บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
สรุป Oppday หุ้น BJC ปี 2568 ไตรมาส 1: โอกาสและความท้าทายในยุคเศรษฐกิจผันผวน
P/E 14.15 YIELD 4.61 ราคา 15.40 (0.00%)
สรุป Oppday หุ้น BJC ปี 2568 ไตรมาส 1: โอกาสและความท้าทายในยุคเศรษฐกิจผันผวน
สวัสดีนักลงทุนทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่งาน Opportunity Day ไตรมาส 1 ปี 2568 ของบริษัท เบอร์ลี่ ยุเกอร์ จำกัด มหาชน (BJC) ในวันนี้เราได้รับเกียรติจากคุณอัญชลี ลิมป์เรียงทรัพย์ Chief Financial Officer และคุณจินดาทิพย์ สิทธิมุนาการ Head of Investor Relation and Strategy พร้อมด้วยคุณแอน วิชชุดา Head of Investor Relation ที่จะมาให้ข้อมูลและตอบคำถาม
ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา BJC ยังคงรักษาโมเมนตัมในเรื่องของผลการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของความสามารถในการทำกำไรที่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี จุดที่ทำให้ยังคงสร้างผลลัพธ์ที่แข็งแกร่งได้คือการออก New Product อย่างสม่ำเสมอ การโฟกัสไปในกลุ่มสินค้าที่มีมาร์จิ้นที่ดี และการบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยอดขายอยู่ที่ 38,500 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน แต่อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อยู่ที่ 20.4% หรือดีขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 41 Basis Point
โครงการ Profit Improvement สามารถทำ Cost Saving ในไตรมาสนี้ได้อยู่ที่ 238 ล้านบาท ซึ่งช่วยผลักดันให้ Recurring EBIT หรือกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีอยู่ที่ 8.4% หรือดีขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 16 Basis Point ต้นทุนทางการเงินโดยเฉลี่ย (Average Cost of Debt) ลดลงมาอยู่ที่ 3.25% ลดลงจากไตรมาสก่อนที่อยู่ที่ 33% เป็นผลจากการทำ Refinancing
โครงการ Profit Improvement ดำเนินการและลดต้นทุนไปได้ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา 238 ล้านบาท ตัวอย่างโครงการที่ได้ดำเนินการไป:
- Optimize การใช้เยื่อใยยาวในการผลิตทิชชู่ม้วน
- เปลี่ยนเชื้อเพลิงจาก LPG เป็นไฟฟ้า
- ยกระดับประสิทธิภาพกระบวนการผลิตเครื่องคัดขนาดมันฝรั่ง
- รักษาคุณภาพของวัตถุดิบ
- ลดของเสียในกระบวนการผลิต
- ปรับปรุงการทำ Top Frame โดยการซื้อคืนถาดกระดาษที่ใช้แล้วจากลูกค้า
BJC เดินหน้าในเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ BJC และ Big C อย่างต่อเนื่อง และได้รับรางวัลจากหลายเวทีที่สำคัญ เช่น BJC Big C ได้รับการจัดอันดับอยู่ใน Top 31 จาก 55 บริษัทที่คนอยากร่วมงานด้วยมากที่สุดในประเทศไทย และ Big C ได้รับรางวัลอันดับ 1 ในรางวัล Gen Z Top Brand Awards 2025 ในหมวดของ Hypermarket และ Supermarket
นอกจากรางวัลในด้านของภาพลักษณ์องค์กรและความนิยมของผู้บริโภคแล้ว BJC ยังได้รับการยอมรับในหลายด้านที่สะท้อนถึงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมและการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เช่น แบรนด์ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง "อิจิบัง" ได้รับรางวัลจากสถานทูตอเมริกาในเวียดนาม และรางวัล Climate Action Leader จาก AFMA เอเชียภายใต้องค์การสหประชาชาติ
ผลการดำเนินงานของไตรมาส 1: ยอดขายปิดอยู่ที่ 38,500 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20.4% ดีขึ้นจากปีก่อน 41 Basis Point กำไรสุทธิที่ไม่รวมรายการพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวอยู่ที่ 1,267 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 16.6%
ผลการดำเนินงานของแต่ละกลุ่มสินค้าและบริการ:
- กลุ่มบรรจุภัณฑ์: ยอดขายลดลงจากปีก่อน 10% (ทั้งกลุ่มแก้วและกลุ่มกระป๋อง) แต่กำไรสุทธิเติบโตขึ้น 6%
- กลุ่มอุปโภคบริโภค: ยอดขายเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2% กำไรสุทธิเติบโตขึ้น 14%
- กลุ่มเวชภัณฑ์และเทคนิค: ยอดขายเติบโตขึ้นเล็กน้อย 0.1% กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 23%
- กลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่: ยอดขายเพิ่มขึ้น 1.8% แต่กำไรสุทธิลดลง 6%
Business Performance แต่ละสายธุรกิจ:
- Packaging Supply Chain: แก้ว (51%) และ กระป๋อง (49%) คาดว่าไตรมาสถัดไปจะสามารถ Sustain ตัว Margin และ Drive ยอดขายผ่านการออกสินค้าใหม่ๆ (เป้า 120 ล้านบาท) และบุกตลาดใหม่ไปต่างประเทศ
- ธุรกิจกระป๋อง: มองว่าไตรมาส 1 bottom out แล้ว แนวโน้มไตรมาส 2 เป็นต้นไปจะกลับมาได้จาก
- Packaging Migration
- ขยายไป New Category (Local Beverage)
- ยอดขายกลุ่มกาแฟกลับมา
- Consumer Supply Chain:
- Non-Food (Tissue Paper, Personal Care) 45%
- ธุรกิจ Food (Snack, Beverage) 25%
- International (เวียดนาม) 25%
- Logistic 5%
- Healthcare & Technical Supply Chain: เน้น Drive Profit โดยการออก NPD และ Divest ธุรกิจ Non-Core, Non-Profitable และปีนี้เน้น AI Integrated Medical Device
กลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Retail Supply Chain): รายงานยอดขาย 25,483 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% YOY, Same Store Sale Growth 2.1% (3.4% หากตัดผลกระทบวัน Leap Year) GP Margin 18.1% ลดลงเล็กน้อย 18 bps
Big C มีกลยุทธ์ 5 ด้านในการขับเคลื่อนรายได้และรักษาอัตราการทำกำไร:
- ขยายสาขา (Big Format 1 สาขา, Big C Mini Format 12 สาขา) และปรับปรุงสาขา (17 สาขา)
- สัดส่วนของสินค้าที่ขาย (Fresh Food เติบโตดี)
- เพิ่มสัดส่วนสินค้า Private Label (14.3%)
- สัดส่วนของ Out of Store Sales (13.1%)
- เพิ่มขึ้นของฐานสมาชิก Big Point (21.2 ล้านคน)
ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [เริ่มในนาทีที่ 42:20]
ผลกระทบจากการขึ้นภาษีของอเมริกา: น้อยมาก เพราะ Exposure ของบริษัทที่ขายไปที่อเมริกาไม่เยอะ อาจจะมีในส่วนของการขาย Snack บางส่วนแต่น้อยกว่า 0.1% ของยอดขายของ Total Consumer Supply Chain อาจจะมีผลกระทบทางอ้อมในภาพของเศรษฐกิจที่ Slow Down แต่ Big C เป็น Value Retailer คนอาจจะอยากซื้อสินค้าที่มัน Value for money มากขึ้น
แบ่งรายได้จากร้านค้าและนอกร้านค้า: Out of Store Sales ของ Big C อยู่ที่ประมาณ 13.1% (อีคอมเมิร์ซ, Call Chat Shop, B2B, โดนใจ, Delivery Services)
เป้าการเติบโตปี 2568:
- ยอดขาย: Mid Single Digit
- อัตรากำไรขั้นต้น: Improve ขึ้นจากปีก่อน 20-40 Basis Points
- Packaging: Low Single Digit Growth
- Consumer: Mid Single Digit Growth
- Healthcare & Tech: Mid to High Single Digit
- Modern Retail Supply Chain: Mid Single Digit
งบลงทุนปี 2568: 10,000-12,000 ล้านบาท (กลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ 39%, Packaging 37%, Consumer 17%)
สัดส่วนยอดขายเสื้อผ้า: 3-4% ของ Total Retail Sales ของ Modern Retail Supply Chain
Same Store Sale Growth (SSSG) โต 2.1% มากกว่า Total Sale 1.8%: ปี 2567 มีการปิดสาขา สุขาภิบาล 3, รามสิทธิ์, และลาดพร้าว 83
Fresh Food ที่ยอดขายเพิ่มขึ้น: เน้นออกสินค้าใหม่ในกลุ่ม RTE (Ready to Eat Food) และเบเกอรี่, นำ Margin ที่ได้มา Subsidy ในส่วนที่ทำ Price Match (เนื้อหมู, เนื้อไก่, ผัก, ผลไม้)
แผนการเปิดสาขาปี 2568: Big Format Store 7 สาขา (Hypermart 2, Supermarket 5), Big C Mini 200 สาขา, ร้านขายยาเพียว 9 สาขา, Asia Books 15 สาขา, ร้านกาแฟวาวี 5 สาขา, BJC ฮ่องกง 24 สาขา, Big C Mini กัมพูชา 3 สาขา
การปรับปรุงสาขาเพิ่มยอดขาย: เพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% ภายใน 1 ปีหลัง Renovate
Disposal Plan ของบริษัทอื่นอีกหรือไม่: อยู่ในช่วงศึกษา Divest ธุรกิจ Non-Core, Non-Profitable
เป้าหมาย SSSG ปี 2568: Low Single Positive Driver: Fresh Food, Drive Food
Occupancy Rate ปี 2568: เป้าหมาย 92%
แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2: Top-Line อาจจะไม่หวือหวามาก แต่ Margin น่าจะยัง Sustain Improvement ได้ เพราะราคา Raw Material ลงมาทั้ง Soda Ash, ค่าเหล็ก, Natural Gas, Hardwood Pulp, ปาล์ม ออยล์ รวมถึงมีคอร์สเซฟวิ่ง
มี Room ให้ลดคอร์สอีกหรือไม่: มี Room แน่นอน ปีนี้ตั้งเป้า Cost Saving 765 ล้านบาท ทำไปได้แล้ว 238 ล้านบาท
แผนปิดสาขา Retail ปี 2568: 3 สาขา (สาขาที่ไม่ทำกำไร)
หัวข้อที่ถามและคำตอบโดยผู้บริหาร
- ผลกระทบจากการขึ้นภาษีของอเมริกา
- แบ่งรายได้จากร้านค้าและนอกร้านค้า
- เป้าการเติบโตปี 2568
- งบลงทุนปี 2568
- สัดส่วนยอดขายเสื้อผ้า
- SSSG โต 2.1% มากกว่า Total Sale 1.8%
- Fresh Food ที่ยอดขายเพิ่มขึ้น
- แผนการเปิดสาขาปี 2568
- การปรับปรุงสาขาเพิ่มยอดขาย
- Disposal Plan ของบริษัทอื่นอีกหรือไม่
- เป้าหมาย SSSG ปี 2568
- Occupancy Rate ปี 2568
- แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2
- มี Room ให้ลดคอร์สอีกหรือไม่
- แผนปิดสาขา Retail ปี 2568
โดยสรุป BJC ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาการเติบโตและผลกำไร โดยให้ความสำคัญกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ๆ ในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับความท้าทายจากเศรษฐกิจที่ผันผวนและการแข่งขันที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม BJC มีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนและมีความพร้อมที่จะปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง