน์จากการยกเลิกภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์นมจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
- ภาษีนำเข้าส่วนใหญ่เป็น 0% แล้ว
- สินค้าที่เหลือ 3 ตัว (นมผง, นมพร้อมดื่ม, วิปปิ้งครีม) ยังติดเรื่องโควต้า
- มีการพูดคุยกับ Principal ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
- สินค้าที่ไม่ใช่กลุ่มหลัก (นมและชีส) มีการเติบโตหรือหดตัวในกลุ่มลูกค้าใด
- Food and Bakery Ingredient เติบโต
- Ready Meal, Ready to Eat, Ready to Use เติบโต
- เน้นหนักไปทาง Frozen Product
- แนวทางการจัดกลุ่มสินค้า
- แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก (บิสกิต, FBI, Dairy)
- แต่ละ Category มีแบรนด์หลัก แบรนด์รอง และ Fighting Brand
- แบ่งตาม Positioning ของ Product แต่ละตัว
- แบ่งกลุ่ม Product Hero เพื่อให้ Sales ขายได้ง่ายขึ้น
- การสนับสนุนสินค้าให้ After You หรือ หมีเนย
- มีการสนับสนุนให้ทั้งสองราย
- รายได้ Quarter to Date เป็นอย่างไร
- เติบโตแบบ Double Digit เกินคาด
- Performance ของ Top Line ดีมาก
- B2B มีลูกค้าประมาณกี่ราย
- มีประมาณ 3,000 ราย
- ยอดขายตั้งแต่หลักแสนถึงหลักร้อยล้าน
- ลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นรูปธรรมในปี 2568 หรือไม่
- พยายามหาประเทศใหม่ๆ
- พยายามขายให้ครบ Channel (B2B และ B2C)
- ปีที่ผ่านมาเปิดตลาดใหม่ที่บรูไน
- มาเลเซียเป็นตลาดที่มี Potential มาก
- มีการคัดสรรลูกค้าภายในเอง โดยหา Key Person ในแต่ละประเทศ
- เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดลดลงมาก จะมีผลกับการจ่ายปันผลหรือไม่
- ปี 2566 Reserve เงินจาก IPO เพื่อลงทุนต่อ
- พยายาม Minimize Cash on Hand เพื่อลดเงินกู้ระยะสั้น
- มีวงเงิน Short Term Facility เหลืออยู่มาก
- ไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง
- ต้องการให้ KCG Educate ผู้บริโภคให้เข้าใจความเป็นเนยแท้มากขึ้น
- จะ Comment ให้ฝ่ายการตลาด
- มีทั้งเนยแท้และเนยผสม
- Packaging คล้ายกันมาก อาจทำให้สับสน
- มีโครงการปรับปรุง Packaging ให้ชัดเจนขึ้น
- แนวโน้มธุรกิจเบเกอรี่ในอีก 3 ปีข้างหน้า
- เติบโตสูงขึ้นต่อเนื่อง
- ปี 2566 มีมูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านบาท
- คาดว่าจะเติบโต 7-8% ต่อปี
- การท่องเที่ยวฟื้นตัว
- คู่แข่งที่ต้องกังวล
- ไม่กังวล เพราะแข่งขันมาตลอด
- มี Distribution ที่กว้างกว่าทุกแบรนด์
- มี Cold Chain ของตัวเอง
- Supply Cold Chain ได้ทั่วประเทศ
- ยอดขายที่ขายให้ NSL คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของยอดขายรวม
- บอกเป็นรายตัวไม่ได้
- NSL เป็น Top 5 ของลูกค้า
- Top 5 ทั้งหมดคิดเป็นประมาณ 30% ของยอดขายรวม
- ความมั่นใจในการรักษาระดับ Gross Profit Margin
- มีความมั่นใจ
- พยายามปรับปรุงการบริหารจัดการภายใน, Sourcing, R&D
- พัฒนาครบทุกด้าน
- รักษา GP ไม่ให้ลดลง
- การนำเข้าเต้าหู้เข้ามาขาย
- เป็นสินค้า Frozen นำเข้าจากมาเลเซีย
- เป็น Ready to Cook
- ใช้ในชาบู, เป็น Surimi, เหมือนลูกชิ้นปลา
- สมมุติว่าต้นทุนวัตถุดิบเท่ากับปีที่แล้ว จะเพิ่ม Margin ได้กี่เปอร์เซ็นต์
- ประมาณ 0.5-0.6%
- มาจาก SKU Rationalization ประมาณ 0.3%
- มาจาก Production Efficiency และ Utilize Capacity อีกประมาณ 0.3%
- มีสินค้าอะไรที่เข้าไปขายใน 7-Eleven เพิ่มขึ้นอีกบ้าง
- จะมีสินค้า Cheese Snack เข้าไปใน 7-Eleven และ Modern Trade
- ติดตามรอชมเร็วๆ นี้
สรุปโดยรวม KCG Corporation ยังคงมีทิศทางการเติบโตที่ดี แม้จะมีความท้าทายจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น บริษัทมีแผนการที่ชัดเจนในการบริหารจัดการความเสี่ยง ขยายโอกาสทางธุรกิจ และปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น