บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
SPI กำไรทรุดหนัก! ไตรมาส 2/68 กำไรสุทธิลดฮวบ 74.9%
P/E 13.06 YIELD 0.63 ราคา 42.50 (0.00%)
ไฮไลท์สำคัญ: กำไรสุทธิ SPI ดิ่งลงเหวในไตรมาส 2/68 เหตุรายได้ปันผลและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง
บมจ. สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 กำไรสุทธิลดลงอย่างน่าตกใจถึง 1,152 ล้านบาท หรือ 74.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากรายได้เงินปันผลรับที่ลดลงถึง 586 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าที่ลดลง 395 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีผลขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงินอื่นเพิ่มขึ้น 176 ล้านบาท
สถานการณ์เศรษฐกิจ: เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังส่อแววชะลอตัว กดดันผลงาน SPI
แม้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกจะมีการขยายตัวที่ดีจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และการเร่งส่งออกไปยังสหรัฐฯ แต่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะชะลอตัวลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในภูมิภาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SMEs ลูกจ้าง และผู้ประกอบอาชีพอิสระ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวในระดับต่ำจากความเชื่อมั่นและแนวโน้มรายได้ที่ชะลอลง ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าของ SPI โดยตรง
ผลกระทบต่อ SPI: รายได้ปันผลและส่วนแบ่งกำไรลดลง ฉุดกำไรสุทธิ
ปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งกำไรสุทธิของ SPI ในไตรมาส 2/68 ได้แก่:
- รายได้เงินปันผลรับลดลง 586 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้รายได้เงินปันผลจากเงินลงทุนมีความแตกต่างของระยะเวลาในการรับรู้
- ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าลดลง 395 ล้านบาท เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้า
- ขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ทางการเงินอื่นเพิ่มขึ้น 176 ล้านบาท เนื่องจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน
- กำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น 126 ล้านบาท สอดคล้องกับปริมาณการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น
ภาพรวมฐานะการเงิน: สินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หนี้สินทรงตัว
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 สินทรัพย์รวมของ SPI เพิ่มขึ้น 631 ล้านบาท หรือ 0.9% เนื่องจากการขยายการลงทุนในธุรกิจต่างๆ หนี้สินรวมเพิ่มขึ้น 11 ล้านบาท หรือ 0.1% และส่วนของผู้ถือหุ้นรวมเพิ่มขึ้น 620 ล้านบาท หรือ 1.2% ซึ่งเป็นผลมาจากกำไรจากการดำเนินงานในระหว่างงวด อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.35 เท่า แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ ในระดับหนึ่ง