https://aio.panphol.com/assets/images/community/6708_bd8ac9.png

SCC มองอนาคตธุรกิจปี 2568: ท่ามกลางความท้าทาย สู่โอกาสการเติบโตที่ยั่งยืน

P/E 12.80 YIELD 2.72 ราคา 184.00 (0.00%)

SCC มองอนาคตธุรกิจปี 2568: ท่ามกลางความท้าทาย สู่โอกาสการเติบโตที่ยั่งยืน

สวัสดีครับ ผมวัชระ IR Leader ของ SCG วันนี้เป็นการประชุม Set Opportunity Day ของ SCG โดยมีคุณธรรมศักดิ์ CEO ของ SCG และคุณชญานิดา CFO ของ SCG มาร่วมเล่าและสรุปผลประกอบการของไตรมาสแรก

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา SCG ยังคงทำผลงานได้ตามเป้าหมายในทุกธุรกิจ โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้:

  1. EBITDA อยู่ที่ประมาณ 13,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าแข็งแกร่ง เนื่องจากไตรมาส 1 ไม่ใช่ช่วงที่มีเงินปันผลมากนัก
  2. EBITDA from Operations เพิ่มขึ้น 22% อยู่ที่ 11,752 ล้านบาท
  3. กำไรสุทธิในไตรมาส 1 กลับมาอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม หากไม่รวม Long Son ที่เวียดนาม กำไรจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธุรกิจหลัก (Core Operations) ยังคงแข็งแกร่ง แต่มีประเด็นเรื่อง Long Son ที่เวียดนามที่ยังคงเป็นปัญหาอยู่ เนื่องจากธุรกิจเคมิคอลยังอยู่ในช่วงขาดทุน

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

SCG มองเห็นโอกาสในการปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2 โดยเฉพาะ Margin ในอุตสาหกรรมที่เริ่มขยับตัวดีขึ้น บริษัทมีกลยุทธ์และแผนการดำเนินการดังนี้:

  1. การลดต้นทุนและการปรับโครงสร้างธุรกิจ (Restructuring) ที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว จะช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น
  2. การรวม Corporation, การ Lean Process, และการเพิ่ม Efficiency ยังคงดำเนินต่อไป
  3. การปรับราคาปูนในเดือนมีนาคม จะส่งผลให้เห็นผลประกอบการที่ดีขึ้นในไตรมาส 2 อย่างเต็มที่

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

SCG ยังคงเผชิญกับความเสี่ยงและความท้าทายหลายด้าน:

  1. Industry Margin โดยรวมยังไม่ดีนัก
  2. ปัญหาใน Long Son ที่เวียดนามยังไม่คลี่คลาย
  3. สงครามการค้าและ Tariff ต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาค Southeast Asia
  4. การแข่งขันจากสินค้าจีนราคาถูกที่ยังคงมีอยู่

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

SCG มีแผนการแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบดังนี้:

  1. การลดต้นทุนและปรับโครงสร้างธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
  2. การแก้ปัญหาใน Long Son โดยการเพิ่ม Ethane และเร่งรัดโครงการที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามแผน
  3. การติดตามสถานการณ์สงครามการค้าและ Tariff อย่างใกล้ชิด และเตรียมแผนปรับตัวหากเกิดผลกระทบใน Southeast Asia
  4. การปรับปรุงต้นทุนและความสามารถในการแข่งขัน เพื่อรับมือกับการแข่งขันจากสินค้าจีน

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):

SCG มองว่าแนวโน้มในอนาคตจะเป็นดังนี้:

  1. ตลาดในประเทศไทยเติบโต 7% จากงาน Infrastructure ของภาครัฐ
  2. เวียดนามเติบโต 10% ซึ่งสูงกว่าไทย
  3. SCG จะเน้นการเติบโตในตลาด Southeast Asia โดยเฉพาะเวียดนามและอินโดนีเซีย
  4. SCG จะเดินหน้าพัฒนา Low Carbon Cement เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลก
  5. SCG จะใช้ Automation และ AI มากขึ้นเพื่อเพิ่ม Efficiency และลดต้นทุน

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): เริ่มต้นนาทีที่ 53:16

Q: โครงการ LSP ที่เวียดนามมีการเริ่มเปิดผลิตบางส่วนหรือไม่

A: ตอนนี้ยังไม่ได้กลับมาเริ่มเปิดการผลิต แต่ยังรักษาสภาพเครื่องจักรไว้ โครงการเพิ่มถัง Ethane ยังดำเนินการต่อไป คาดว่าจะมีข่าวเรื่องการตัดสินใจว่าจะกลับมาเดินเครื่องเมื่อไหร่เร็วๆ นี้

Q: หากโครงการ LSP ล่าช้า จะต้องมีการตั้งด้อยค่าหรือไม่

A: การด้อยค่าต้องดูทั้ง Cycle ไม่ใช่แค่ 2-3 ปี หาก Gap กลับมาดีขึ้น และมีโครงการปรับไปใช้ Ethane เรื่องการด้อยค่ายังไม่มีความจำเป็นต้องทำตอนนี้

Q: สอบถามตัวเลข ROIC เทียบกับ WACC

A: ปกติจะใช้ EBITDA on Investment ซึ่งคล้ายกับ ROIC ตัว Hurdle Rate อยู่ที่ประมาณ 12% ช่วงนี้การลงทุนต้องระมัดระวัง จึงต้องตั้งเป้าหมายสูงไว้ก่อน

Q: CapEx ของปีนี้คาดว่าจะเท่าไหร่ และเป้าหมายยอดขายปีนี้จะโต 3-5% หรือไม่

A: CapEx วางไว้ที่ 30,000 ล้านบาท แต่ตอนนี้ใช้ไป 6,100 ล้านบาท ยังระมัดระวังอยู่ เรื่องเป้าหมายการเติบโต ถ้า Long Son กลับมายอดขายจะโตแน่นอน แต่กำไรจาก Long Son อาจมองไปที่ Positive Cash Flow มากกว่า มี Uncertainty ค่อนข้างเยอะ แต่จะพยายามต่อไป

Q: มุมมองภาพรวมตลาดปิโตรเคมีในครึ่งหลังปีนี้

A: ไตรมาส 2 เห็น Margin ดีขึ้น Gap อยู่ที่ 360-390 ดีกว่า 310-320 เยอะ ทั้ง PE และ PP น้ำมันก็ลง ต้นทุนจึงลง ปิโตรเคมีเริ่มดีขึ้น แต่ยังไม่ถึงกับ Peak ปัจจัยเสี่ยงคือ กำลังการผลิตใหม่ๆ ที่จะเข้ามา แต่ก็มีความเสี่ยงเรื่อง Supply ที่จะถูกตัดเนื่องจากสงครามการค้า การ Forecast จึงยากมาก

Q: ความกังวลใดในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า และแผนรับมืออย่างไร

A: คงกังวลเรื่องสงครามการค้า Tariff ประเทศไทยจะโดน 36% หรือไม่ เราจะเหลือคนเดียวหรือไม่ จะเจรจาเมื่อไหร่ ต้องรับมือโดยการสร้างให้ตัวเองเข้มแข็ง ลด Debt เน้นต้นทุนที่ได้เปรียบ Supply Chain ที่ Lean ใช้เงินระมัดระวัง บริษัทใหญ่ๆ น่าจะโอเคเพราะเตรียมการมาอย่างรัดกุม สิ่งที่กังวลคือ SME ถ้า SME ของบ้านเราหายไปก็เป็นเรื่องที่น่ากังวล ต้องเร่งรับมือ ตอนนี้ให้ความสำคัญกับกระแสเงินสดและการบริหารหนี้

Q: ทิศทางผลงานในไตรมาส 2

A: น่าจะดีกว่าไตรมาส 1 มีปัจจัยบวกหลายเรื่อง Chemical Gap ก็ดีขึ้น ราคาปูนต่างๆ ก็ปรับตัวดีขึ้น Demand มาจาก Infrastructure Project ในเพื่อนบ้านก็ยังมา การปรับลดต้นทุนต่างๆ ก็จะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น ตรงนี้จึงเชื่อว่าไตรมาส 2 น่าจะดีขึ้น ไตรมาส 3-4 เป็นอะไรที่ต้องระมัดระวัง

โดยสรุป SCG ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการบริหารกระแสเงินสด ลดหนี้ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและโอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

หัวข้อที่ถามและคำตอบ: * LSP ที่เวียดนาม: สถานะปัจจุบันและการด้อยค่า * ROIC และเป้าหมายการเติบโต * แนวโน้มตลาดปิโตรเคมีครึ่งปีหลัง * ความกังวลและแผนรับมือในระยะยาว * ทิศทางผลงานไตรมาส 2

โพสต์ล่าสุด