บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
SALEE (สาลี่อุตสาหกรรม) เจาะลึกผลประกอบการ Q1/2568 พร้อมเปิดแผนลงทุนอนาคต
P/E 32.69 YIELD 3.43 ราคา 0.35 (0.00%)
SALEE (สาลี่อุตสาหกรรม) เจาะลึกผลประกอบการ Q1/2568 พร้อมเปิดแผนลงทุนอนาคต
สวัสดีท่านนักลงทุนและผู้ถือหุ้นทุกท่าน วันนี้เป็นโอกาสดีที่บริษัทสาลี่อุตสาหกรรมจำกัด มหาชน ได้มาออก Opportunity Day สำหรับไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 ผมสุพจน์ สุนทรินทร์ กรรมการบริหารและเลขานุการบริษัท ขออนุญาตเล่าภาพรวมธุรกิจของบริษัทให้ทุกท่านทราบ
บริษัทสาลี่อุตสาหกรรมเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนพลาสติกคุณภาพสูง ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2536 ประมาณ 30 กว่าปีแล้ว ธุรกิจหลักมี 2 แผนกคือ
- Injection Molding หรือการฉีดพลาสติก
- Vacuum Forming หรือการขึ้นรูปพลาสติก
ปัจจุบันมีพนักงานประมาณ 300 กว่าคน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI ตั้งแต่เมษายนปี 2548
ธุรกิจของบริษัทมีตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยมีบริษัทแม่ในกลุ่มที่ทำเคมีภัณฑ์ และมีบริษัทในกลุ่มที่ทำ Masterbatch เพื่อให้เม็ดพลาสติกมีสีต่างๆ ตามที่ลูกค้าต้องการ นอกจากนี้ยังมีบริษัทลูกชื่อ บริษัท สาลี่ พริ้นติ้ง จำกัด (มหาชน) ที่ทำฉลากสินค้า Label Printing ซึ่งจะช่วยสนับสนุนธุรกิจของบริษัทให้เป็น One Stop Shop สำหรับลูกค้า
บริษัทสาลี่อุตสาหกรรมตั้งอยู่ที่ปทุมธานี คลองหลวง คลอง 4 มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 80 ไร่ แต่ใช้ในการก่อสร้างโรงงานไปประมาณ 30 ไร่ ทำให้ยังมีพื้นที่เหลือสำหรับขยายกิจการได้อีก นอกจากนี้ยังมีบริษัทลูกคือ บริษัท สาลี่ พริ้นติ้ง จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่เดียวกัน
บริษัทแม่ชื่อบริษัท T.V. Interchem ทำทางด้านเคมี คือ Import และ distribute สินค้าในประเทศไทย มีเคมีหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่เคมีอาหารสัตว์ เครื่องสำอาง หรือเคมีที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมต่างๆ สาลี่อุตสาหกรรมทำกระบวนการฉีดพลาสติกและขึ้นรูปพลาสติกเป็นหลัก และมีบริษัทสาลี่คัลเลอร์ ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ประมาณ 7% ในตลาดหลักทรัพย์ ทำพวกเม็ดสีที่นำมาผสมกับกระบวนการฉีดหรือขึ้นรูป ให้ชิ้นงานเป็นสีต่างๆ ได้ นอกจากนี้ยังมีบริษัทลูกชื่อ สาลี่ พริ้นติ้ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งสาลี่อุตสาหกรรมถือหุ้นอยู่ประมาณ 65% จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เช่นเดียวกัน และยังมีบริษัทนอกตลาดอีกบริษัทชื่อ บริษัท เพชรสยาม ประเทศไทย ผลิตสินค้าทางด้านของใช้ในบ้านที่เป็นพลาสติกต่างๆ
เพชรสยามประเทศไทยเองก็มีบริษัทลูกชื่อ มงกุฎแก้วประเทศไทย ทำชุดสังฆทานต่างๆ ส่งเข้าพวก Modern Trade เช่นเดียวกับเพชรสยามประเทศไทย
บริษัทมีแผนกฉีดพลาสติกมีเครื่องฉีดอยู่ประมาณ 86 เครื่อง ตั้งแต่ 18 ตันถึง 850 ตัน ซึ่งอยู่ในห้องแอร์คอน กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะ OEM คือรับจ้างผลิต และอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้ง Automotive ชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หรือของใช้ในครัวเรือน พวกกระติกน้ำต่างๆ โดยส่วนใหญ่ลูกค้าจะผลิตเพื่อใช้ประกอบและส่งออกอีกทีหนึ่ง
ส่วนทางด้านขึ้นรูปพลาสติก จะผลิตอยู่ในห้อง Clean Room ลักษณะสินค้าก็จะคล้ายๆ กับถาดใส่อาหารที่เห็นในซุปเปอร์มาร์เก็ต แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของสาลี่อุตสาหกรรมจะเป็นชิ้นส่วนทางด้านยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นลักษณะถาดใสๆ หรือเป็นสีดำแล้วแต่วัตถุดิบที่ลูกค้าต้องการ ผ่านกระบวนการขึ้นรูปโดยใช้การดูดด้วยสุญญากาศให้ขึ้นรูปตามแบบแม่พิมพ์ที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ยังมีอีกแผนกที่เพิ่งตั้งขึ้นมาคือ ทำกล่อง Corrugated Plastic Container เพื่อใช้แทนกล่องกระดาษ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ที่เป็นบริษัทข้ามชาติใหญ่ๆ จะใช้กล่องเหล่านี้ในการใส่สินค้าต่างๆ เพราะจะแข็งแรงกว่า ตัววัตถุดิบจะเป็นลักษณะเหมือนกับตัวแผ่น PP Board ที่เด็กนักเรียนเอามาใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ แต่ของบริษัทจะผ่านกระบวนการเสริมความแข็งแรงเข้ามุมต่างๆ สามารถรับน้ำหนักได้ถึง 100 กิโลกรัม ตัวกล่องนี้จะมีความแข็งแรงและสามารถนำมาใช้แทนกล่องกระดาษเพื่อหมุนเวียนใช้ได้หลายๆ ครั้ง ช่วยลดต้นทุนในการใช้ Packaging สำหรับบริษัทต่างๆ
ในส่วนของแผนกแม่พิมพ์ จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า โดยบางลูกค้านำแม่พิมพ์มาให้ แต่หากแม่พิมพ์มีปัญหาหรือต้อง Modify ก็สามารถปรับปรุงให้ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ รวมทั้งตัวแม่พิมพ์ใหม่ๆ ที่ลูกค้ามีแต่ Design หรือมีแต่แบบมาให้ ก็สามารถผลิตแม่พิมพ์ให้ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ
ในเรื่องของคุณภาพ บริษัทมีทั้ง ISO 9001 Version 2015, ISO 14001 เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และ IATF 16949 ที่เกี่ยวกับชิ้นส่วนยานยนต์ และมีทางด้านอุตสาหกรรมอาหารพวก GMP ด้วย ระบบภายในของบริษัทใช้ SAP ซึ่งเป็นระบบที่เชื่อถือได้และช่วยในเรื่องข้อมูลให้กับการตัดสินใจของผู้บริหารได้อย่างทันท่วงที
นอกจากนี้จะขอพูดถึงสาลี่ พริ้นติ้ง บริษัทลูก ที่ถือหุ้นอยู่ 65% ทำพวกตัวฉลากสินค้า ทั้งที่เป็นฉลากที่มีกาว หรือที่เป็นพลาสติก หรือเป็นกระดาษ หรือเป็นลักษณะที่เป็น Shrink Sleeve กลุ่มสินค้าของสาลี่ พริ้นติ้งเองก็จะอยู่ในกลุ่ม Consumer Product ต่างๆ ลูกค้าก็จะเป็นบริษัทข้ามชาติใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นพวก P&G, Johnson & Johnson พวกนี้ ก็จะเป็นสินค้าอุปโภค พวกแชมพู เครื่องสำอางต่างๆ ทำตัวฉลากที่ติดกับขวดที่บรรจุภัณฑ์ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นที่ใช้ในการอุปโภคบริโภค
ส่วนทางด้านเพชรสยามประเทศไทย ทางสาลี่อุตสาหกรรมถือหุ้นอยู่ประมาณ 75.5% จะผลิตพลาสติกเหมือนกันแต่จะไม่ใช่ OEM เหมือนตัวสาลี่อุตสาหกรรม จะมีสินค้าของตัวเองและจำหน่ายผ่าน Modern Trade ต่างๆ สินค้าก็ได้แก่พวกกล่องพลาสติก ตะกร้าพลาสติก หรือพวกชั้นพลาสติกต่างๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นของที่คิดว่าทุกคนก็จะมีใช้ในบ้านของตัวเอง เพชรสยามเองก็ผ่านจำหน่าย ส่วนใหญ่ก็ผ่านพวก Modern Trade ต่างๆ ไม่ว่า Big C, Lotus, Makro, ไทยวัสดุ, HomePro รวมทั้งมีส่งออกด้วยบางส่วน ส่วนใหญ่ก็ส่งออกไปที่ออสเตรเลียกับที่อังกฤษ
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
สินทรัพย์รวมของบริษัทมีอยู่ 1,762 ล้านบาท โดยมาจากหนี้สินรวมอยู่ 238 ล้านบาท และเป็นส่วนของ Equity ของบริษัทเอง 1,525 ล้านบาท DE Ratio เราก็อยู่ที่ประมาณ 0.16 เท่า ซึ่งก็ค่อนข้างต่ำ งบการเงินของบริษัทถือว่ามีสถานะการเงินค่อนข้างมั่นคง ถ้าดูย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 2565 จนถึงไตรมาสแรกของปีนี้ DE Ratio เราก็อยู่ประมาณ 0.1 เท่า เพราะฉะนั้นบริษัทมี Room ในการขยายกิจการหรือกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อเพิ่มหนี้ในการขยายธุรกิจได้อีกพอสมควร และในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน สถานะการเงินก็ค่อนข้างแข็งแรง
ไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ มีรายได้รวมของกลุ่มบริษัทอยู่ที่ 354 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 10.38 ล้านบาท ซึ่งถ้าเทียบกับปีที่แล้วรายได้เพิ่มขึ้น ถ้าเทียบเป็นเฉลี่ยไตรมาส และกำไรสุทธิก็ดีกว่าทั้งปีของปีที่แล้ว ถ้าเทียบย้อนกลับไป 3 ปีก่อน รายได้ตอนปี 2565 จะเยอะเพราะมีงานประมูลภาครัฐเข้ามาด้วย แต่รายได้ปกติปีนึงจะอยู่สักประมาณ 1,300 ล้านบาท ในปีนี้ก็คิดว่ารายได้เมื่อเทียบกับปีที่แล้วก็น่าจะเติบโตได้อยู่
ผลประกอบการที่ดีขึ้นส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของต้นทุนขาย ถ้าดูตัวต้นทุนขายเมื่อเทียบกับปีก่อนที่อยู่ที่ 80% ปีนี้ Cost of Sales อยู่ที่ 75% สาเหตุที่ต้นทุนขายต่ำลง เพราะมีการใช้กำลังการผลิตได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตัวบริษัทลูกที่ทำธุรกิจพิมพ์ฉลากสินค้า ทำให้ต้นทุนขายดีขึ้น ส่วน Selling Admin เมื่อเทียบกับยอดขายก็อยู่ที่ 21% ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับอัตราเปอร์เซ็นต์ปีที่แล้ว คือ 21% เท่ากัน
ถ้าเทียบไตรมาส 1 ปีนี้กับปีที่แล้ว รายได้ 354 ล้านก็โตจากปีที่แล้วนิดหน่อย เพราะปีที่แล้วอยู่ที่ 351 ล้าน ส่วนกำไรอยู่ที่ 10.38 ปีที่แล้วอยู่ที่ 4.10 ล้าน ก็เติบโตขึ้นมา 100 กว่าเปอร์เซ็นต์ ส่วนตัว Gross Margin ก็ดีขึ้น จากปีที่แล้วอยู่ที่ 23% ปีนี้อยู่ที่ 25% ส่วนหนึ่งคือใช้กำลังการผลิตของบริษัทลูกได้ดีขึ้น รวมทั้งตัวอำนาจต่อรองในเรื่องของราคาวัตถุดิบต่างๆ ที่หลังจากโควิดแล้วตัว Supply ก็เริ่มนิ่ง โรงงานต่างๆ กลับมาผลิตได้เต็มที่ ทำให้ตัวต้นทุนขายบริหารได้ดีขึ้น
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):
ไตรมาสที่ 2 บริษัทพยายามขยายตัวสินค้าไปในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตได้ เพราะบางอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวก็หันไปในอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ เช่นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า หรือไปกับบริษัทที่เข้ามาขยายฐานลงทุนในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากประเทศจีน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมทางด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะว่าปัจจุบันเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ขยายฐานมาอยู่ในเมืองไทยเยอะ ไม่ว่าพวกตู้เย็น แอร์ เครื่องซักผ้าต่างๆ โดยจะไปเจาะในกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ที่ขยายฐานการผลิตอยู่ โดยเฉพาะพวกที่ได้รับ BOI ต่างๆ
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):
ในไตรมาสที่ 1 ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออก เช่นอุตสาหกรรมทางด้านชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ก็ยังไม่เติบโตมากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัวอยู่ รวมทั้งตัวอุตสาหกรรมบางอย่างของบ้านเราก็มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างตัวธุรกิจ เช่นธุรกิจยานยนต์ก็เปลี่ยนจากธุรกิจรถที่ใช้น้ำมันเป็นรถไฟฟ้า ซึ่งก็คงต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนฐานการผลิตต่างๆ หรือในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ด้วย
กำลังซื้อสำหรับตลาดในประเทศก็ลดลง เนื่องจากตัวสินค้าทางด้านการเกษตรราคา มีการชะลอตัวหรือลดต่ำลง ทำให้กำลังซื้อในประเทศลดลง ในเรื่องของราคา Raw Material ในไตรมาสที่ 1 ก็ค่อนข้างทรงตัว เนื่องจากตัว Supply ต่างๆ ก็กลับมาเป็นปกติ ก็อยู่ในแนวโน้มทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย
ในไตรมาสที่ 2 ธุรกิจที่เกี่ยวกับทางด้านส่งออก ก็คือทางด้าน Automotive อิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ยังได้รับผลกระทบ กดดันจากตัวภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และรวมทั้งข่าวในเรื่องของมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ ก็ทำให้เกิดความไม่แน่นอนและเกิดการชะลอตัวบางส่วน ซึ่งจริงๆ ธุรกิจของตัวกลุ่มบริษัทไม่ได้มีส่งออกเยอะ ส่งออกน่าจะไม่ถึง 5% แต่ว่าตัวบริษัทแม่สาลี่เองเป็นธุรกิจลักษณะ Indirect Export เพราะว่ากลุ่มลูกค้าอยู่ในประเทศแต่นำสินค้าไปประกอบเพื่อส่งออกในพวกอุตสาหกรรม Automotive อิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะฉะนั้นถ้าส่งออกชะลอตัวก็อาจจะมีผลกระทบกับตัวธุรกิจของบริษัทแม่
ในไตรมาสที่ 2 บริษัทพยายามขยายตัวสินค้าไปในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตได้ เพราะว่าบางอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวก็หันไปในอุตสาหกรรมที่เติบโตได้พวก เช่นอุตสาหกรรมทางด้านรถยนต์ไฟฟ้า หรือว่าไปกับบริษัทที่เข้ามาขยายฐานลงทุนในประเทศไทยซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมาจากประเทศจีนโดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมทางด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ
ปัจจุบันเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ขยายฐานมาอยู่ในเมืองไทยเยอะ ไม่ว่าพวกตู้เย็น แอร์ เครื่องซักผ้าต่างๆ ก็จะไปเจาะในกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ที่ขยายฐานการผลิตอยู่ โดยเฉพาะพวกที่ได้รับ BOI ต่างๆ ในไตรมาสที่ 2 ในเรื่องของตัวการบริโภคในประเทศ ก็ยังได้รับผลกระทบชะลอตัวอยู่ เนื่องจากตัวภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยเราที่กำลังซื้อก็ลดลง และรวมทั้งราคา สินค้าทางด้านเกษตรก็ไม่ค่อยดีในปีนี้ก็เลยทำให้ไตรมาส 2 นี้ การบริโภคในประเทศก็ชะลอตัว ตัวกลุ่มบริษัทก็พยายามขยายฐานลูกค้า ถ้ากลุ่มลูกค้าไหนที่ชะลอตัวบริโภคน้อยลงก็พยายามไปหากลุ่มที่ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี หรือยังสามารถขยายกิจการได้อยู่
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):
ในไตรมาสที่ 2 บริษัทพยายามขยายตัวสินค้าไปในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตได้ เพราะบางอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวก็หันไปในอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า หรือไปกับบริษัทที่เข้ามาขยายฐานลงทุนในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากประเทศจีน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมทางด้านเครื่องใช้ไฟฟ้า
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):
ตัวในไตรมาสที่ 1 สำหรับตัวของลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออก เช่น อุตสาหกรรมทางด้านชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ก็ยังไม่เติบโตมากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัวอยู่ รวมทั้งตัวอุตสาหกรรมบางอย่างของบ้านเราก็มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างตัวธุรกิจ อย่างเช่นธุรกิจยานยนต์ก็เปลี่ยนจากธุรกิจรถที่ใช้น้ำมันเป็นรถไฟฟ้า ซึ่งก็คงต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยนฐานการผลิตต่างๆ หรือในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ด้วย
บริษัทตั้งเป้าเติบโตปีนี้อยู่ที่ 10% ก็ไม่ได้วางเป้าเติบโตไว้เยอะ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกก็มีการชะลอตัวรวมทั้งยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเรื่องภาษีที่ทางสหรัฐก็มีการเก็บภาษีเพิ่มด้วย ตัวนี้ค่อนข้างที่จะดูและ Conservative ในเรื่องของการตัดสินใจต่างๆ
บริษัทได้รับผลกระทบอย่างไรบ้างจากนโยบาย ภาษีเสรีของสหรัฐอเมริกา นโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา ตอนนี้ยังค่อนข้างไม่แน่นอน แต่ว่าจะกระทบเฉพาะในส่วนของบริษัทแม่ที่เป็นงานรับจ้างผลิตกับบริษัทที่ส่งออกไปต่างประเทศ งานของสาลี่อุตสาหกรรมก็จะเป็นลักษณะ Indirect Export แต่ว่าสินค้าอย่างถ้าเป็นตัว บริษัทลูกที่ขายสินค้าพลาสติกผ่าน Modern Trade ก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะว่าเป็นตลาดในประเทศ ส่วนของทางด้านสาลี่ พริ้นติ้ง ก็ยังไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก เพราะว่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นสินค้าจำเป็น พวก Consumer Product ต่างๆ อันนั้นก็ยังไม่ได้รับผลกระทบมาก ก็ถามว่าได้รับผลกระทบชะลอตัวก็มีบ้างในบางอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับทางด้านการส่งออก แต่เนื่องจากเราส่งออกโดยตรงน้อย อย่างที่เรียนตอนต้นว่าเราส่งออกโดยตรงไม่ถึง 5% เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่เราเป็นลักษณะ Indirect Export ของตัวบริษัทแม่
การลงทุนในปีนี้ เนื่องจากมีความไม่แน่นอนทั้งในเรื่องของภาษี เราลงทุนค่อนข้าง Conservative เราก็จะลงทุนเฉพาะในส่วนของการลงทุนเครื่องจักรที่คิดว่าลงไปแล้วก็ช่วยในเรื่องของประสิทธิภาพการผลิตได้ดีขึ้น หรือช่วยทำให้ตัว Capacity เราเพิ่มได้มากขึ้น ในส่วนของขยายงานใหญ่ๆ เราคงต้องดูให้ชัดเจนอีกทีหนึ่ง ในเรื่องเครื่องจักรเราก็มีการปรับปรุงหรือขยายเครื่องจักรเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ว่าตัวขยายโรงงานหรือว่าสร้างโรงงานใหม่ยังไม่ได้ตัดสินใจ มีแผนอยู่ไหม ก็มีการพิจารณาอยู่ แต่ว่ายังไม่ได้มีการตัดสินใจที่แน่นอน
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [เริ่ม Q&A Session นาทีที่ 28:15 ]
มีคำถามจากทางบ้านที่ส่งมา เกี่ยวกับบริษัทลูก ก็จะตอบในส่วนที่สามารถตอบได้ เพราะว่าผู้บริหารของทางด้านสาลี่ พริ้นติ้ง กับทางด้านสาลี่อุตสาหกรรมจะเป็นคนละชุดกัน แต่ว่าก็มีบางข้อมูลที่สามารถที่จะตอบได้
คำถามของสาลี่ พริ้นติ้ง ปกติแล้วจะรับรู้ Order ล่วงหน้ากี่เดือน ลักษณะของสาลี่ พริ้นติ้ง ถ้าลูกค้ารายใหญ่ๆ จะเป็นลักษณะประมูลงาน ประมูลทีนึงก็จะอยู่ได้สัก 2-3 ปี และก่อนที่จะหมดล่วงหน้าสัก 5-6 เดือนก็จะรู้ก่อนว่าจะมีการประมูลใหม่ แต่ถ้าเป็นลูกค้ารายกลางๆ เล็กๆ ส่วนใหญ่ก็จะมีสัญญาล่วงหน้ามาจนกระทั่งกว่าจะหมดตัวอายุของตัวโมเดลนะ แต่ว่าจะไม่ได้ส่ง Order ล่วงหน้ามานาน ส่วนใหญ่ก็จะประมาณ 2-3 เดือน
ถามว่าการสั่งวัตถุดิบชนิดต่างๆ มาสต็อกเป็นสินค้าคงเหลือ คาดการณ์สั่งล่วงหน้าหรือรอมี Order แล้วสั่ง ส่วนใหญ่แล้วสาลี่ พริ้นติ้ง เองก็จะพอรู้ Order ล่วงหน้าอยู่แล้ว แต่ว่าจะไม่ได้สั่งเข้ามาเยอะ ก็จะสั่งเข้ามาเตรียมผลิตสำหรับสินค้าที่จะส่งในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า โดยปกติ Order ที่ได้รับมาผลิต ได้มาจากเซลล์เข้าไปเสนอหรือลูกค้านำหาเอง มีทั้งสองแบบ ถ้าเป็นบางลูกค้าที่อยู่ใน List เพราะว่าสาลี่ พริ้นติ้ง สินค้าจะเป็นสินค้าคุณภาพสูง เป็นฉลากสินค้าที่ไม่ได้ผลิตโดยทั่วไป คนผลิตได้ก็จะมีบางส่วนที่ผลิตได้เท่านั้น ก็จะเป็นลักษณะเชิญให้ไปประมูลงานแล้วก็จะชิ้นงานมา
มีคำถามว่าปี 2567 กำลังการผลิตใช้ อยู่ที่ 77% อยากสอบถามว่ามีสาเหตุจากอะไรและก็มี คอขวดในกระบวนการหรือ Order ยังไม่เต็มมีโอกาสจะทำเพิ่มได้ไหม ในตัวธุรกิจลักษณะโรงงานผลิต เราไม่สามารถใช้กำลังผลิตได้เต็ม 100% เพราะว่าเวลาลูกค้าเรียกงาน เขาจะไม่ได้เรียกเรียงให้ตามที่เราอยากจะผลิต เช่น ผลิตงานนี้เสร็จแล้วเราจะผลิตงาน A เสร็จจะต่อด้วย B ต่อด้วย C บางทีงาน B กับ A ก็สั่งให้ส่งพร้อมกัน เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ก็จะใช้กำลังผลิตได้อย่างมากก็อาจจะสัก 90% เพราะฉะนั้นตัวถ้ากำลังการผลิตเราถึง 90 90 กว่าเปอร์เซ็นต์แล้วเราก็ต้องมาดูถึงการที่จะบริหารจัดการเพิ่มเครื่องจักรหรือว่าขยายตัวโรงงาน เพราะฉะนั้นตัว 77% ถามว่ายังขยายได้ไหมก็ยังได้อยู่แต่ว่าก็อาจจะได้ไม่ถึงเต็ม 100 อาจจะได้ถึงสักประมาณ 90%
มีคำถามว่ามีแผนพัฒนาขยายโรงงานหรือสั่งอุปกรณ์การผลิตเพิ่มหรือไม่ในปีนี้ ในเรื่องเครื่องจักรเราก็มีการปรับปรุงหรือขยายเครื่องจักรเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ว่าตัวขยายโรงงานหรือว่าสร้างโรงงานใหม่ยังไม่ได้ตัดสินใจ มีแผนอยู่ไหม ก็มีการพิจารณาอยู่ แต่ว่ายังไม่ได้มีการตัดสินใจที่แน่นอน
มีคำถามว่ามีโอกาสจะกลับมาปันผลหรือไม่ แล้วบริษัทเริ่มมีกำไรแต่เนื่องจากยังมีขาดทุนสะสม อันนี้เป็นของ SLP มีแผนจัดการอย่างไรสามารถลดทุนจดทะเบียนเพื่อให้สามารถปันผลได้หรือไม่ ในตัวสาลี่ พริ้นติ้ง ยังมีขาดทุนสะสมอย่างที่ผู้ถือหุ้นถามมา แต่ว่าก็เริ่มมีกำไรต่อเนื่องมา 2-3 ปีแล้ว ในเรื่องที่จะจ่ายปันผลโดยการลดทุนนี้คงอยู่ที่ตัวกรรมการที่จะพิจารณา ในการที่มีขาดทุนสะสมมันก็มีประโยชน์อย่างหนึ่งก็คือสามารถใช้ในลดภาษีได้ เพราะว่าเราสามารถใช้ขาดทุนสะสมมาในการลดภาษีจากกำไรที่เกิดขึ้นในตอนหลังๆ นี้ ถามว่าจะมีการลดทุนขึ้นอยู่กับบอร์ดพิจารณายัง อันนี้ยังไม่ ไม่ ไม่ทราบในเรื่องของการพิจารณาในเรื่องนี้ ก็อยู่ที่คณะกรรมการพิจารณาอีกทีหนึ่ง
สามารถนักลงทุนสัมพันธ์ของ SLP ติดต่อได้ยังไง สามารถถามจากสาลี่ได้หรือไม่ ของตัวสาลี่ พริ้นติ้ง สามารถที่จะโทรเข้าไปเบอร์โทรศัพท์ที่เบอร์กลางของตัวสาลี่ พริ้นติ้ง แล้วขอต่อทางด้านนักลงทุนสัมพันธ์ได้เลย ทางนั้นเขาก็จะสามารถโอนสายไปให้กับทางด้านนักลงทุนเพื่อตอบคำถามให้กับนักลงทุนได้
สัดส่วนรายได้แต่ละธุรกิจของกลุ่มบริษัทเป็นอย่างไร สัดส่วนรายได้ถ้าเทียบแล้ว ตัวธุรกิจพิมพ์ฉลากสินค้าจะเยอะสุด ประมาณสัก 45% ของรายได้กลุ่มบริษัท ธุรกิจพลาสติกที่ทำขายผ่าน Modern Trade ต่างๆ ก็จะอยู่สักประมาณ 30% ธุรกิจของบริษัทแม่ที่เป็นลักษณะรับจ้างผลิตชิ้นส่วนพลาสติกก็อยู่ที่ประมาณ 25%
การใช้กำลังการผลิตของแต่ละธุรกิจของกลุ่มบริษัท ธุรกิจของเราถ้าใช้กำลังการผลิต ของตัวบริษัทแม่เองใช้กำลังการผลิตอยู่ใน น่าจะอยู่สักประมาณ 60% ธุรกิจผลิตชิ้นส่วน สินค้าพลาสติกที่ขายผ่าน Modern Trade ก็อยู่ที่ประมาณ 70% ธุรกิจพิมพ์ฉลากสินค้าก็อยู่ประมาณที่แถวๆ 80%
วางเป้าหมายการเติบโตไว้อย่างไร วางเป้าเติบโตปีนี้อยู่ที่ 10% ไม่ได้วางเป้าเติบโตไว้เยอะเนื่องจากว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกก็มีการชะลอตัวรวมทั้งยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเรื่องภาษีที่ทางสหรัฐก็มีการเก็บภาษีเพิ่มด้วย ตัวนี้ค่อนข้างที่จะดูและ Conservative ในเรื่องของการตัดสินใจต่างๆ
ได้รับผลกระทบอย่างไรบ้างจากนโยบายภาษีเสรีของสหรัฐอเมริกา นโยบายภาษีของสหรัฐอเมริกา ตอนนี้ยังค่อนข้างไม่แน่นอน แต่ว่าจะกระทบเฉพาะในส่วนของบริษัทแม่ที่เป็นงานรับจ้างผลิตกับบริษัทที่ส่งออกไปต่างประเทศ งานของสาลี่อุตสาหกรรมก็จะเป็นลักษณะ Indirect Export แต่ว่าสินค้าอย่างถ้าเป็นตัวบริษัทลูกที่ขายสินค้าพลาสติกผ่าน Modern Trade ก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะว่าเป็นตลาดในประเทศ ส่วนของทางด้านสาลี่ พริ้นติ้ง ก็ยังไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก เพราะว่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นสินค้าจำเป็น พวก Consumer Product ต่างๆ อันนั้นก็ยังไม่ได้รับผลกระทบมาก ก็ถามว่าได้รับผลกระทบชะลอตัวก็มีบ้างในบางอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับทางด้านการส่งออก แต่เนื่องจากเราส่งออกโดยตรงน้อย อย่างที่เรียนตอนต้นว่าเราส่งออกโดยตรงไม่ถึง 5% เท่านั้นเอง ส่วนใหญ่เราเป็นลักษณะ Indirect Export ของตัวบริษัทแม่
แผนการลงทุนในปีนี้ การลงทุนในปีนี้ เราก็อย่างที่เรียนว่าตอนนี้เนื่องจากมีความไม่แน่นอนทั้งในเรื่องของภาษีอะไรต่างๆ ด้วย เราลงทุนเราก็จะค่อนข้าง Conservative เราก็จะลงเฉพาะในส่วนของการลงทุนเครื่องจักร ที่เราคิดว่าลงไปแล้วก็ช่วยในเรื่องของประสิทธิภาพการผลิตได้ดีขึ้น หรือช่วยทำให้ตัว Capacity เราเพิ่มได้มากขึ้น ในส่วนของขยายงานใหญ่ๆ เราคงต้องดูให้ชัดเจนอีกทีหนึ่ง
ภาวะการแข่งขันในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ถ้าเป็นบางอุตสาหกรรมอย่างที่เรียนตอนต้นว่าถ้าเป็นอุตสาหกรรมที่พวกส่งออก หรือ Indirect Export ในพวก Automotive หรือว่าพวกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ก็ต้องยอมรับว่าการแข่งขันก็จะรุนแรงขึ้น เพราะว่าตลาดมันลดลง สิ่งที่เราทำก็คือเราก็พยายามไปหาในอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตได้ดี อย่างที่ได้เรียนว่าก็มีกลุ่มนักลงทุนที่มาลงทุนในเมืองไทยเยอะขึ้นจากประเทศจีนต่างๆ ก็เข้ามาลงทุนเราก็พยายามขยายไป หรือว่าพวกสินค้าที่เริ่มมาลงทุนในประเทศไทยพวก อย่างเช่นเป็นรถยนต์ EV ต่างๆ เราก็จะไปจับกลุ่มลูกค้า นี้เพราะว่าถ้าไปดูกลุ่มอุตสาหกรรมที่ขออนุญาต BOI ก็ยังเติบโตได้อยู่ แสดงว่าบางอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากโครงสร้างอุตสาหกรรมการผลิตที่เปลี่ยนไป แต่บางอุตสาหกรรม ก็ยังมีการลงทุนใหม่ๆ เกิดตัวได้ดี เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายาม Switch ตัวกลุ่มลูกค้าเรา จากเดิมในธุรกิจที่ชะลอตัวไปกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตได้อยู่
Quarter 2 นี้สำหรับสินค้ากลุ่มผู้บริโภคในประเทศกำลังซื้อลดลงหรือไม่ กระทบยอดขายกลุ่มบริษัทหรือไม่ อย่างไร ก็เริ่มมีชะลอตัวบ้าง จาก ตัวกำลังซื้อในประเทศที่ ที่ตอนต้นได้เรียนว่ากระทบจากพวก สินค้าเกษตรที่ราคาตกต่ำ เราก็เริ่มเห็นการชะลอตัวของการซื้อในประเทศ แต่ว่าเนื่องจากขยายฐานลูกค้าของเราในประเทศ เราก็มีการขยายฐานด้วย เพราะฉะนั้นก็เลยทำให้ตัว ลูกค้าในประเทศเรา ถ้าดูตัวเม็ดเงินเราก็ไม่ ไม่ได้ลดลงมากนัก นะครับ เพราะว่าฐานลูกค้าเรากว้างขึ้นนั่นเอง แต่ว่าถ้าดูตัวลูกค้าเดิมอาจจะลดลง แต่ว่าเนื่องจากเรามีขา ลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาด้วยก็เลยทำให้ตัวฐาน ตัวรายได้ของประเทศเราก็ไม่ได้ชะลอตัวเท่าไหร่ ก็เรียกว่าทรงๆ ตัว
ปีนี้บริษัทมีแผนขยายการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตหรือขยายไปสินค้าใหม่บ้างหรือไม่ ในเรื่องการลงทุนเราก็ต้องค่อนข้างดูและทบทวนดีๆ เพราะว่ามันก็ยังมีเรื่องความไม่แน่นอนในเรื่องของภาษีต่างๆ ที่ ที่เราเห็นจากข่าวนะครับในภาษีทางสหรัฐที่จะเก็บต่างๆ เพราะฉะนั้นเราก็จะลงทุนกับสิ่งที่เราคิดว่าลงทุนแล้วสามารถที่จะลดต้นทุนในการผลิตเรา เช่น การลงทุนเครื่องจักรใหม่ๆ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และก็บางครั้งการลงทุนเครื่องจักรใหม่ก็สามารถขยายตัว Capacity เราได้ด้วย เพราะว่าพอมาแทนเครื่องจักรเก่าเนี่ย ในพื้นที่เท่าเดิมเนี่ยเอามาแทนเครื่องจักรเก่าแต่ว่าสามารถเพิ่มกำลังผลิตได้อีก 20-30% เพราะเครื่องจักรมันทันสมัยกว่าผลิตได้เร็วกว่า เราก็ดูในพวกนั้นมากกว่า แต่ขยายลงทุนใหญ่ๆ เลยสร้างโรงงานนี้ เราต้องอาจจะต้องพิจารณาอีกสักพักหนึ่งดูให้แน่นอนอีกนิดหนึ่ง
เรื่องราคาน้ำมันที่ลดลงจะมีผลให้ต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทลดลงหรือไม่ คาดว่า Gross Profit Margin ใน Quarter 2 จะสูงขึ้นหรือต่ำกว่าไตรมาส ก่อนหรือไม่ ในเรื่องของตัวราคาน้ำมันก็มีผลให้ลดลงบ้าง เพราะว่าตัวสินค้าวัตถุดิบส่วนใหญ่ของเรา ในกลุ่มบริษัทที่ใช้เยอะๆ ก็จะเป็น พวกพลาสติกที่เกี่ยวกับทางด้านเคมี เพราะฉะนั้นมันก็เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน แต่ว่ามันก็ไม่ได้ลดลงเท่ากับราคาน้ำมันที่ลดลง งั้นก็อยู่ในแนวโน้มที่ทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อยที่ผ่านมา แต่ว่าก็ไม่ได้ลดลงมาก แต่ว่าส่วนที่เราจะทำให้ Gross Profit Margin ดีขึ้นเนี่ยมันน่าจะเป็นเรื่องของการใช้กำลังการผลิต ถ้าเราสามารถขยายยอดขายได้ดีขึ้นเนี่ย ตัว Fixed Cost มันจะแชร์กันได้มากขึ้น งั้นตัว Gross Margin เราก็ ก็จะดีขึ้น ถ้าพูดถึงตัวราคาวัตถุดิบเองก็เรียกว่าอยู่ในภาวะที่ทรงตัว หรือลดลงเล็กน้อย
บริษัทไม่มีหนี้ DE Ratio ต่ำ ผู้บริหารมีแผนจะซื้อหุ้นคืนหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่ ไม่ได้มีแผนพิจารณา ใน ในเรื่องนี้ ในเรื่องของแผนการซื้อหุ้นคืน
จุด Quarter 2 Utilization Rate ของแต่ละกลุ่มเป็นกี่เปอร์เซ็นต์เทียบกับ Quarter 1 ปี 68 อัตราใช้ผลิตสูงขึ้นหรือไม่ สูงขึ้นเป็นบางอันครับ ถ้าตัวของตัวธุรกิจพิมพ์ฉลากสูงขึ้นเล็กน้อย ถ้าเป็นธุรกิจทางด้านขายสินค้าผ่าน Modern Trade สินค้าพลาสติกผ่าน Modern Trade ของบริษัทลูกอันนี้ก็ทรงๆ ตัว ส่วนทางด้านของบริษัทแม่เองก็มีการชะลอตัวลงเล็กน้อย
ปีนี้ตั้งเป้ารายได้อย่างไรและ จะมีการเติบโตหรือไม่จะเติบโตมาจากส่วนไหน เราตั้งเป้าปีนี้เติบโตไว้ อยู่ที่ประมาณ 10% ส่วนที่เรามองก็คือมาจากตัวธุรกิจของบริษัทลูก ก็คือทางด้านพิมพ์ฉลากสินค้า กับทางด้านที่ขายสินค้าผ่าน Modern Trade นะครับ เพราะว่า ใน หลังจาก โควิดมาก็การบริโภคในประเทศก็กลับมาดีขึ้นถึงแม้ว่าจะกระทบจากภาวะเศรษฐกิจบ้าง แต่ว่าเมื่อเทียบกับช่วงตอนโควิดก็ถือว่ากลับมาได้ค่อนข้างดี รวมทั้งเรามีการขยายฐานไปกับกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ด้วย งั้นเราก็ยังคิดว่าในส่วนของตัวธุรกิจพิมพ์ฉลากสินค้ากับผลิตสินค้าพลาสติกที่ขายผ่าน Modern Trade ก็ยังสามารถเติบโตได้อยู่
บริษัทมี ROIC และ WACC เท่าไหร่ ROIC เรายังค่อนข้างน้อยนะครับเป็นเลขตัวเดียว ก็อันนี้ก็เป็นอยู่ที่บริษัทก็ ก็พิจารณาอยู่ว่าใน ในเรื่องของการลงทุนใหม่ๆ เราก็พยายามจะหาโปรเจคอะไรที่ลงทุนแล้วสามารถที่จะดึงตัว ROI ของกลุ่มบริษัทขึ้นไปได้ เพราะ ก็ต้องยอมรับว่าตัวกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทางบริษัททำอยู่ ก็เป็นอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างมีการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง เพราะฉะนั้น ROI ก็จะไม่ได้สูงมากนัก แต่ว่าเราก็มีดีที่จะตรงที่ว่าฐานะการเงินเราค่อนข้างมั่นคง เพราะฉะนั้นถ้ามีโอกาสหรือโปรเจคอะไรเข้ามาแล้วมี ROI ที่ดีๆ เราก็สามารถที่จะไปลงทุนแล้วก็จะดึงตัว ROI ของทั้งกลุ่มบริษัทขึ้นมาได้
ใน 1-3 ปีนี้มีความกังวลอะไรบ้าง ใน ในความกังวล เราคิดว่า ในเรื่องภายในเราทั้งเรื่องตัวฐานะการเงินเรื่องอะไร ก็ถือว่าเป็นจุดแข็งก็ถือว่าอาจจะโชคดีว่าที่ผ่านมาเราค่อนข้างระมัดระวังในการลงทุน ก็เลยทำให้ตัวหนี้สินเราไม่ได้สูงนะครับ ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนมันก็จะเป็นตัวจุดแข็งของเราเลย เพราะว่าในขณะที่บางคนอาจจะต้อง ในธุรกิจที่เขาอาจจะอาจจะต้องมาลดกำลังการผลิตลดคนอะไรอย่างเงี้ยของเรายังไม่ได้กระทบขนาดนั้น นะครับ เพราะหนี้สินเราก็ค่อนข้างน้อย แต่เรามองในเรื่องของการเติบโตว่า ต้องหาโอกาสที่จะสามารถที่จะผลักดันธุรกิจของกลุ่มบริษัทให้โตไปได้ ถามว่า 1-3 ปี กังวลอะไรก็ในเรื่องของตัวอุตสาหกรรม โครงสร้างอุตสาหกรรมในบ้านเรามากกว่าว่าโครงสร้างอุตสาหกรรมในบ้านเราต้องสามารถที่จะ หาจุดแข็งแล้วไปแข่งขันในตลาดโลกได้เพราะต้องยอมรับว่าของสาลี่อุตสาหกรรมเองเนี่ยเราไม่ได้ส่งออกโดยตรง เราก็อิงกับอุตสาหกรรมที่ส่งออกในประเทศไทยแล้วส่งออกไป งั้นถ้าอุตสาหกรรมในประเทศไทยสามารถเติบโตได้ดี เราก็จะสามารถเติบโตตามอุตสาหกรรมเหล่านั้นไปได้ งั้นก็อยู่ที่โครงสร้างอุตสาหกรรมในบ้านเราที่จะเติบโต แต่ว่าก็จะตัวเลขที่เราเห็นทางด้านการลง ทุน BOI ต่างๆ ที่เข้ามาลงทุนก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นนะครับ เพราะว่าจาก การลงทุน BOI ที่เราเห็นสมัยก่อนปีนึงจะประมาณสัก 2-300,000 ล้าน แต่ว่าตอนหลังปีล่าสุดนี้ก็เห็นมาลงทุนถึง 7-800,000 ล้าน ก็เรียกว่ามีเงินลงทุนจากภายนอกเข้ามาลงทุนเยอะมากขึ้น เราก็คิดว่าเราก็จะขยับขยายไปหาฐานกลุ่มลูกค้าในพวกอุตสาหกรรมเหล่านั้นนะครับ เพื่อให้มาเป็นลูกค้าของเราแล้วก็เราก็จะสามารถโตกับกลุ่มลูกค้าเหล่านั้นได้
ในส่วนของมงกุฎแก้ว รายได้มี Season Effect หรือไม่ เทศกาลศาสนาเป็นพีค ใดเป็นพีค ของมงกุฎแก้วเป็นพวกขายเกี่ยวกับชุดสังฆทานผ่า Modern Trade อันนี้มี Season อยู่แล้วนะครับ เพราะว่า จะเป็นในช่วงที่จะพีคสุดของปีก็จะเป็นช่วงกลางๆ ปี แถวเดือนมิถุนายน กรกฎาคม ที่เป็นช่วงเข้าพรรษา นะครับ อันนี้ก็จะมีการ ขายเกี่ยวกับทางด้านชุดสังฆทานเยอะ เพราะเป็นช่วงที่ คนจะเข้าไป เข้าวัดทำบุญเยอะ กับอีกช่วงหนึ่งก็เป็นช่วงตอน สงกรานต์ กับปีใหม่ แต่ที่ สุดก็คือช่วงกลางปีตอน มิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม ช่วงที่เป็นวันเข้าพรรษาช่วงนี้นะครับที่จะเยอะสุด
ก็มีขอบคุณว่ามาออก ชื่นชมบริษัทที่มาออก Oppday สม่ำเสมอ ขอบคุณท่านผู้ถือหุ้นและนักลงทุนเช่นเดียวกัน บริษัทก็พยายามจะออกมาสม่ำเสมออธิบาย บางไตรมาสอาจจะผลประกอบการไม่ดีบ้างก็จะมาอธิบายและชี้แจงให้กับผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนได้ทราบ สำหรับวันนี้คำถามก็หมดแล้ว หวังว่าไตรมาสต่อๆ ไปก็จะมาพบกันนักลงทุน ท่านผู้ถือหุ้นของบริษัทต่อไป และก็จะสร้างผลตอบแทนหรือว่า ผลประกอบการให้ดีขึ้นให้กับนักลงทุนทุกท่าน สำหรับวันนี้ก็ขอขอบคุณนะครับสวัสดีครับ
**สรุป:** SALEE เผยผลประกอบการ Q1/2568 เติบโตจากปีก่อนหน้า แม้เศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว บริษัทวางเป้าเติบโตปีนี้ 10% โดยเน้นขยายฐานลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตได้ดี พร้อมบริหารจัดการต้นทุนการผลิตและรักษาสภาพคล่องทางการเงินอย่างเข้มงวด