บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
AMATAV สรุปผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 และแนวโน้มธุรกิจในเวียดนาม
P/E 9.25 YIELD 2.31 ราคา 2.16 (0.00%)
AMATAV สรุปผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 และแนวโน้มธุรกิจในเวียดนาม
สวัสดีครับนักลงทุนและผู้ถือหุ้นทุกท่าน วันนี้ทางอมตะ VN ขอมานำเสนอผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 พร้อมทั้งภาพรวมและแนวโน้มธุรกิจในเวียดนาม
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
GDP ของเวียดนามในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 อยู่ที่ 6.93% Consumer Price Index อยู่ที่ 3.22% และ Inflation อยู่ที่ 3.01% ซึ่งถือว่าเติบโตค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับปี 2560, 2564 และ 2566 โดยเศรษฐกิจเวียดนามมีการเติบโตสูงที่สุดในรอบ 5 ปีเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในไตรมาสที่ 1
- Sectors ที่เติบโตสูง: Industry (7.4%) และ Service (7.7%)
- ภาคการบริการมีส่วนแบ่ง 53.7% ของเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งเป็นผลมาจากเทศกาล Lunar New Year ที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้น
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):
การนำเข้าและส่งออกของเวียดนามในไตรมาสที่ 1 แสดงให้เห็นว่า US เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 (31.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ตามด้วยยุโรป (13.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และจีน (13.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ในด้านการนำเข้า จีนเป็นอันดับ 1 (36.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ตามด้วยเกาหลีใต้และอาเซียน
- มูลค่าการนำเข้าส่งออกรวมเติบโตมาตั้งแต่ปี 2554 และในปีล่าสุด (2567) อยู่ที่ 786 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยไตรมาส 1 ปีนี้อยู่ที่ 203 พันล้านเหรียญสหรัฐ (นำเข้า 100 พันล้านเหรียญสหรัฐ, ส่งออก 103 พันล้านเหรียญสหรัฐ)
- สินค้าส่งออกหลัก: Electronics, เครื่องจักร, รองเท้า, Textiles
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):
Foreign Direct Investment (FDI) ในไตรมาสที่ 1 อยู่ที่ 10.98 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 34.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้ว และ Implemented FDI อยู่ที่ 4.96 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7.2% โดยมีโครงการใหม่เกิดขึ้น 850 โครงการ (+11.5%)
- สัดส่วน FDI มาจากสิงคโปร์เป็นอันดับ 1 (3 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ตามด้วยเกาหลี, จีน, ญี่ปุ่น, และไต้หวัน
- การลงทุนส่วนใหญ่อยู่ที่ Bac Ninh, Ho Chi Minh, Hanoi, และ Dong Nai
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):
เวียดนามมีเป้าหมาย GDP growth ในปี 2568 ที่ 8% และสภาวะเศรษฐกิจที่ 500 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยการเติบโตในด้านการบริโภคของภาคเอกชนจะอยู่ที่ 12% ปัจจัยหลักที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตคือ:
- Government restructuring: ลดจำนวนจังหวัดเพื่อเพิ่ม efficiency ในการ process documents และ support การลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ
- ส่งเสริมการลงทุนในเรื่องของ Public Investment
- การเติบโตของ Real Estate จะช่วยดึงเศรษฐกิจของเวียดนาม
- ภาคการผลิตที่จะมาช่วย support เศรษฐกิจของเวียดนามให้สูงขึ้น
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):
Group shareholding structure: เพิ่มการลงทุน 25% ใน Amata B.Grimm Power Vietnam (ABPVN) เพื่อ focus ที่การลงทุนในเรื่อง Solar Rooftop และให้บริการลูกค้าในนิคม
ผลการดำเนินงานไตรมาส 1:
- รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์: 140 ล้านบาท (+28%) จากการขายที่ดินใน Long Thanh (2.16 แฮกตาร์)
- รายได้จากการให้บริการสาธารณูปโภคลดลง 26% เนื่องจากลูกค้าใน Amata City Halong ไม่ได้ fully operate production line
- รายได้จากการให้เช่าเติบโตเล็กน้อย (17%)
- รายได้รวมลดลงจาก 1,061 ล้านบาท เป็น 846 ล้านบาท (-20%) สาเหตุหลักมาจากการให้บริการสาธารณูปโภค
- กำไรขั้นต้นจากการขายที่ดิน: 47% (ปีที่แล้ว 25%) เนื่องจากราคาขายที่ดิน Long Thanh สูงกว่า Halong ประมาณ 1.2 เท่า
- Gross profit margin รวม: 14.1% (+3%)
- กำไรก่อนหักภาษีเงินได้และดอกเบี้ยลดลงจาก 73 ล้านบาท เป็น 42 ล้านบาท (-43%)
- กำไรสุทธิ: 5 ล้านบาท ลดลง 85% จากไตรมาส 1 ปี 2567
- รายได้รวมจากไตรมาส 1 ปีที่แล้วอยู่ที่ 1,103 ล้านบาท ส่วนปีนี้อยู่ที่ 863 ล้านบาท
- Gross profit margin จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 47%
- Rental ลดลงเล็กน้อยจาก 52% อยู่ที่ 46%
- Utility ลดลงจาก 9% อยู่ที่ 7%
- รายได้รวม: 863 ล้านบาท
- Operating income (EBIT): 42 ล้านบาท
- Net profit (หลังหักผู้มีส่วนได้เสียส่วนน้อย): 5 ล้านบาท
- Earning per share: 0.005 บาท
- Balance sheet: มูลค่าทรัพย์สินลดลงเล็กน้อยจาก 14,794 ล้านบาท เป็น 14,600 ล้านบาท
- รายการเปลี่ยนแปลงหลัก: Prepayment for land use right เพิ่มขึ้น และต้นทุนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ลดลง
- Liability: Working capital liability ลดลงจาก 3,400 ล้านบาท เป็น 3,548 ล้านบาท และหนี้สินจากสถาบันการเงินลดลงจาก 3,963 ล้านบาท เหลือ 3,691 ล้านบาท
- ส่วนของผู้ถือหุ้น: 6,196 ล้านบาท
- อัตราส่วนสภาพคล่อง: ลดลงจาก 1.3 อยู่ที่ 1.2
- อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน: เท่าเดิม (1.4)
- อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน: 0.6
- กระแสเงินสดต้นงวด: 528 ล้านบาท
- กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน: 354 ล้านบาท
- กระแสเงินสดจากการลงทุน: 204 ล้านบาท
- กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน: -284 ล้านบาท (ชำระคืนเงินกู้)
- กระแสเงินสดปลายงวด: 402 ล้านบาท
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [นาทีที่ 33:00]
ผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
Q: สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีศุลกากรจากการนำเข้าสินค้าเวียดนาม 46% สูงกว่าไทยที่ 36% กระทบความต้องการซื้อที่ดินในนิคม ทำให้ภาคธุรกิจชะลอตัว มองว่าหุ้นนิคมจะกระทบหรือไม่ บริษัทมีความเห็นอย่างไร มีกลยุทธ์และการรับมืออย่างไร หรือประเมินภาพรวมอย่างไร และได้รับผลกระทบอะไรบ้าง
A: มาตรการ reciprocal tariff มีผลกระทบต่อกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมในอาเซียน โดยเฉพาะไทยและเวียดนาม ลูกค้า existing ที่มีการผลิตและส่งออกสินค้าได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม ทางเวียดนามกำลังเจรจากับสหรัฐฯ อย่างรวดเร็ว
Q: ลูกค้าใหม่ที่กำลังตัดสินใจลงทุนได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง
A: ลูกค้าบางรายอาจต้องรอ wait and see ก่อนว่าผลสรุปของภาษีจะเป็นอย่างไร และเวียดนามยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับพวกเขาหรือไม่ หรืออาจจะสนใจย้ายมาที่ไทยแทน บางส่วนก็มีการชะลอการตัดสินใจ แต่ยังไม่มีการยกเลิกการตัดสินใจ
Q: อุตสาหกรรมไหนได้รับผลกระทบมากที่สุด
A: ส่วนใหญ่เกือบทุกอุตสาหกรรมน่าจะได้รับผลกระทบ เพราะเวียดนามได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก โดยส่งออก 31.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้า 4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้เวียดนามหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องโดน reciprocal tariff
Q: รัฐบาลเวียดนามมีมาตรการรับมืออย่างไร
A: รัฐบาลเวียดนามได้พูดคุยกับทางผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ โดยตรง และได้มีการ issue เรื่องภาษีเป็นตัวสำคัญในการเจรจา
ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน
Q: ในไตรมาส 1 ปี 2568 มีการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้กำไรสุทธิลดลง ช่วยอธิบายเพิ่มเติม มีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
A: ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนในปีนี้อยู่ที่ 15 ล้านบาท
รายได้สาธารณูปโภคลดลง
Q: เหตุใดรายได้สาธารณูปโภคลดลงค่อนข้างมาก เกิดจากสาเหตุใดเป็นพิเศษ
A: สาเหตุหลักมาจากลูกค้า Solar panel ไม่ได้เดินสายการผลิตเต็ม scale เนื่องจากโดนภาษีไปค่อนข้างเยอะ
แนวโน้มธุรกิจและเป้าหมาย
Q: แนวโน้มของบริษัทและประเทศเวียดนามในปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะในแง่ของเป้าหมายการขายที่ดิน และการฟื้นตัวของสาธารณูปโภค
A: เป้าหมายการขายที่ดินยังคงไว้เหมือนเดิมก่อน เพราะ reciprocal tariff เพิ่งมาหลังจากที่ประกาศเป้าหมายไปแล้ว จะขอรอดูผลหลังจาก 90 วัน ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะเอฟเฟคยังไม่เห็นมากใน Q1 แต่จะเห็นชัดเจนใน Q2-Q3
A: สาธารณูปโภคที่ลดลงใน Q1 จากผู้ผลิต Solar panel ได้มีการเสนอให้ลูกค้าเจ้าอื่น เนื่องจากมีโควต้าเหลืออยู่ คาดว่าจะชดเชยกลับมาคืนได้เท่ากับปริมาณเดิม
Q: ในไตรมาสที่ 1 บริษัทขายที่ดินได้เท่าไหร่และโอนที่ได้เท่าไหร่
A: ขายที่ดินของ Amata City Long Thanh ได้ 2.1 แฮกตาร์ และโอนภายในไตรมาสเดียวกัน
Q: ในปี 2568 บริษัทได้วางเป้าหมายรายได้รวมจะเติบโตเท่าไหร่ และจะมาจากส่วนไหนบ้าง
A: คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตขึ้น โดยมาจาก Land sale น่าจะเพิ่มจากปีที่แล้ว 10-20% และปีนี้จะมีส่วนของ Long Thanh เข้ามาช่วยด้วย ราคาขายที่ค่อนข้างสูงกว่าทางลอง นะครับ แล้วก็ ตัว margin ที่ มากกว่า เพราะฉะนั้นเนี่ยคิดว่า ตัวรายได้ของการขายที่ดินเนี่ย ก็น่าจะเติบโตขึ้น ส่วนสาธารณูปโภคใน ณ ตอนนี้ของ Q1 ที่ลดลงแล้ว เพราะว่าทางตัวผู้ผลิตที่ อ่า ทางลูกค้าที่ไม่ได้ใช้ ไม่ได้ใช้ในเต็ม เต็มโอเปอเรชั่นนะครับ เราก็ได้มีการ ไป ออฟเฟอร์ให้กับลูกค้า เจ้าอื่นๆ เนื่องจากว่าเรามี โควต้า ยังเหลืออยู่ เพราะฉะนั้นเนี่ย เราคิดว่าตัวเนี้ย เราจะสามารถ รับ ชดเชยกลับมาคืนได้ ในเท่ากับปริมาณเดินได้ครับ"
Q: บริษัท ยังคงเป้าหมายในปี 2568 จะมีการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมที่ประเทศเวียดนาม ที่ 100-110 เพิ่มขึ้นประมาณ 30-40% จาก 2567 ที่มียอดขายที่ดิน 75 หรือไม่ เพราะอะไร
A: เรายังขอคงไว้ อย่างเดิมก่อนนะครับเนื่องจากว่า ถ้าสมมุติ ตัว ไอ้ผลกระทบเรื่องภาษีเนี่ย แล้วเราเปลี่ยนเป้าเราเราอยากเราอยากเห็นผลกระทบที่แน่จริงก่อน แล้ว เราถึงจะ อ่า คุย เรื่อง เป้ากันอีกครั้งนึงครับ ไม่ งั้น เดี๋ยว ถ้าถ้าสมมุติว่าเรามีการ เปลี่ยนเป้าหมายเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเนี่ย เดี๋ยว กลัวว่าเดี๋ยวจะสร้างความสับสนขึ้นมา เพราะฉะนั้นตอนนี้เนี่ย อย่างที่แจ้งไปก็คือ อยากดูผลของ Q2 เป็นหลักก่อน แล้วก็ Q3 อาจจะดูด้วยนะครับซึ่ง ถึง ตอนนั้น ณ ช่วง กลางปี นะ ครับ การ ที่จะมารีไวซ์ ตัว เนี่ยผมว่ามันก็ยัง
สรุป: อมตะ VN ยังคงเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจในเวียดนาม โดยมุ่งเน้นที่การเพิ่มยอดขายที่ดินและการฟื้นตัวของรายได้สาธารณูปโภค พร้อมทั้งเฝ้าระวังและปรับตัวต่อปัจจัยเสี่ยงภายนอก เช่น มาตรการ reciprocal tariff ของสหรัฐฯ และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน