บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
SNC FORMER Oppday สรุปผลประกอบการ Q1/2568 เจาะลึกกลยุทธ์รับมือความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ
P/E 3.49 YIELD 0.00 ราคา 6.00 (0.00%)
SNC FORMER Oppday สรุปผลประกอบการ Q1/2568 เจาะลึกกลยุทธ์รับมือความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ
สวัสดีครับ ท่านนักลงทุนและผู้ถือหุ้นของบริษัท NC Former จำกัด มหาชน วันนี้ผมและคุณรัฐภูมิขอเป็นตัวแทนของบริษัท มารายงานผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2568 ครับ
เริ่มจาก Wrap Up สั้นๆ เกี่ยวกับ NC NC Former เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตพวกชิ้นส่วนและสินค้าเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้า เริ่มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 2004 ช่วงแรกธุรกิจที่ทำก็จะเป็นพวกทำชิ้นส่วนท่อทองแดง ชิ้นส่วนพลาสติก ขึ้นรูปโลหะแผ่นสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า หลักๆ ก็จะเป็นเครื่องปรับอากาศ ส่งให้กับผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศ และก็เครื่องใช้ไฟฟ้าหลักๆ ภายในบ้านเรา ส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้ากลุ่มแบรนด์ญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่
และในปี 2008 เราก็เริ่มเข้าสู่ธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้าเป็น OEM เครื่องปรับอากาศ โดยในตอนนั้นเราก็เข้าไปซื้อโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง แล้วก็ทำอยู่ที่ เริ่มทำการประกอบเครื่องปรับอากาศที่นั่น ในปี 2010 เราก็เริ่มเข้าสู่ธุรกิจผลิตตัวอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนหรือ Heat Exchanger ที่ใช้ในเครื่องปรับอากาศ ก็ไล่มาจนถึงช่วงจนถึงปีปัจจุบัน ในช่วงท้ายๆ ของเรานี้ เราก็ยัง ปีล่าสุดเราก็เริ่มทำในส่วนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งรายละเอียดเดี๋ยวจะมีการอัปเดตให้ท่านนักลงทุนทราบต่อไปในสไลด์ต่อๆ ไป
ในส่วนของปีที่แล้วเราก็ได้รับรางวัลจากตลาดหลักทรัพย์ในส่วนของ ESG Rating ในระดับ A แล้วก็ตัว CG Award เราก็ได้รับรางวัลในระดับ 5 ดาว ต่อเนื่องกันมา และก็ได้รับรางวัลตัว CAC Certified เรื่องเกี่ยวกับคอร์รัปชั่น
กล่าวโดยสรุป ธุรกิจของ NC Former ในปัจจุบันนี้ ผมขออนุญาตแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ Current Business กับ New Business ในกลุ่มของ Current Business ก็อย่างที่เมื่อช่วงแรกได้นำเรียนไปว่าเรามีการธุรกิจทำชิ้นส่วนท่อทองแดง ท่ออลูมิเนียม ซึ่งกลุ่มนี้เราเรียกว่ากลุ่มไปป์ หรือ P หมวดที่ 2 ในกลุ่มนี้ก็คือ อีก P หนึ่งคือ P พลาสติก ก็เป็นการรับจ้างฉีดพลาสติก เรามีโรงงานฉีดพลาสติกอยู่ที่สมุทรปราการ เราเรียกว่า NC สาขา 2 มี Paradise พลาสติก แล้วก็ที่ระยองก็จะมี Selen Injection พลาสติก
หมวดที่ 3 ในกลุ่มนี้ก็คือกลุ่มธุรกิจ Sheet Metal Sheet Fabrication Manufacturing หรือเราเรียกว่า S ธุรกิจนี้จะทำที่ระยองเป็นหลัก ภายใต้บริษัท IPC และก็กลุ่มธุรกิจสุดท้ายก็คือ OEM ก็คือรับจ้างผลิตสินค้า หลักๆ ก็จะเป็นเครื่องปรับอากาศเป็นหลัก ตัวนี้ก็เช่นกันก็จะผลิตที่โรงงานที่ระยอง ภายใต้บริษัท สแกน
อีกฝั่งหนึ่งก็คือเป็นกลุ่มธุรกิจทางเป็นเราเรียกว่าเป็น New Business ประกอบด้วยธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมภายใต้บริษัท Hermes Operation เรามีธุรกิจพลังงานทดแทน หลักๆ คือไฟฟ้าขยะที่จังหวัดยะลา ซึ่งเดี๋ยวช่วงท้ายก็จะมีการนำเรียนเรื่องของความคืบหน้าของโครงการให้ทราบต่อไป ภายใต้บริษัท ยะลา ฟ้าสะอาด และก็เรามีบริษัทที่เราจัดตั้งขึ้นอีกบริษัทหนึ่ง ชื่อเราชื่อ ให้ชื่อว่า 99 IS อันนี้ก็จะเป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับ Industrial Solution หลักๆ ก็คือระบบ Automation Robot ต่างๆ ขั้นต้นก็จะทำขึ้นมาใช้พัฒนาขึ้นมาใช้ในภายในองค์กรของเราก่อน ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ธุรกิจภายนอกต่อไป อันนี้คือภาพรวมโครงสร้างธุรกิจของ NC ในปัจจุบัน
ขออนุญาตกลับมาเข้าเรื่องผลประกอบการ และก็ภาพรวมของอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 1 เริ่มจากภาพรวมของอุตสาหกรรมที่เราอยู่ เริ่มจากอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศ กราฟนี้เป็นกราฟแสดงผลผลิตเครื่องปรับอากาศหน่วยเป็นจำนวนเครื่องของประเทศไทย ถ้าดูจากกราฟเล็กๆ ทางด้านขวามือ ก็เป็นกราฟของไตรมาสที่ 1 ปี 2025 ตัวเลขรวมอยู่ที่ 7.8 ล้านเครื่อง เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปี 2024 ที่ 7.7 ล้านเครื่อง ตลาดเครื่องปรับอากาศมีการเติบโตขึ้นประมาณ 1.3% ทีนี้มองต่ำลงมาเนี่ยก็จะเป็นแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่เป็นการผลิตเพื่อส่งออก กับการผลิตเพื่อใช้ใน เพื่อขายในประเทศ พบว่าตลาดในประเทศหดตัวลง 11% อยู่ที่ 1.6 ล้านเครื่อง ในขณะที่ตลาดส่งออกเครื่องปรับอากาศในปี ในไตรมาส 1 เนี่ยโตขึ้น 5.1% ที่ 6.2 ล้านเครื่อง
เพราะฉะนั้นโดยรวม NC เราประเมินว่าตลาดเครื่องปรับอากาศของบ้านเราในปีนี้ ยังคิดว่าน่าจะยังเติบโตได้ในตลาดส่งออก แต่ตลาดในประเทศด้วยสภาพภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจของบ้านเรานะครับ ก็ประเมินว่าน่าจะมีการลดลงในส่วนของตลาดในประเทศ แต่ภาพรวมแล้วเนี่ยก็คิดว่าน่าจะเติบโตโดยรวมเนี่ยเติบโตขึ้นจากปีก่อนเนี่ยอยู่ที่ น่าจะอยู่ที่ประมาณ 26.4 ล้านเครื่อง
มาดูในตลาดส่งออกเครื่องปรับอากาศ ข้อมูลจากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำนักปลัดกระทรวงพาณิชย์ รายงานว่าตลาดส่งออกเครื่องปรับอากาศอันนี้ตัดมา 10 ประเทศ Top 10 นะครับ ที่ประเทศไทยส่งออกเครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วนไปขายเนี่ยนะ ในไตรมาส 1 ของปี 2025 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 85,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2024 ที่ 69,800 กว่าล้าน เนี่ยก็โตขึ้นถึง 22.55% ในเทอมมูลค่า สไลด์เมื่อสักครู่เนี่ยในเทอมจำนวนหน่วยเนี่ยโตขึ้นประมาณสักเปอร์เซ็นต์กว่าๆ 5% ในส่วนของตลาดส่งออก แต่ในเทอมมูลค่าเนี่ยเติบโตขึ้นถึง 22% ตลาดหลักเนี่ยก็ยังเป็นตลาดอเมริกาครับ ในตลาดอเมริกาเนี่ยสังเกตว่าในไตรมาส 1 ปีนี้ประเทศไทยส่งออกแอร์ไปถึง 22,700 ล้านบาท ในขณะที่ปีที่แล้วเนี่ยส่งเพียงแค่ 16,000 ล้านบาท ตรงนี้ส่วนนี้โตขึ้นมาถึง 67.7% ตลาดที่ 2 ก็เป็นเวียดนามอันนี้ก็โตขึ้นมามากเช่นเดียวกัน อันนี้ก็เป็นภาพรวมก็จะเห็นว่าตลาดส่งออกเครื่องปรับอากาศของบ้านเราเนี่ยนะครับก็ยังคงเติบโตได้นะครับ ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนเนี่ยก็คิดว่าตลาดเครื่องปรับอากาศเนี่ยของบ้านเราก็ยังพอไปได้อยู่นะครับ
ในส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์ นี่จะเป็นภาพตรงข้ามเลยนะครับ รถยนต์ในไตรมาส 1 ปีนี้บ้านเราผลิตและขายรถยนต์อยู่ที่ 350,000 คัน ลดลง 14.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้ว ซึ่งการลดลงเนี่ยลดลงทั้งตลาดส่งออกและตลาดในประเทศ 350,000 คัน และ 220,000 คัน ตามลำดับ ลดลงค่อนข้างมาก สัญญาณเนี่ยในตลาดรถยนต์บ้านเรายังไม่ฟื้นนะครับ ตอนนี้เนื่องจากตัวเลขที่เราใช้อ้างอิงเนี่ยก็เป็นตัวเลขจากสถาบันยานยนต์สภาอุตสาหกรรม เพราะนั้นภาพรวมเนี่ยทางทางสถาบันยานยนต์ยังไม่ได้ปรับลดประมาณการคาดการณ์ของผลผลิตรถยนต์ในปีนี้นะครับ ยังยืนอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านคัน ก็เลยขออนุญาตใช้ตัวเลขคงที่ตรงนี้ตามนี้ไว้ก่อน แล้วก็จะมาอัปเดตให้ท่านนักลงทุนทุกท่านทราบต่อในโอกาสต่อไป
ลำดับต่อไปเป็น Performance ผลประกอบการของ NC เราในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ฝั่งซ้ายมือเป็นกราฟแสดงยอดขาย ฝั่งขวามือเป็นกราฟแสดงกำไรสุทธิ ยอดขายของ NC เราในไตรมาสที่ 1 ปีนี้ ยอดขายรวมอยู่ที่ 4,665 ล้านบาท แยกเป็น 3 หมวด หมวดแรกสีส้มข้างล่าง ส่วนที่เป็นช่องเล็กๆ ข้างล่างก็คือชิ้นส่วนรถยนต์ ตรงนี้ก็ประกอบด้วยกลุ่มงานพวกท่ออลูมิเนียม ข้อต่ออลูมิเนียมรวมถึงชิ้นส่วนพลาสติกที่ใช้ในรถมอเตอร์ไซค์ ยอดขายในหมวดนี้เนี่ยอยู่ที่ 184 ล้านบาทในไตรมาส 1 ซึ่งลดลง 25% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้วที่ 244 ล้านบาท อันนี้ก็สอดคล้องไปกับภาพรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์บ้านเราที่ยังยังซบอยู่ ยังซบเซาอยู่นะครับ
ส่วนที่ 2 เป็นกลุ่มงาน OEM ครับ กลุ่มงาน OEM ในไตรมาส 1 ปีนี้มียอดขายอยู่ที่ 3,636 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับ 1,050 ล้านบาท ในปีที่แล้วเนี่ย เติบโตขึ้นมา 246% อันนี้ก็เป็น เป็นตัวหลักสำคัญนะครับที่ทำให้ยอดขายของ NC เราในไตรมาส 1 เนี่ยก็โตขึ้นมา ส่วนอันบนสุดเป็นชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้านะครับ ท่อทองแดง ชิ้นงานฉีดพลาสติกสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า Heat Exchanger อะไรต่างๆ รวมถึงโลหะแผ่นด้วยเนี่ยนะครับ ยอดขายรวมอยู่ที่ 815 ล้านบาท ก็เมื่อเทียบกับ 794 ล้านบาท ในปี ในไตรมาส 1 ปีที่แล้วเนี่ยก็โตขึ้นประมาณ 3% เล็กน้อย
ภาพรวมของยอดขายของเราในไตรมาส 1 เนี่ยก็จะโตขึ้น 123% year on year มาดูทางฝั่งกำไร กำไรในปี ในไตรมาส 1 ปีนี้ภาพรวมอยู่ที่ 385 แต่ใน 385 ล้านบาท เนี่ยเรามีกำไรจากการขายทรัพย์สินที่เราไม่ได้ใช้ ก็อยู่ที่ 250 ล้านบาท ซึ่งรายละเอียดเดี๋ยวท่านคุณรัฐภูมิจะนำเรียนต่อไป เพราะนั้นมันก็จะเหลือกำไรจากการดำเนินงานเนี่ยประมาณ 130 กว่าล้าน ก็แยกมาเป็นส่วนของกำไรจากในส่วนของชิ้นส่วนรถยนต์เนี่ย 12 ล้าน กำไรหลักก็จะมาจากกลุ่มงาน OEM กลุ่มธุรกิจ OEM 125 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 1 ปีที่แล้วเนี่ยเนื่องจากยอดขายในปีที่แล้วไม่ Break Even นะครับ ก็เลยขาดทุนที่ 30 ล้าน นะตอนนี้ก็โตขึ้นมา ส่วนยอดกำไรจากงานชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ นะครับก็อยู่ที่ 9 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
ใน Oppday ครั้งที่แล้ว ทางเราก็มีการรายงานว่า Action Plan หลักๆ ของเราภายใน ในปีนี้ เรามีหัวข้อ Highlight ที่จะทำอยู่ประมาณ 4-5 เรื่อง รอบนี้ก็เลยขออนุญาตมาอัปเดต เริ่มจากอันแรกที่เรามีการขายตัวทรัพย์สินที่เราคิดว่าเราไม่ได้ใช้งาน ภาพทางซ้ายมือ เป็นผังโรงงานของ NC ที่ระยองประมาณ 400 ไร่ เราเลยแบ่งเป็นโซนที่เรียกว่าโซน A โซน B โซน C และโซน D ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราใช้โซน C ในการผลิต OEM เครื่องปรับอากาศส่งออกไป ส่วนโซน D เนี่ยเป็นโรงงานที่เราใช้ทำ Tool Box 2 ส่วนเนี้ย ก็ ในช่วง 2-3 ปี หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องออเดอร์ เราก็เลยตัดสินใจขาย 2 ส่วนนี้ออกไป ซึ่งตอนเนี้ย การขายของโซน C และโซน D เสร็จสิ้นลงไปแล้ว เรื่องที่ 2 เรื่องของการดาวไซส์ธุรกิจ OEM ถ้าดูจากแผนผังโรงงาน เรามีโรงงานผลิต OEM สำหรับเครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้ไฟฟ้าเนี่ยอยู่ใน 2 โซนครับ คือโซน C และโซน B โซน B เนี่ยจะอยู่ที่อาคารหลังที่ 7 เราเรียกว่า B7 Building Number Seven B7 ส่วนโซน C ก็จะอยู่ทั้งโซนเลยเป็น OEM ตอนนี้เราตัดขายโซน C เพราะนั้น Capacity รอบของเราในส่วนของ OEM ก็จะลดลง แต่เรายังมี Capacity ที่อาคาร 7 ในโซน B เก็บไว้ยุ นะครับ เพราะนั้นเนี่ยตัวธุรกิจ OEM ก็จะ พูดง่ายๆ ตัวก็จะเบาขึ้นนะครับ แล้วก็ออเดอร์เนี่ย ก็น่าจะ ทำให้เราสามารถ Utilize Asset ที่เหลืออยู่เนี่ยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อันนี้ก็เป็นความคืบหน้า ส่วนของ Action ข้อ 3 ข้อ 4 ข้อ 5 เรื่องของการจ่ายคืนเงินต้น เพราะเราขายทรัพย์สินได้ก็จะมีการจ่ายคืนเงินต้นเพื่อลดภาระดอกเบี้ย การปรับปรุง Productivity โดยการใช้เทคโนโลยี 4.0 เข้ามา แล้วก็มาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลดต้นทุน อันนี้เรายังทำอยู่ต่อเนื่องนะครับ ยังอยู่ในช่วงของการดำเนินงานอยู่
ขออนุญาตเล่าให้ฟังเกี่ยวกับธุรกิจ OEM หลายท่านอาจจะมีคำถามว่า อ้าว พอผม เราทางเราขายโซน C ซึ่งเป็นโรงผลิตเครื่องปรับอากาศ OEM ออกไปแล้วเนี่ยมันจะมีผลกระทบอย่างไรกับธุรกิจของ NC ในอนาคต ก็ขออนุญาตดูรายงานอย่างงี้ รูป Product ที่เห็นเนี่ยเป็นรูปสินค้าที่เราได้ทำในปีนี้ แล้วก็จะต่อไปในอีก 2-3 ปีข้างหน้านะครับ ก็เริ่มจาก เครื่องปรับอากาศแบบ Window รูปทางซ้ายมือกับ Portable เนี่ยอันนี้คือเป็น 2 Product หลักที่เราทำช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาเนี่ยเรา เราจะเน้นทำที่ 2 ตัวนี้ ส่วนในปีนี้เนี่ยเราก็ได้ตัว Product ใหม่ๆ เข้ามาอีก 2 รายการก็คือ เป็นเครื่องปรับอากาศซึ่งบ้านเราไม่ค่อยเห็น เราเรียกว่า Package Terminal Aircon หรือ P-TAC กับแอร์อีกประเภทหนึ่งเราเรียกว่า True the Wall Aircon หรือ TTW นะครับ ซึ่งตัวนี้ก็จะ เป็นค่อนข้างนิยมใช้มากในในตลาดอเมริกาเหนือ ทีนี้กราฟข้างล่างเนี่ยแสดง Utilization Rate ในปีที่แล้ว เรามีทั้งโรงงานที่โซน C และก็โซน B เรามี Cap รวมเนี่ยปีที่แล้วอยู่ที่ 3.3 ล้าน แต่ที่ออเดอร์ที่เรามีอยู่ทำให้เรา Utilize Capacity ที่เรามีอยู่ในปีที่แล้วเนี่ยเพียงแค่ 30% อันนี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่สะท้อนว่าทำไมในปีที่แล้วเนี่ยธุรกิจ OEM ของ NC เราถึงขาดทุนนะครับ เพราะเรา Utilize Asset ที่เป็น Fix Cost ของเราเนี่ยได้ต่ำ
ในปีนี้เนี่ยเนื่องจากเรามีการตัดขายโซน C นะครับ แต่การขายโซน C เนี่ยมันเป็นการขายคร่อมคร่อมปีนะ คือเราเราจะ Terminate ตั้งแต่ประมาณไตรมาส 2 ไตรมาส 1 เรายังใช้ เรายัง Utilize Capacity ของโซน C อยู่ รวมถึงโซน โซน B ด้วย งั้นเราก็ประเมินว่าในปีเนี้ยเรา Capacity ของเราจะอยู่ที่ประมาณ 1.9 ล้านเครื่อง แล้วก็ประมาณการจากออเดอร์จาก Forecast ที่เรามองเห็นเนี่ยเรา เรามองว่าเราน่าจะได้ Utilize Capacity ส่วนเนี้ยถึง ประมาณ 80% อันนี้ก็จะเป็นภาพรวมของธุรกิจ OEM หลังจากการที่เรามีการตัดขายทรัพย์สินบางส่วนออก
ลำดับต่อไปนะครับ หลายท่านคงน่าจะมีคำถามเกี่ยวกับ Impact ของ Tariff นะครับ Reciprocal Tariff ของทางอเมริกา ว่าจะมีผลกระทบอะไร อย่างไรกับ NC เราบ้าง หลักๆ เนี่ย OEM ที่เราทำเนี่ยก็ส่งออกไปอเมริกา นะครับ เพราะนั้นถามว่า Impact ที่มีต่อธุรกิจนี้มีไหม ก็ขออนุญาตสรุปอย่างงี้ กราฟที่เห็นเนี่ยอันนี้เชื่อว่าทุกคนทราบดีนะ อันนี้คือ Tariff ณ ปัจจุบันที่อเมริกาชาร์จกับประเทศต่างๆ จีนโดนเยอะสุด ณ วันนี้ คือ 145% ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เนี่ยก็ตอนประกาศออกมาครั้งแรกก็ลดหลั่นกันไปมากน้อยต่างกัน แต่หลักๆ ก็เป็น 20-30% ทั้งนั้น แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 10% เป็นเบสอยู่ ซึ่ง 90 วันจากนี้ไปเนี่ย ก็คงมีการเจรจาแล้วก็คงมีข้อสรุปออกมา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่ 2 เมษายน ที่ทางอเมริกาประกาศ Reciprocal Tariff ออกมาเนี่ย ก็สิ่งที่เราได้รับ Feedback จากทางลูกค้าของเราคือว่าทางทางจีนเนี่ย หลักๆ เขาหยุด Investment ในส่วนของที่เขาจะมาสร้างโรงงานจะอะไรเนี่ย Big Investment ใน ในส่วนของเขา เขาหยุด แต่เรารู้ว่า ตลาด เครื่อง ใน คือ เครื่องปรับอากาศเนี่ย ฐานผลิตมันอยู่ในประเทศแถบนี้ทั้งหมดนะฮะ ประเทศจีนเป็นประเทศเป็นเบอร์ 1 ใน ในธุรกิจเครื่องปรับอากาศ แล้วก็มีเกาหลีในมีญี่ปุ่น แล้วก็มาประเทศไทยในแถบอาเซียนเนี่ยไทยก็เป็นเบอร์ 1 เพราะฉะนั้นประเทศไทยจีนค่อนข้าง Strong ในส่วนของตลาดเครื่องปรับอากาศ ทีนี้ในช่วงตรงนี้นะครับ หลังจากที่ประกาศ Tariff ออกมาแล้วเนี่ย ผมพบว่า ตัว Impact ที่เกิดขึ้นกับธุรกิจ OEM น่ะ ผมมองเป็น Positive คือแน่นอนทุกๆ ประเทศโดน Impact แต่เมื่อก่อนเนี่ยสมัยที่เป็นทรัมป์ 1 นะครับ ที่มีการประกาศ Trade War ครั้งแรก ในช่วงนั้นเนี่ยเครื่องปรับอากาศที่ผลิตจากประเทศจีนจะถูกชาร์จอากรอยู่ที่ประมาณ 23-25% ในขณะที่เครื่องปรับอากาศที่ผลิตจากประเทศไทยเนี่ยจะอยู่ที่ 2-3% Gap ตรงนี้มันประมาณ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับถ้าส่งออกจากจีนไปอเมริก
พอมาทรัมป์ 2 หลัง Reciprocal Tariff Gap ตรงนี้มันยิ่งถ่างออกไปอีก ถึงแม้เราบ้านเราจะมี จะโดนอากรเพิ่มขึ้นจาก 2-3% ในอดีตเนี่ย ตอนเนี้ยมันขึ้นมาอยู่ที่ 10 แล้วมันมีโอกาสอาจจะเป็น 10 15 หรืออะไรก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยยิ่งประเทศจีนซึ่งเป็นแหล่งผลิตใหญ่ของเครื่องปรับอากาศเนี่ย Gap ระหว่างจีนกับไทยเนี่ยมันยิ่งถ่างออกไปอีก อันนี้เป็นเหตุผลที่หลังๆ เนี่ยก็จะมีลูกค้าเริ่มติดต่อเข้ามาว่าผมยังมี Capacity เหลือที่จะทำ OEM อีกไหม เพราะนั้นในช่วงนี้นะครับผมมองว่ามันยังเป็น Positive Impact ต่อธุรกิจเราอยู่ แน่นอนอนาคตเนี่ยเมื่อประเทศไทย ของสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทยก็จะแพงขึ้น เมื่อก่อนอย่างที่บอกผมทางของที่ผลิตจากประเทศไทยเนี่ยโดนอากร 2-3% เครื่องปรับอากาศ มันอาจจะกลายเป็น 10 หรือ 15% หลังจากนี้นะครับ แต่เมื่อเทียบกับที่อื่นเราก็ยังอยู่ใน Competitiveness อยู่นะครับ ถามว่าแล้วไปผลิตในในอเมริกาได้ไหมนะครับ ถ้าดูจาก Supply Chain แล้วเนี่ย ผมว่าคือถามว่าทำได้ไหมทำได้ แต่น่าจะไม่คุ้มที่จะทำ เลยยังมองว่าในภาพรวมเนี่ยยัง ยังเป็น Positive กับธุรกิจ OEM ของเราอยู่นะครับ
ในส่วนของ Project Update ในส่วนของนิคมอุตสาหกรรม Hermes ตั้งอยู่ที่ริมถนน สาย 331 ใกล้ๆ กับจุดตัดกับถนนสาย 36 ซึ่งถ้าจากโรงงานของ NC ที่ระยองไปเนี่ยก็ห่างกันประมาณสักขับรถ 10 นาที พื้นที่เนี่ยเราได้รับอนุญาตจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมจาก กนอ. เมื่อประมาณกลางปีที่แล้วเนี่ยพื้นที่อยู่ที่ 1,231 ไร่ ตอนเนี้ยเรากำลังสร้าง Infrastructure อยู่ ก็จะมีถนน ถนนสายหลักกว้าง เขตทางกว้าง 36 เมตร เนี่ยเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังสร้างสายรองอยู่ แล้วก็ระบบ Utility ระบบน้ำก็จะวาง วางแผนว่าสามารถ Supply น้ำได้ที่ 7,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ระบบบำบัดน้ำเสีย 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ไฟฟ้านะครับ อยู่ประมาณ 100 เมกะวัตต์ แล้วก็อื่นๆ อันนี้ก็เริ่ม เริ่มดำเนินการไปแล้ว อันนี้เป็นภาพของโครงการตอนนี้ก็อยู่ในช่วงของการปรับที่นะครับ ซึ่งบริเวณของเราส่วนใหญ่ก็เป็นที่ราบ ก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องของการปรับที่มากนัก แล้วก็ถนนที่เห็นในรูปร่างขวามือเนี่ยก็เป็นภาพถนนที่เราสร้างเสร็จแล้ว เราก็มีการขึ้นป้ายโฆษณา ป้ายบิลบอร์ดตรงริมทางมอเตอร์เวย์ ถ้าประมาณกิโลเมตรที่ 79 มาจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไปทางพัทยาเนี่ยก็จะ หลายท่านก็รบกวนลองสังเกตดูนะครับก็จะมีป้ายบิลบอร์ดของ Hermes เรานะครับขึ้นอยู่นะครับ ก่อนแถวๆ ตรงทางออกบางพระ
ในช่วงเนี้ยเราจริงๆ เรายังไม่ได้ทำการตลาดอย่างเต็มตัว แต่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเนี่ยก็มีนักลงทุนที่สนใจหลายๆ กลุ่มติดต่อเข้ามา ขอดูสถานที่ ขอพูดคุย สอบถามเรื่องราคา และกำหนดการต่างๆ ของเรา อันนี้เป็นภาพตัวอย่างของ กลุ่มลูกค้าต่างๆ ที่เราได้คุยด้วยนะครับ ตั้งแต่ช่วงกุมภาพันธ์ มีนาคม เมษายน ไล่มา ได้รับความสนใจจากนักลงทุนหลักจากหลายประเทศ อันนี้ก็เป็น กำหนดการของเรานะครับ ในช่วงนี้เราเป็นช่วงที่กำลังก่อส สร้าง Infrastructure ตั้งแต่ระบบน้ำ ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบไฟฟ้านะครับ ส่วนถนนเนี่ยก็คิดว่าน่าจะแล้วเสร็จในเดือนนี้ ก็คิดว่าโครงการเนี้ยน่าจะเริ่มมีรายได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เริ่ม เริ่มเป็นเริ่ม เริ่มขายได้นะครับ แล้วก็ตัวหลักๆ ก็น่าจะไปมีมี ยอดขายอย่างชัดเจนเนี่ยในในช่วงปีหน้า ต้นปีหน้านะครับ อันนี้เป็นส่วนของนิคมอุตสาหกรรม Hermes ครับ ส่วนต่อไปเป็นส่วนของตัวโรงไฟฟ้าขยะที่ยะลานะครับ ภายใต้ชื่อบริษัท ยะลา ฟ้าสะอาด ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงของการก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรครับ อันนี้เป็นภาพนะครับ ภาพล่าสุดของการก่อสร้างตัวอาคารนะครับ แล้วก็การติดตั้งเครื่องจักร ซึ่งทำควบคู่กันไป ตอนเนี้ยความคืบหน้าก็อยู่ประมาณสัก 60 65% ละ กำหนดการที่จะ COD ก็คิดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณต้นเดือนกรกฎาคม 2025 ปีนี้ครับผม
ลำดับต่อไปเป็นรายงานทางด้านทางการเงิน ผมขออนุญาตให้ทางคุณรัฐภูมินำเรียนครับ
ก็จะมาสรุป กราฟแรกด้านซ้ายคือยอดขายจากปี 2021 ถึง Q1/2025 ในช่วงปี 2022 เป็นช่วงที่ยอดขายสูงสุด 9,000 ล้านบาท และสองปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ออเดอร์ก็ลดลงไปครึ่งหนึ่ง ใน Q1 ปีนี้เทียบกับ Q1 ปีที่แล้วก็มีรายได้สูงขึ้น สัดส่วนรายได้ OEM ก็กระเถิบขึ้นมาจากสองปีที่แล้วสัดส่วน OEM อยู่ที่ 50-55% ใน Q1 ปีนี้ขยับขึ้นมาเป็น 78% ก็ส่งผลโดยรวมให้กำไรขั้นต้นกราฟทางขวามือมีมูลค่าสูงขึ้นเป็น 286 ล้านบาท อยู่ที่อัตรา 6.1% SG&A ในเทอมของเปอร์เซ็นต์ก็ลดลงอยู่ที่ 2.8% กำไรสุทธิโดยรวม 385 ล้านบาท ก็เป็นกำไรปกติ 135 ล้านบาท กำไรพิเศษ 250 ล้านบาท รวมอยู่ที่อัตรา 8.3% และตัวสุดท้ายเป็นตัว EBITDA กำไรที่เป็นตัวเงินก็สูงขึ้นเป็น 698 ล้านบาท อยู่ที่อัตรา 15% ก็ถือว่าเป็นภาพรวมทางด้านบวก
หน้าถัดไปทางซ้ายสุดเป็น Asset Liabilities และ Equity ช่วงนี้เป็นช่วงอยู่ในช่วง High Season Asset ก็จะสูงขึ้นเป็น 15,000 ล้านบาท Liability คือหนี้สินก็เพิ่มขึ้นเป็น 10,000 ล้านบาท ก็เกิดจากกลุ่มลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ และเจ้าหนี้การค้าที่สูงขึ้นตามยอดขายที่สูงขึ้น Equity ก็ยังอยู่ที่ระดับ 5,000 ล้านบาท สูงขึ้นจากกำไรที่เพิ่มขึ้นมา คอลัมน์ตรงกลาง Asset Turnover ก็จะขยับตัวสูงขึ้นเป็น 0.73 เท่าก็คือ Asset สามารถสร้างรายได้ได้ดีขึ้น ถัดมาเป็น Cash Flow จาก Operation ในงวดนี้เป็นติดลบ 203 ล้านบาท เนื่องจากว่าเป็นการขายใน Q1 จำนวนมาก แต่รอเก็บเงินในเดือนเมษายนและพฤษภาคมใน Q2 ตัวนี้กลับมามองในรูป 6 เดือนข้างหน้าก็จะอยู่ในรูปปกติเป็นบวก ตัว Cash Conversion Cycle ติดลบ 2 วันถือว่าดี เงินสดในงวดนี้อยู่ที่ 878 ล้านบาท ลดลงจริงๆ ต้องบอกว่าเงินสดเนี่ยเราจัดไว้ 2 บรรทัดก็คือหนึ่งเงินสดที่ใช้ในการดำเนินงานกับอีกตัวนึงเงินสดที่เรากันไว้เพื่อคืนหุ้นกู้ เรามีเงินสดที่กันไว้เพื่อคืนหุ้นกู้อยู่ 400 ล้านบาทถ้ารวมกับ 878 ล้านบาท จะมีเงินสดอยู่ 1,278 ล้านบาทในบริษัท ตัวลูกหนี้ 4,530 ล้านบาท อันนี้ถือว่าโดยรวมนะครับ 90% เป็นลูกหนี้ปกติ เก็บเงินได้ตามเครดิตเทอม ถัดมาก็เป็นตัวสินทรัพย์ ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 5,924 ล้านบาท ก็เป็นสินทรัพย์ที่สามารถเอาไว้ใช้ในการประกอบกิจการได้และมีมูลค่าราคาประเมินตามจริงและรูปเป็นเงินได้ในอนาคต
คอลัมน์สุดท้าย Debt to Equity ใน Q1 เพิ่มขึ้นเป็น 1.9 เท่า ก็ยังไม่เกินกว่า Target Target อยู่ที่ 2 เท่า และการเพิ่มขึ้นเนี่ยเป็นการเพิ่มขึ้นจากฤดูกาลผลิตที่มากขึ้น งั้นเดี๋ยวใน Q2 ปลาย Q2 เนี่ยเริ่มเข้าสู่ช่วง Low Season เจ้าหนี้การค้าจะลดลง Debt to Equity จะลดลงอยู่ที่ระดับประมาณ 1.4 เท่า ก็จะเป็นปกติ Interest Bearing Debt คือหนี้สินที่มีดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 0.7 เท่าเมื่อเทียบกับ Equity ก็น้อยกว่า Target Target ไม่ควรจะเกิน 1.5 เท่า และตัวที่ลดลงก็คือเกิดจากการที่เราผ่อนชำระหรือจ่ายชำระไปในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ตัวสุดท้ายเป็น DCR ความสามารถในการจ่ายชำระเงินต้นและดอกเบี้ยในระยะ 1 ปีข้างหน้า ตอนนี้ Target เนี่ยควรจะเกิน 1.2 เท่า ใน 2 ปีที่ผ่านมาเนี่ยต่ำกว่า Target เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวรายได้ลด ตัว EBITDA ก็ลดลง แต่ใน Q1 ปีนี้เนี่ยตัว EBITDA เราสูงขึ้น จากกำไรจากการดำเนินงานด้วย แล้วก็ตัวเงินจากกำไรพิเศษด้วย ก็ทำให้ตัว DCR เนี่ย มากกว่า Target ที่กำหนดไว้ ก็คือดี งั้นโดยรวมๆ ของ Financial Highlight Financial Information ในงวดนี้ก็ถือว่าดีนะครับ
ตัวสุดท้ายก็คือตัว CAPEX ในปี 2025 มีประเมินว่าจะมี CAPEX อยู่ทั้งหมด 1,800 ล้านบาท ก็แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เป็นการลงทุน 1,300 ล้านบาท แล้วกลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มโรงไฟฟ้าขยะที่ยะลานะครับ 300 ล้านบาท แล้วก็อื่นๆ 200 ล้านบาท ในกลุ่มของบรรทัดแรก 1,300 ล้านบาทเนี่ยก็จะเป็นแบ่งเป็นอีก 3 ตัวย่อยๆ ตัวที่ 1 ก็คือเรื่องของการสร้าง Infrastructure 500 ล้านบาท เรื่องที่ 2 เป็นการปรับปรุงสภาพผิวดินนะครับ สำหรับพื้นที่ที่จะขายครับอีกสัก 200 ล้านบาท ส่วนที่ 3 ส่วนสุดท้ายอีก 600 ล้านบาท เป็นส่วนของการซื้อดินเพิ่มเติมสำหรับเฟสต่อไปในอนาคต ก็อันนี้เป็นงบลงทุนสำหรับปี 2025
Q&A Session เริ่มต้นที่ [นาทีที่ 1:14:28]
- **นโยบายภาษีของอเมริกาส่งผลกับโครงการนิคมเฮอร์มิสอย่างไร ลูกค้าชะลอโครงการลงทุนหรือไม่**
- **ปัจจุบันคำสั่งซื้อสำหรับไตรมาสถัดไปเป็นอย่างไรบ้าง กำไรสุทธิจากธุรกิจหลักไม่รวมโรงไฟฟ้าและนิคมปีนี้จะเป็นบวกไหม**
- **เกี่ยวกับโครงการซื้อหุ้นคืน ปัจจุบันราคาหุ้นขยับขึ้นมาเกือบ 30% แล้ว บริษัทจะยังคงซื้อหุ้นคืนหรือไม่ และถ้าไม่ซื้อหุ้นคืนบริษัทจะนำเงินบางส่วนมาจ่ายเงินปันผลได้หรือไม่**
- **แนวโน้มของไตรมาสที่สองเป็นอย่างไรครับ มีปัจจัยอะไรเป็นตัวหนุน**
- **OEM ที่มาเยอะจะต่อเนื่องไหมครับ เป็น Project Base หรือตามฤดูกาล คาดว่ารายได้ OEM ทั้งปีเป็นอย่างไร**
- **หากคำสั่งซื้อกลับมามากขึ้นแบบปี 64 65 โรงงานที่มีอยู่ยังรองรับได้ไหมครับ**
- **ธุรกิจ Tool Box ปีนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ**
- **SNC จะมีรายได้กำไรมาจากธุรกิจ OEM หรือนิคม หรือโรงไฟฟ้า หรือทิศทางอย่างไร ตั้งเป้าเติบโตเท่าไหร่จากธุรกิจอะไรบ้าง**
- **ทางบริษัทมองตลาดส่งออกไปประเทศอื่นที่ไม่ใช่ อเมริกาบ้างหรือไม่ หรือตลาดที่อาจมีในอนาคต ในพื้นที่สงคราม หากยุติอาจมีการสร้างเมืองใหม่และใช้เครื่องปรับอากาศเป็นจำนวนมาก**
ทาง NC ได้กล่าวว่า ทางบริษัทยังไม่ได้เริ่มขายอย่างเป็นทางการ แต่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาก็มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาสอบถามและขอข้อมูลเพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจลงทุนของลูกค้ารายต่างๆ อย่างไรก็ตาม พอมีนโยบายของอเมริกาประกาศขึ้นในต้นเดือนเมษายน ก็มีการชะงักไปบ้าง แต่หลังจากผ่านไปสองสัปดาห์ กระแสการติดต่อเข้ามาก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ NC มองว่าทุกคนยังอยู่ในช่วงการพิจารณาตัดสินใจ แต่เนื่องจากนิคมมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ผลกระทบจากภาษียังมองว่าเป็นเชิงบวกต่อธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศไทย เนื่องจากในจีนอาจจะยากแล้ว ต้องมีการย้ายฐาน และไทยเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของนักลงทุน
ทาง NC แยกเป็นสองส่วน ธุรกิจชิ้นส่วน PPS และธุรกิจ OEM ในส่วนของธุรกิจชิ้นส่วน ลูกค้าหลักคือกลุ่มผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศ ตลาดส่วนใหญ่ยังน่าจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว ไตรมาสสองน่าจะยังพอเกาะไปกับไตรมาสหนึ่งหรืออาจจะโตกว่าเล็กน้อย สำหรับธุรกิจ OEM เป็น Seasonal เริ่มเข้าสู่ช่วง Low Season ฤดูกาลจะเริ่มประมาณช่วงต้นไตรมาส 4 และจบประมาณแถวๆ กลางไตรมาส 2 ช่วงไตรมาส 2 จะเป็นช่วงเข้าสู่ Low Season เตรียมตัวสำหรับ Season ใหม่ที่กำลังจะเริ่ม เพราะงั้นในส่วนของ OEM อาจจะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ซึ่งเป็นวัฏจักรอยู่แล้ว ทาง NC คาดการณ์ว่ากำไรปีนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้น
ทาง NC อธิบายว่า โครงการซื้อหุ้นคืนยังมีการดำเนินการอยู่ แต่จำนวนยังไม่สูงมากนัก ส่วนราคาหุ้นที่ขยับขึ้นมาเกือบ 30% มาจากทั้งฝั่งนักลงทุนที่ให้ความสนใจและจากกิจกรรมซื้อหุ้นคืนของบริษัทด้วย เรื่องของการจ่ายเงินปันผล บริษัทคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย อาจจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลได้ ซึ่งเป็นหัวข้อที่ผู้บริหารและคณะกรรมการดูแลอยู่
ทาง NC กล่าวว่าไตรมาส 2 ก็เช่นเดียวกับคำถามก่อนหน้า งานชิ้นส่วนน่าจะยังพอไปได้เหมือนเกาะไปกับไตรมาสหนึ่งหรืออาจจะดีกว่าเล็กน้อย ส่วน OEM จะเริ่มลดลงตามปัจจัยฤดูกาล ปัจจัยที่เป็นตัวหนุนคือ Reciprocal Tariff ของคุณทรัมป์ และสภาวะอากาศ ปีนี้คิดว่าน่าจะร้อน เครื่องปรับอากาศก็จะขายค่อนข้างได้ดีเป็นพิเศษ
ทาง NC กล่าวว่า OEM เป็น Seasonal อย่างที่ได้เรียนไป ไม่ได้เป็น Project Base Product ที่ผลิตแล้วไปขาย ส่วนใหญ่ไปขายตาม Retail Store ตามให้ผู้บริโภคในในสหรัฐเลย ไม่ได้ขายเข้า Project ต่างๆ ธุรกิจเครื่องปรับอากาศเป็น Seasonal Business คาดว่ารายได้ OEM ทั้งปี ปีนี้น่าจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว
ทาง NC อธิบายว่า ในปี 64 หากจำไม่ผิดผลิตอยู่ประมาณสัก 1.4 ล้านเครื่อง โรงงานกำลังผลิตหลังจากที่ขายโซน C ออกไปแล้ว เหลือลง OEM ที่ลงเดียว Cap รวมอยู่ที่ประมาณสักถ้า Cap เต็มๆ ปีสำหรับลงอาคารเดียว อยู่ที่ประมาณสัก 1.5 ก็น่าจะยังพอรองรับได้อยู่ แต่ก็จะค่อนข้างจะตึงๆ นิดนึง แต่ในแง่ของธุรกิจมองว่าเป็นเรื่องที่ดี พยายามจะ Balance แล้วก็อาจจะมีการทำ Deep Bottom Neck บาง บาง Process เพื่อเพิ่ม Cap แต่คงไม่ใช่เป็นการลงทุนใหม่เพื่อเพื่อเพิ่ม Capacity แบบในอดีต
ทาง NC กล่าวว่าธุรกิจ Tool Box เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของคุณทรัมป์ เมื่อก่อนผลิตในจีนเป็นหลัก แต่เมื่อสักตั้งแต่ 3-4 ปีที่แล้วก็เริ่มมีการย้ายขยับขยายจากผลของ ทรัมป์ 1.0 มีการขยับขยายลงมาสร้างฐานผลิตในแถบอาเซียนบ้านเรา หลักๆ ก็จะมีประเทศไทย มีกัมพูชา และก็มีเวียดนามบางส่วน พอ Reciprocal Tariff ประกาศออกมา กัมพูชาโดนชาร์จมากกว่าประเทศไทยอีก ตอนนี้ในส่วนของ Tool Box ก็ทุกคนก็มองกลับเข้ามาที่ประเทศไทยว่า เออคงต้องใช้ประเทศไทยเป็นฐานผลิต Tool Box ส่งไป มองว่าเป็นโอกาส แล้วก็ช่วงนี้เราก็มีลูกค้าทางอเมริกามา Approve โรงงานแล้ว ก็คิดว่า Tool Box เนี่ยก็ น่าจะผลิตได้ ได้มากขึ้น เมื่อ ปีที่แล้วเราแทบจะไม่ได้ผลิตเลย ทางนึงเรา เราตัดขายโซน D ไปนะ โซน D ซึ่งเป็นโซนที่เราทำ Tool Box ส่วนหนึ่งด้วย เราก็จะมี Cap ที่เหลืออยู่ประมาณสัก 150,000-200,000 ตู้ต่อปี แล้วก็พยายามจะ Utilize Capacity ที่เหลืออยู่ตรงเนี้ยให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ทาง NC กล่าวว่า จาก 3 ธุรกิจหลักในอนาคต 1.ธุรกิจดั้งเดิม (ชิ้นส่วนและ OEM) แม้ว่าลูกค้าเดิมจะหายไป แต่จะมีลูกค้ารายใหม่เข้ามาตามที่เล่าไปในสไลด์ OEM จะมี order เข้ามาจาก 3 Product ทั้ง Window ประมาณ 800,000 ตัว, P-TAC อีก 200,000 ตัว, TTW อีก 300,000 ตัวต่อปี ขึ้นระดับเป็นหลักล้านกว่าตัวต่อปีในอนาคต คาดการณ์ Utilazation Rate ของ OEM จะแตะระดับ 80% หลังจากการ Downsize 2. ธุรกิจนิคม จะเปิดขายได้อย่างเต็มรูปแบบในครึ่งปีหลัง คาดว่าจะขายได้ 200-300 ไร่ จากทั้งหมด 1,230 ไร่ 3. ธุรกิจโรงไฟฟ้า คาดว่าจะสร้างเสร็จและเกิดรายได้ในช่วงของครึ่งปีหลัง รายได้ของโรงไฟฟ้าทั้งปีประมาณ 150 ล้านบาท ครึ่งปีหลังก็ครึ่งหนึ่งประมาณ 75 ล้านบาท ทั้งธุรกิจนิคมและธุรกิจโรงไฟฟ้า Net Profit Margin จะอยู่ประมาณ 30-35% เป็นตัวที่สร้างรายได้ใหม่เข้ามาในปี 2025 และเป็นตัวที่สร้างกำไรและ EBITDA
ทาง NC กล่าวว่า ธุรกิจ OEM เป็นธุรกิจรับจ้างผลิต ไม่ได้มีการทำการตลาดโดยตรงเอง ในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ตลาดหลักๆ ของ NC เมื่อก่อนเราตลาดที่เราทำให้ Window ให้กับค่ายญี่ปุ่นเนี่ย ตลาดก็จะเป็นพวกตลาดตะวันออกกลาง อาเซียนต่างๆ ในปี 2018-2020 ตลาดหลักของเราก็จะอยู่ในเวียดนาม และก็มาช่วงแถวๆ โควิด เราก็เริ่มเข้าเน้นไปที่ตลาดอเมริกา แต่ทั้งหมดนี้คือคู่ค้าของเราเป็น เป็น เป็น เป็นคนที่ไปทำการตลาด ช่วงนี้ตลาดหลักของสินค้าเราเนี่ยก็จะไปที่อเมริกาเป็นหลัก ถามว่ามันมีตลาดไปตลาดอื่นบ้างไหม จริงๆ ก็มี เราไม่ได้ขายไปอเมริกา ไปที่อเมริกา 100% มีบางส่วนไปในตลาดอาเซียน เช่น เวียดนาม ก็ยังมีอยู่ แต่เราไม่ได้ทำตลาดโดยตรง ในอนาคตตลาดอาเซียนคงจะโตขึ้น คู่ค้าเราก็คงหันมาเจาะที่ตลาดอาเซียน และก็ตลาดอื่นๆ อินเดีย แอฟริกา ตรงนี้ก็จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทางคู่ค้าของ ของเรากำลังมองอยู่ ทุกคนก็คงพยายามกระจายความเสี่ยง
**สรุป:** โดยรวมแล้ว SNC Former กำลังเผชิญกับทั้งความท้าทายและโอกาสทางธุรกิจ โดยมีปัจ