สรุป Oppday S ปี 2567: เปิดกลยุทธ์อสังหาฯ ผสมผสาน สร้างรายได้ต่อเนื่อง

P/E 72.16 YIELD 1.45 ราคา 0.69 (1.47%)

สรุป Oppday S ปี 2567: เปิดกลยุทธ์อสังหาฯ ผสมผสาน สร้างรายได้ต่อเนื่อง

สวัสดีครับท่านนักลงทุนทุกท่าน ขอต้อนรับเข้าสู่งาน Opportunity Day ของบริษัท สิงห์ เอสเตท ประจำปี 2567 ผม ชัยรัตน์ ศิริวัฒนพันธ์ CFO จะมาบรรยายในส่วนของผลประกอบการของบริษัทให้ท่านฟังครับ

Agenda ในวันนี้จะเริ่มต้นด้วยภาพรวมของบริษัท เพื่อให้นักลงทุนที่อาจจะยังไม่รู้จักบริษัทได้รู้จักบริษัทมากขึ้น โดยธุรกิจของสิงห์ เอสเตท ประกอบด้วย 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจที่พักอาศัย โรงแรม ออฟฟิศ และ Infrastructure ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ โดยมีส่วนผสมของรายได้ที่ต่อเนื่อง (recurring income) จากธุรกิจโรงแรมและออฟฟิศ และรายได้ที่ไม่ต่อเนื่อง (non-recurring income) จากการขายที่ดินในธุรกิจที่พักอาศัยและ Infrastructure

จุดเด่นของ Portfolio เราคือการผสมระหว่างรายได้ต่อเนื่องที่เป็น Base ประมาณ 80% ของ Portfolio กับรายได้ไม่ต่อเนื่องที่สามารถสร้างผลกำไร Yield ตัวกำไรในแต่ละไตรมาสได้จากธุรกิจที่พักอาศัยและ Infra ประมาณ 20% ดังนั้นถึงแม้เราจะอยู่ในหมวดอสังหาริมทรัพย์ แต่เราก็ไม่ได้มีผลประกอบการที่ขึ้นอยู่โดยตรงกับภาวะการขาย Property อย่างเดียว

ในส่วนของผลประกอบการด้านการเงินในช่วงปี 2567 Quarter 4 เราปิดรายได้ที่ 3,665 ล้านบาท โดยภาพรวมทั้งปีใน 4 ธุรกิจมีปัจจัยสำคัญดังนี้:

  1. ธุรกิจโรงแรมทำรายได้สูงสุดที่ 10,352 ล้านบาท เป็นอานิสงส์จากการที่โรงแรมไทยกลับมาคึกคักอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในโรงแรมที่เราทำ Asset Enhancement เช่น ทราย ลากูน่า ภูเก็ต หรือภูมิภาคของฟิจิ และเช่นเดียวกันกับโรงแรมที่เราใส่เงินปรับปรุงไปเมื่อ 2 ปีที่แล้วอย่าง Outrigger Fiji Beach เป็นต้น ทำให้ภาพรวมราคาห้องและ Occupancy ปรับตัวสูงขึ้นทั้งปี และ Net Profit ของ SHR ที่เป็นบริษัทลูกในการประกอบธุรกิจโรงแรมของเราเองก็เติบโตขึ้น 55% ทำกำไรสุทธิประจำปีที่ 134 ล้านบาท
  2. ธุรกิจที่พักอาศัย ภาพรวมเรามีสัดส่วนของธุรกิจจากแนวราบและแนวสูงกลับมาที่ 50-50 ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราวางไว้ เรามองว่าแนวราบอาจจะเป็น Majority ของพอร์ตตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งปีที่แล้วก็มาที่ 50-50 แล้ว โดยมี 2 โครงการที่ทำรายได้ให้กับเราแบบมีนัยสำคัญในปีที่แล้ว คือ Serene ราชพฤกษ์-สาย 1 ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2566 และคอนโด The Extro ตรงพญาไท-รางน้ำ ที่เริ่มโอนเมื่อปีที่แล้ว
  3. โครงการที่เราเตรียมจะ Launch ใหม่ มี 4 โครงการด้วยกันในปีนี้ โดยมีมูลค่ารวมที่ 8,800 ล้านบาท เรามีการเปิดรอบ VIP ไปแล้วเมื่อปลายปี เตรียมจะเปิดแบบเป็นทางการช่วงปี 2568 ซึ่งเดี๋ยวจะมีรายละเอียดเล่าให้ฟังว่า 4 โครงการนี้ Concept เป็นอย่างไร
  4. ธุรกิจอาคารสำนักงาน ถ้าไม่นับตึก SOASIS ที่เปิดใหม่ ตึก 3 ตึกของเรายังคงมี Occupancy ที่อยู่ในเกณฑ์ดีที่ประมาณ 81% ทั้งปี 2567 และตึก SOASIS เองที่เปิดใหม่ตอนนี้เราทำ Close Sale ไปแล้วที่ 41% และต้นปีนี้ Outlook ก็ดี คาดว่าต้นปีนี้จะประมาณ 50% แล้ว
  5. ธุรกิจ Infrastructure เรามีการขายเพิ่ม 1 แปลงในปีที่แล้ว 56 ไร่ ให้ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเราเชื่อว่าจากการที่ลูกค้าเราเริ่มทยอยเข้านิคมและมีการเปิดโรงงาน จะทำให้รายได้ของนิคม นอกจากรายได้จากการขายที่ดินแล้ว ก็จะมีรายได้จากบริการ ขายน้ำ ขายบำบัดน้ำเสีย และธุรกิจไฟฟ้า สร้างรายได้ต่อเนื่องอีกชั้นหนึ่งให้กับบริษัท

Share of Profit จากโรงไฟฟ้าของปีที่แล้ว ในส่วนของ 3 โรงไฟฟ้า SPP ที่เราถือร่วมกับ B.Grimm อยู่ 30% ในส่วนแบ่งรายได้ของเราจะอยู่ที่ 180 ล้านบาท ในปีที่แล้วเฉพาะกำไรที่เป็นกำไรหลัก เราไม่นับกำไรจากบัญชีที่เป็นกำไรจากการแปลงค่าเงิน ในส่วนของปันผลเราจ่ายที่ 1 สตางค์ ในปีที่แล้ว

ภาพรวมรายได้เติบโตขึ้น 3% ที่ 15,095 ล้านบาท โดยธุรกิจหลักยังเป็นโรงแรมประมาณ 60-70% และออฟฟิศอีกประมาณเกือบๆ 10% รวมกันสองส่วนนี้ที่เป็น Recurring Income คือประมาณ 80% และธุรกิจบ้านกับนิคมอุตสาหกรรมคือที่เหลือ ในส่วนของ Gross Profit แน่นอนว่าพอธุรกิจโรงแรมกลับมาเปิดได้อย่างเต็มกำลังแล้ว Gross Profit Margin โดยรวมก็จะดีขึ้น เพราะทุกโรงแรมสามารถ Generate Gross Profit ได้หมด ทำให้ Gross Profit Margin ของเราปิดปรับปรุงขึ้นมาที่ 37% ในปีที่แล้ว และปีนี้ถ้าเกิดว่าโรงแรมไทยเปิดเต็มปี Gross Profit Margin โดยรวมก็ควรจะดีขึ้นกว่านี้อีก ในส่วนของ Operating Profit Margin เรารักษาได้ที่ 12% ปิดปีไปที่ 1,741 ล้านบาท

หากดูใน Waterfall Graph จะเห็นว่าตัว EBITDA ถ้านับที่ Core EBITDA จริงๆ แล้ว เราก็ถือว่าปิด EBITDA ได้ระดับเดียวกับปีที่แล้ว เพราะว่าปีที่แล้วเองในสัดส่วนของ 4,459 ล้านบาท มีกำไรจากการปรับปรุงมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ดังนั้นเทียบกันแล้วก็ถือว่าตัว EBITDA อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ประมาณ 3,500 ล้านบาท

ในส่วนของงบฐานะการเงิน เราปิดปี 2567 ที่รายงานสินทรัพย์ที่ 72,541 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น เพราะสินทรัพย์ที่เราถือที่ต่างประเทศต้องแปลงกลับมาเป็นค่าเงินบาท ถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมูลค่าของสินทรัพย์ก็จะลดลง เช่นเดียวกับตัวหนี้สิน นอกจากที่เราขายบ้านได้และมีการคืนเงินกู้ไปแล้ว หนี้ต่างประเทศก็เช่นกัน ถ้าแปลงค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น หนี้ต่างประเทศก็ลดลงเช่นกัน เราปิดปีที่ 51,127 ล้านบาท อันนี้ก็เป็นตัวหนี้สินทั้งหมด ในส่วนของหนี้สินต่อทุน Interest bearing Debt to Equity เราก็ยังรักษาระดับที่ 1.5 เท่า ถ้าเกิดว่านับในส่วนของ Net เงินสดไปแล้วก็ประมาณสัก 1.4 เท่า ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่บริษัทรักษาระเบียบวินัยได้ เพราะว่าเรามี Covenant กับทางธนาคารที่ 2 เท่า

ธุรกิจที่พักอาศัย ปีที่แล้วเราปิดรายได้ที่ 3,319 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2566 ที่ผ่านมา ถ้าดูสัดส่วนรายได้แล้วก็ประมาณ 22% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท โดยภาพรวมเรามีโครงการบริหารอยู่ประมาณ 9 โครงการ มีทั้งแนวราบเป็นส่วนใหญ่ 63% และแนวสูงประมาณ 37% ส่วน Backlog ที่อยู่ในสิ้นปี 1,661 ล้านบาท เป็น Backlog จากการขายประมาณเกือบๆ 1,000 ล้านบาท ส่วนมากก็จะเป็นรายได้ที่เรา รับรู้ใน Q1 ปีนี้ ส่วนมากเราก็เห็นทยอยโอนกันแล้วในปีนี้เช่นกัน ก็เรียกว่ามี Good Quality Backlog โอนข้ามมาในปีนี้ด้วย นอกจาก Project ที่เรา Active ที่เรามีบริหารอยู่ในมือเยอะแล้ว ก็มี Backlog คุณภาพที่โอนข้ามมาด้วย

ในตัวของ 9 โครงการที่เราแบ่งกลุ่มเอาไว้ ใน 3 โครงการแรกเป็นโครงการที่เราตั้งใจ จะปิดโครงการในปีที่แล้ว ก็ถือว่าทำได้ใกล้เคียงกับเป้าหมาย เราปิดได้ที่ประมาณ 93% ส่วนสันติบุรีอาจจะเห็นตัวเลข 77% ก็จริงในเชิงของ Transfer แต่ว่า 2 แปลงที่ Delay มาก็มาโอนใน Quarter 1 ปีนี้ เป็น Good Backlog ที่ผมเรียนไปเมื่อหน้าที่แล้ว ในส่วนของโครงการใหม่ที่เปิดเมื่อปีที่แล้วอย่าง ชวน ปัญญา อินทรา หรือว่า ชวน วงแหวน จตุโชติ ก็ถือว่ามียอด Presale ที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เราก็เชื่อว่าโมเมนตัมที่เห็นในครึ่งปีหลังนี้จะโอนกลับมาในปีนี้ด้วย จะรักษาสาโมเมนตัมในการโอนในการขายได้ ปีที่แล้วก็ปิดยอดไปที่ 10% และ 3% ตามลำดับ ส่วน Loster S โครงการ Flagship ของเราในการสั่งสร้าง บ้านสั่งสร้างตัวสุขุมวิท 43 ปิดไปได้ 1 แปลง ปัจจุบันก็อยู่ระหว่างการก่อสร้าง เหลือที่ดินขายอีก 1 แปลง ส่วนโครงการสุดท้ายคือ Center ที่เป็น Home Office ที่พัฒนาการ 32 ปีที่แล้วก็ Transfer ไปแล้ว 3 Unit เหลือแค่ Unit เดียว สำหรับสำหรับการขาย คาดว่าจะปิดได้ภายในปีนี้เช่นกัน

โครงการที่เราจะ Launch ในปีนี้ มี 4 โครงการ 8,800 ล้านบาท โดยหลักจะเป็นโครงการแนวราบเกือบๆ 70% และโครงการคอนโดร่วมทุนประมาณ 30% โดยโครงการคอนโดร่วมทุนของเราตั้งอยู่ที่พระราม 3 ชื่อโครงการ One River พระราม 3 โดยหลักแล้วเรามี Project Value อยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท โครงการเริ่มก่อสร้างไปเมื่อต้นปี 2568 ที่ผ่านมา เราเปิด Presale ไปเมื่อปลายปีที่แล้ว เป็นรอบ VIP และเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ปัจจุบันมี Presale สะสมแล้วประมาณ 80% ถือว่าเป็นการตอบรับจากตลาดที่ดีมากๆ เพราะห้องของเราเป็น Single Corridor ทุกห้องมีทิศหันหาแม่น้ำ และตัวห้องแต่ละ Unit ใหญ่ เราเริ่มต้นที่ 70 ตารางเมตร และ Fortune Sealing 3.4 เมตร ก็ถือว่ามีคุณสมบัติเด่นหลายอย่างสำหรับคอนโดริมน้ำ และราคาต่อตารางเมตรก็ไม่แพงจนเกินไป เริ่มต้นที่ 160,000 บาทต่อตารางเมตร เปิดตัวได้ดี Presale ได้ดี การก่อสร้างก็เป็นไปตามเป้าหมาย คาดว่าจะเริ่ม Transfer กันปี 2570 จะเป็นรายได้หลักให้เรา

อีก 3 โครงการที่เหลือที่เป็นแนวราบที่เราเตรียมจะเปิดตัว โครงการแรกคือ Smith เป็น Product ที่เป็น Cluster Home ที่เราเคยเรียน ว่าเป็นโครงการที่จำนวน Unit ไม่เยอะ แต่ทำเลที่ตั้งมีความอยู่ใกล้เมืองมากขึ้น อย่างอันนี้จะเป็น Smith รามอินทราที่อยู่ตรงเลียบทางด่วน รามอินทรา กม.2 อยู่ใกล้เมืองมากๆ มีแค่ 4 Unit เท่านั้นเอง ตัวบ้านจะเน้นเนื้อที่ เน้นการใช้สอยให้เหมาะกับ ให้เหมาะกับ เรียก ว่า ให้ใช้เนื้อที่อย่างคุ้มค่า ให้เหมาะกับทำเลที่อยู่ในเมือง Unit นึง Package เราเริ่มต้นที่ประมาณ 120 ล้านบาท อันนี้เราก็มีเพียงแค่ 4 Unit เท่านั้น

Smith เกษตร นวมินทร์ อยู่แถบอีกนิดนึง อยู่ตรงแยกสุคนธสวัสดิ์ อยู่ตรงตัด อยู่ตรงเกษตร เกษตร นวมินทร์ ตัดกับโชคชัย 4 อันนี้ก็เราก็เตรียม จะเปิดตัวแล้วเช่นกันในเดือนที่ผ่านมา โดยหลักแล้วอันนี้มีทั้งหมด 10 Unit เริ่มต้นประมาณ 120 ล้านบาทเช่นกัน มีการ Transfer ไปแล้วด้วยบางส่วนสำหรับรอบ VIP เมื่อปลายปีที่แล้ว เราก็เชื่อว่า เกษตร นวมินทร์เองก็จะเป็นตัวหลัก ที่ทำรายได้ให้กับโครงการที่พักอาศัยของเราในปีนี้เช่นกัน

โครงการสุดท้ายที่เตรียมจะเปิดในปีนี้ เป็นแนวราบเช่นกัน คือโครงการ Serene พรานนก-กาญจนา อยู่ตรงเส้นราชพฤกษ์เช่นกัน Serene จะเป็นต่อเนื่องมาจากตัว Serene ราชพฤกษ์-สาย 1 ที่เราเปิดตัวไปเมื่อปี 2566 และได้รับการตอบรับอย่างดี พรานนกเนี่ยก็เรียกว่าถัดออกไป 2 ถนน เป็น Concept มีความแตกต่างกันเล็กน้อย ตัว Serene ราชพฤกษ์-สาย 1 อาจจะมีความโมเดิร์นขึ้นมาหน่อย ส่วน Serene พรานนกจะออกไปทางคลาสสิก Unit ของ Serene พรานนกเองก็จะประกอบด้วย Unit ที่ใหญ่ขึ้นโดยโดยเปรียบเทียบ โดยที่เราก็ เราก็อาศัย ความ อาศัยความคุ้นเคยกับลูกค้าในสิรินธรราชพฤกษ์สาย 1 ว่าลูกค้ามีความต้องการอย่างไร ลูกค้ามีความต้องการลักษณะที่อยู่อาศัยแบบไหนในทำเลนั้น เราก็ Develop มาเป็นโครงการ Serene พรานนก-กาญจนาครับ โดยหลักแล้วมีความสะดวกสบาย ติดกับทางวงแหวนกาญจนา พรานนกตัดใหม่ ด้านหลังเองก็ติดกับถนนบางแวก ซึ่งก็เป็นชุมชนที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว อันนี้จะเป็นโครงการใหญ่ 4,325 ล้านบาท ตัว Unit ทั้งหมดมีประมาณ 81 Unit เริ่มต้น 45-80 ล้าน แต่ว่าส่วนมากแล้วบ้านก็จะเป็นบ้านเออ บ้านก็จะเป็นบ้านไซส์ใหญ่ Design Concept ก็จะเป็นออกเมดิเตอร์เรเนียน คาดว่าจะเริ่ม Transfer ได้ครึ่ง ปีหลังของปีนี้

ธุรกิจโรงแรมทำรายได้ให้กับเราประมาณเกือบๆ 70% ในปีที่ผ่านมา รายได้เรา รายงานที่ 10,352 ล้านบาท ใน Q4 ก็เป็น Q ที่เป็น High Season ของโรงแรมไทยและโรงแรมมัลดีฟส์ เราปิดรายได้ที่ 2,606 ล้านบาท ก็มี ในปี Q1 กับ Q4 ส่วนมากก็จะเป็น Q ที่มี Gross Margin ดี Gross Margin ก็เกือบๆ 40% ถ้าดู Rep ในแต่ละ Region จะเห็นว่า Rep ในแต่ แต่ละ Region เป็นบวกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมไทยที่เราบริหารจัดการเอง โรงแรม Cross Road โรงแรมไทยได้อานิสงส์จากการที่เราปรับปรุงห้องที่ Laguna ภูเก็ต และ PP บางส่วนปีที่แล้ว ถึงแม้จะมีการปิดภูเก็ตไป 9 เดือน ก็เรียกว่ามา Pick Up ได้ในเดือนธันวาคมที่เราเปิดแบบเต็ม เต็มปี ส่วน Cross Road ก็มี Rep ที่บวกจากการที่ปี 2566 มี Correction จากราคาจากครั้งที่นักท่องเที่ยวไปภูมิภาคอื่น แต่ว่าปี 2567 ก็เรียกว่ากลับมาเที่ยวที่มัลดีฟเป็นปกติมากขึ้น Rep ก็มีการบวกจากปีที่แล้วเช่นกันเช่นเดียวกับเกอร์ ที่ผมเรียนแล้วว่าตัว Outrigger Fiji Beach ที่เราปรับปรุงเสร็จเมื่อปี 2566 2565 เนี่ยก็เริ่มทำงานขึ้นเรื่อยๆ ตัว Industry ก็ดี ตัวราคาเองก็ปรับตัวได้มากขึ้น ก็มีการ โกรธ ถึง 15% ในส่วนของเกอร์ รวมทั้ง นะครับที่เราเพิ่งเริ่มเปิดเมื่อต้นปีที่แล้วนะครับก็มีการแว๊บดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะตั้งแต่ปลายคิวเตอร์ ปลายคอเตอร์ 3 เป็นต้นมานะครับตัวเกอร์ก็ Perform ได้ดีมากๆ นะครับส่วน UK ก็เรียกว่าทรงๆนะครับก็เรียกว่าเติบโตตาม GDP Growth ของ UK นั้นนะครับเราก็ปิด Rep Growth ไปที่ 4% ครับ

Guidance ที่อยากให้เห็น ภาพรวม Portfolio ปีนี้โดยภาพรวมยังไงต้องดีขึ้นกว่าปีที่แล้วแน่นอน สาเหตุหลักสำคัญเลยก็คือว่าปีนี้เองโดยเฉพาะโรงแรมในประเทศไทยเราจะไม่มีการปิด ซ่อมบำรุงแล้วนะครับก็เรียกว่าเปิดรับนักท่องเที่ยวเต็มปีแบบเต็มๆนะครับซึ่งก็น่าจะสอดคล้องกับ ภาวะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเติบโตขึ้นในประเทศไทยเช่นกันนะครับเราก็เชื่อว่า Destination อย่างภูเก็ต สมุย PP เนี่ยก็จะตอบโจทย์ตรงนี้นะครับซึ่ง ก็จะทำให้ตัว Rep ของประเทศไทยปีนี้เราเชื่อว่ามีการเติบโตขึ้นแบบมีนัยสำคัญนะครับตัวอย่างนี้ให้เห็นแล้วก็คือว่าภูเก็ตที่ผมเรียนว่าเราเปิดไปเมื่อธันวาคม 2567 ที่ผ่านมานะครับ ADR หรือราคาห้องพักเราเนี่ย Break Record นะครับเราทำได้ที่ 14,000 บาทนะครับซึ่งเราก็ ADR ของภูเก็ตทำไม่เคยถึงมาก่อนนะครับก็เป็นเดือนแรกที่ทำถึง 14,000 บาทนะครับมกราคมโมเมนตัมที่เราเห็นก็ดีอย่างต่อเนื่องนะครับมกราคมเราปิดที่ 16,000 บาทนะครับซึ่งก็เป็น Break Record ADR ติดกัน 2 เดือนติดนะครับดังนั้นเราก็เชื่อว่าทั้งปีเนี่ยยังไงโมเมนตัมของโรงแรมไทยต้องดีแน่นอนนะครับส่วนมัลดีฟส์ก็เช่นกันครับ Q1 ยังไงเป็น Q ที่ ดีผมบดี๊ดอยู่แล้วนะครับก็เราก็เปิด Q1 เดือนมกราคมกุมภาพันธ์เนี่ยเป็นไปตามเป้าหมายนะครับมีการ Growth ทั้งในเชิงของ Occupancy แล้วก็ทั้งในเชิงของ ADR นะครับโดยเฉพาะโรงแรมอันนี้ไม่ได้รวมโรงแรมโซนะครับแต่ว่าพูดให้เห็นว่าโรงแรมของโซของเราเองเนี่ยก็มีการ Pick Up ทั้ง Occupancy และ ADR ที่ดีขึ้นนะครับ Occupancy ของโซเนี่ยก็ไปถึงระดับ 70% แล้วซึ่งเป็นระดับที่เราพอใจมากๆนะครับส่วน เอ่อในช่วงเริ่มต้นน่ะนะครับส่วน ADR ก็เช่นกันนะครับก็ไปถึงระดับประมาณสัก 900 เหรียญแล้วนะครับในช่วงในช่วงเดือนที่เป็น Peak แน่นอน Average ทั้งปีมันอาจจะยังไม่ถึงนะครับแต่อย่างน้อย High Season เนี่ยเรารู้ว่าโรงแรมสามารถดึงบาไปถึงตรงนั้นได้เนี่ยก็แปลว่าว่ามีศักยภาพที่จะทำให้ที่เราสามารถ Yield Rate ในช่วงที่เป็น High Season ได้นะครับอันนี้ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับมัลดีฟส์นะครับส่วน UK ยังไงคงต้องขึ้นอยู่กับภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปนะครับถ้าเกิดว่าเศรษฐกิจของอังกฤษและก็ยุโรปเนี่ยก็เรียกว่าอาจจะ Flat Growth ในปีนี้เนี่ยในส่วนของ Rep ที่เราคาดการณ์ไว้ของ UK เราก็จะมองว่าเป็น Flat นะครับ Upside ของ UK ของเราก็คือจากการที่โรงแรมที่เรา ใส่เงินปรับปรุงไปนะครับไม่ว่าจะเป็น Aden เอดินเบิร์ก นะครับซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวนะครับหรือว่าเลสเตอร์นะครับที่เป็นเมืองท่องเที่ยวของคนในประเทศเนี่ยก็คาดว่าจะเริ่มกลับมามีราคาที่ดีในช่วงซัมเมอร์นี้ของอังกฤษนะครับก็คือช่วงประมาณสักกลาง Q2 ของปีนี้นะครับต่อไปที่ Q3 ครับส่วนฟิจิต้องบอกว่าฐานสูงครับฟิจิเนี่ยRep เป็น Double Digit Growth มา 2 ปีติดแล้วนะครับดังนั้นปีเนี้ยถ้าเกิดว่ามี Single Digit กลางๆ Growth เนี่ยก็ถือว่าเป็นอะไรที่ดีมากๆแล้วเพราะว่า 2 ปีที่ผ่านมาตัวก็จะวิวหลังในตัวของPortfolio ของเรานะครับเช่นเดียวกับMauritius นะครับโมเมนตัมเราคาดหวังว่าจะให้มีอย่างต่อเนื่องนะครับหลังจากที่ ปลาย Q3 ปีที่แล้วนะครับก็มีการเติบโตแบบมีนัยสำคัญ Occupancy Rate กับ ADR เข้าใกล้เกณฑ์ปกติครับต้นปีนี้มาก็ดูดีมากๆนะครับถึงแม้จะยังไม่ใช่ High Season ก็ตามนะครับดังนั้น High Season ของในช่วง เอ่อ Q3 ปีนี้ต้องดีมากๆ

ภาพรวมที่เราจะสะท้อนให้เห็น ปีนี้พระเอกคือไทยเลย ปีที่แล้วเราบอกว่าพระเอกคือฟิจินะครับปีนี้พระเอกคือไทยเลย ไทยเนี่ยควรจะเห็น 20-25% Growth ในเชิงของ Rep นะครับก็คือว่าเอาทั้ง rate เอาทั้ง ADR รวมกันเนี่ย ต้องมีถึง 20-25% เหตุผลแรกเหมือนเดิมนะครับเราไม่ปิดโรงแรมแล้ว ปีที่แล้วเราปิดภูเก็ต 9 เดือน ปีนี้ไม่ปิดแล้วนะครับ เหตุผลที่ 2 คือราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นมาจากการที่เราอัปเกรดProduct ของเรานะครับ ส่วนมัลดีฟส์ฟิจิ อย่างที่ผมเรียนว่าเราก็คาดหวังว่าเป็น Mid Single Mid Mid Single Digit นะครับ เอ่อใกล้ๆกับ Double Digit นะครับจากการที่ Occupancy ช่วยด้วยส่วนหนึ่งนะครับก็เราคาดหวังว่า 5-10% น่าจะเหมาะสมนะครับสำหรับมัลดีฟส์กับฟิจิ UK ทรงๆตามสภาพเศรษฐกิจ นะครับส่วนMauritius มีโมเมนตัมที่ Pick Up มาจาก ปลาย ปลาย Q3 ปีที่แล้วต่อเนื่องมาถึงปีนี้นะครับก็ก็คงจะ Growth ได้ ในระดับ Double Digit เช่นกันนะครับ

เอามาให้เห็น Look & Feel ของทราย Laguna ภูเก็ต หลังจากที่เรา Renovate แล้วก็จะเห็นว่าถ้าใครเคยไปทราย Laguna ภูเก็ตเมื่อก่อนก็จะเป็นออกไทยๆ ออกคลาสสิก ออกไม้ๆ ของเราก็จะปรับ Look ให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น มีความ เหมาะสมกับ Exponential Traveler มากขึ้น ก็มีมุมถ่ายรูปมีอะไรต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ สัมผัสในหลายๆ บรรยากาศครับ ทั้ง เราทำทั้งหมดนะครับทั้ง Main Area ทั้งห้องพักนะครับแล้วก็พวก Dining Station ต่างๆ

ในส่วนของ Commercial Office ปีที่ผ่านมาเราปิดรายได้ที่ 1,134 ล้านบาท คิดเป็น Contribution ที่ 8% โดยภาพรวมจะเห็นว่าเราไม่ได้เป็นห่วง 3 ตึกที่เป็นตึกหลักของเรา Khan Tower S Complex Metro ระหว่างปีมีเข้ามีออกบ้าง แต่โดยเฉลี่ยแล้วใน Occupancy ในระดับ 80 กว่า% ถือว่าเป็นอะไรที่น่าพอใจ เหนือ เหนือ Industry Average ในส่วนของตึก SOSIS เราเริ่มได้ช้าในช่วง 2 ปีแรกที่เปิดก็จริง แต่ว่าปีที่แล้ว เราได้ Anchor Tenant เข้ามาหลายท่าน ทำให้ตัว Close Sales Occupancy ของเราขึ้นไปถึงระดับ 41% ในช่วงปลายปี และอย่างที่ผมเรียนว่า Q1 ที่ผ่านมาก็คือ Q1 ของปีนี้ Close Sales เนี่ยเราขึ้นไปถึงระดับ 50% แล้ว ทำไมเรา ทำไมเราถึงอยากให้ระดับ Occupancy ไปถึง 50% สาเหตุสำคัญเลยก็เพราะว่า 50% เนี่ยเป็นระดับที่ตึกเองเนี่ยก็จะสามารถ ดูแลทั้ง Fixed Fixed Cost ของตัวเองได้ ดูแลทั้ง Debt Service ก็คือ ชำระหนี้ ชำระเงินกู้ให้กับธนาคารได้ นะครับแล้วก็ที่สำคัญก็คือว่าอะไรก็ตามที่เกินจากนี้ไปเนี่ยก็จะเริ่มมี Return กลับมาที่ Owner นะครับ แล้วก็ในขณะเดียวกัน ตัว EBITDA Margin เนี่ยก็จะ Improve แบบมีนัยสำคัญเพราะว่า Fixed Cost มันอยู่นิ่งๆแล้วไม่ได้ไม่ได้ไม่ได้เคลื่อนไหวนะครับดังนั้นตัว กำไรหรือว่ารายได้ที่ทำได้หลังจาก Occupancy เกิน 50% เนี่ยจะเป็น Owner Return เต็มๆนะครับ ดังนั้นเราคาดว่าปีเนี้ยเอาแบบที่สุดๆเลยนะครับRevenue Growth ของ อาคารสำนักงานเนี่ยก็ควรจะมี การเติบโตขึ้นนะครับอย่างน้อยเป็น Mid Single Digit นะครับ ตึกสำคัญ 3 ตึกต้องดำรง Occupancy ให้ได้ 80% เอาไว้ส่วน SOASIS เอ่อ Occupancy เนี่ยควรจะเกิน 50% ซึ่งต้นปีเนี่ยเราก็ Close Sale เกินแล้วแต่ว่าจะทำยังไงให้เฉลี่ยทั้งปีเนี่ยมันสูงกว่านี้อ่าะครับก็เป็นโจทย์ที่ทางเรา Work ต่อในธุรกิจนะการสำนักงานครับ

ในส่วนของธุรกิจ สุดท้ายคือธุรกิจ Infrastructure ปีที่แล้วเราปิดรายได้ที่ 275 ล้านบาท ก็มี Contribution 2% ในส่วนของอาคารสำนักงาน ในส่วนของ Infrastructure ผม ผมอยากให้ดูอย่างงี้นะครับว่าเรามีรายได้ 2 ส่วนนะครับก็คือส่วนที่เกิดจากการขายที่ดินนะครับก็คือประมาณ 76% ของรายได้นะครับแล้วก็ส่วนที่เป็นRecurring Income ก็คือพวกขายน้ำ ขาย ขายตัว เอ่อ ขายตัว บำบัดน้ำเสียนะครับแล้วก็ขายพวกบริการต่างๆให้กับทางลูกค้านะครับอีกประมาณ 24% ก็คือประมาณสัก 6 66 ล้านบาทนะครับอันนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในปี 2567 นะครับซึ่งอย่างที่ผมเรียนนะครับว่าลูกค้าที่เราขายที่ไป ถ้าเปิดโรงงานเราก็จะมีรายได้ส่วนที่เป็นRecurring Income ตรงเนี้ยมากขึ้นนะครับอย่างน้อยๆเห็น 60-80 ล้านบาทต่อปีนะครับซึ่งก็ ถือว่าเป็นอะไรที่ สร้างรายได้ต่อเนื่องให้กับบริษัทนะครับไม่ได้ไม่ได้เป็นไม่ได้ขึ้นอยู่กับรายได้จากการขายที่ดินทั้งหมดนะครับส่วนกำไรจาก โรงไฟฟ้าก็เช่นกันนะครับถึงแม้จะไม่โผล่อยู่ใน Topline จะไม่รวมอยู่ในตัวรายได้ทั้งหมดของบริษัทนะครับแต่ก็จะเห็นว่า Share of Profit ก็คือส่วนแบ่งกำไรจากAssociate เนี่ยนะครับจากบริษัทร่วมเนี่ยนะครับ เอ่อ 3 โรงไฟฟ้า พลังความร้อนร่วมที่เราถือร่วมกับB นะครับเราได้ส่วนแบ่งกำไรมาปีที่แล้วเนี่ย 180 ล้านบาท นะครับซึ่งตรงนี้เองเนี่ยก็จะมาสร้างเป็นฐานกำไรจากธุรกิจต่อเนื่องให้กับเราเช่นกันนะครับ เอ่อโดยที่ 180 ล้านบาทเนี่ยก็ต้องโน๊ตสำคัญๆไว้ก็คือว่าปัจจุบันโรงไฟฟ้าจ่ายไฟให้เพียงการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเท่านั้นนะครับถ้าเกิดว่ามีลูกค้าเปิดโรงงานเพิ่ม แล้วโรงไฟฟ้าได้จ่ายไฟให้กับโรงไฟฟ้า ได้จ่ายไอ้ น้ำให้กับโรงไฟฟ้าเนี่ยตัวโรงไฟฟ้าเองก็จะมีกำไรส่วนเนี้ยมากขึ้นเช่นกันนะครับอันนี้ก็จะเป็นฐานที่สร้างกำไรต่อเนื่องให้กับเราในปีนี้นะครับ ซึ่งถ้าเกิดว่าดูตัว Potential Customer ของปีนี้เองเนี่ยเราคาดหวังว่าเราควรจะปิดการขายที่ดินประมาณ 200 ไร่ ให้ได้ในปีนี้นะครับซึ่งปัจจุบันเนี้ยต้นเอ่อ Q1 นี้เองเนี่ยเราก็ identify กลุ่มลูกค้าหลักๆ ขึ้นมาแล้วนะครับเราชอตลิสต์ลูกค้ามาแล้วเนี่ยได้ประมาณ 240 ไร่นะครับดังนั้นถ้าเกิดว่า เอ่อปิดตรงนี้ได้ทั้งหมดเนี่ยก็คาดว่าจะทำได้เกินเป้าหมายจากการที่เราขายไว้นะครับโดยที่ธุรกิจหลักๆของลูกค้าที่เราเวิร์คกันอยู่นะครับก็จะประกอบด้วยธุรกิจอาหารธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์นะครับแล้วก็รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์นะครับก็เชื่อว่าถ้าเกิดว่าปิดได้ตามนี้จริงนะครับก็จะทำให้รายได้และกำไรของมิคมอุตสาหกรรมปีเนี้ยได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอนนะครับ

โดยสรุป, สิงห์ เอสเตท ในปี 2567 มุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างรายได้ประจำและรายได้จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์, การเติบโตของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย และการขยายฐานลูกค้าในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน

นั่นคือส่วนของการ บรรยายทั้งหมดนะครับข้อมูลนำเสนอของบริษัทสิงห์Estateนะครับสำหรับผลประกอบการประจำปี 2567 นะครับ ในส่วนต่อไปก็ขออนุญาตให้สำหรับ เป็นคำถามนะครับจากทาง นักลงทุนนะครับ

ยังไงระหว่างนี้ขออนุญาตอัปเดตเนื้อหาของหุ้นกู้นะครับที่เราปิดไปเมื่อมกราคมที่ผ่านมานะครับ สิงห์เอสเตทเราขายหุ้นกู้ไป 1 ล็อตนะครับในช่วงมกราคมคมของปีนี้ที่ผ่านมานะครับเราก็ปิดตัว ปิดตัวหุ้นกู้นะครับด้วยยอด 2,000 ล้านบาทนะครับก็มีทั้งรุ่น 3 ปีแล้วก็ 2 ปีนะครับ 3 ปีเราขายที่ 5% นะครับแล้วก็ 2 ปีเราขายที่ 4.5% นะครับก็ได้ยอดรวมมา 2,000 ล้านบาทนะครับก็ขอบคุณท่านนักลงทุนทุกท่านนะครับเราก็เชื่อว่าการได้ เอ่อเงินระดมทุนจากหุ้นกู้เนี่ยนะครับแล้วเราเอาไปคืนธนาคารส่วนหนึ่งเอามาใช้ในการขยายธุรกิจส่วนหนึ่งเนี่ยก็จะเป็นส่วนสำคัญให้ตัวทางเลือกในการระดมทุนของบริษัทเนี้ยมีมากขึ้นนะครับแต่เดิมเราพึ่งเงินจากธนาคารวงเงินจากธนาคารเนี่ย 100% แต่พอมีหุ้นกู้มาเป็นทางเลือกเนี่ยส่วนหนึ่งเราก็ต่อมีอำนาจต่อรองกับทางธนาคารมากขึ้นนะครับส่วนหนึ่งเองเนี่ยเราก็ได้ เรียกว่ากระจายความเสี่ยงนะครับในการที่สมมุติว่าธนาคารอาจจะไม่ไม่ได้มีนโยบายเอ่อปล่อยกู้อสังหาริมทรัพย์ในอนาคตสมมุติ นะครับเราก็จะมีทางเลือกจากตลาดหุ้นกู้มากขึ้นแต่ในขณะเดียวกันถ้าเกิดว่าตลาดหุ้นกู้เอง ไม่ได้ตอบรับดีมากหรือว่าสภาพคล่องหายไปเนี่ยเราเองก็ยังเป็นพันธมิตรที่ดีกับทางธนาคารนะครับเพราะว่าวงเงินที่เราคืนธนาคารไปเนี่ยมันก็ทำให้เรามีความสามารถในการกู้ เพิ่มขึ้นนะครับดังนั้นเราก็ถือว่าการการขายการขายหุ้นกู้ของเราอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2566 2567 2568 เนี่ยก็เป็นอะไรที่ทำให้ตัวบริษัทเองเนี่ยมีความมั่นคงทางการเงินมากขึ้นมีตัวเลือกในการระดมทุนมากขึ้นนะครับอันนี้ก็ถือว่าขอบคุณท่านนักลงทุนทุกท่านนะครับที่เข้ามาสนับสนุนในการซื้อหุ้นกู้ของบริษัทครับ

นั่นคงเป็นเนื้อหาทั้งหมดนะครับที่ทางบริษัทได้นำเสนอใน ในประจำปี 2567 นี้นะครับยังไงติดตามผลประกอบการของบริษัทในรอบถัดๆไปนะครับก็ขอขอบพระคุณเวลาสำหรับนักทุกท่านนะครับสวัสดีครับ


ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): เริ่ม นาทีที่ 23:58

พิธีกร: ค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์นะคะ ลำดับถัดไปเป็นช่วงถามตอบนะคะ เรียนเชิญนักลงทุนสอบถามได้เลยค่ะ

นักลงทุน 1: สวัสดีครับ เอ่อ ผมมีคำถามเกี่ยวกับธุรกิจโรงแรมนะครับ อยากทราบว่าสัดส่วนรายได้จากลูกค้าต่างชาติและลูกค้าคนไทยเป็นอย่างไรบ้างครับ และมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในอนาคต

CFO: ครับ ขอบคุณสำหรับคำถามครับ ในปีที่ผ่านมา สัดส่วนรายได้จากลูกค้าต่างชาติอยู่ที่ประมาณ 70% และลูกค้าคนไทยอยู่ที่ 30% นะครับ แต่เรามองว่าในอนาคตสัดส่วนของลูกค้าคนไทยจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเรามีการทำการตลาดในประเทศมากขึ้น และมีการปรับปรุงโรงแรมให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าคนไทยมากขึ้นด้วยครับ

นักลงทุน 2: สวัสดีค่ะ ดิฉันมีคำถามเกี่ยวกับธุรกิจที่พักอาศัยค่ะ อยากทราบว่ามีแผนการเปิดโครงการใหม่ๆ ในปีนี้อย่างไรบ้าง และจะเน้นโครงการประเภทใดเป็นพิเศษคะ

CFO: ครับ สำหรับธุรกิจที่พักอาศัย ในปีนี้เรามีแผนการเปิด 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 8,800 ล้านบาท โดยจะเน้นโครงการแนวราบเป็นหลัก เนื่องจากเรามองว่าตลาดแนวราบยังมีความต้องการสูง และมีการแข่งขันไม่สูงเท่าโครงการแนวสูงครับ นอกจากนี้เรายังมีโครงการคอนโดร่วมทุน One River พระราม 3 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากครับ

นักลงทุน 3: สวัสดีครับ ผมมีคำถามเกี่ยวกับธุรกิจอาคารสำนักงานครับ อยากทราบว่ามีแผนการเพิ่ม Occupancy ของตึก SOASIS อย่างไรบ้างครับ

CFO: ครับ สำหรับตึก SOASIS เรามีแผนการเพิ่ม Occupancy โดยการทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้น, การปรับปรุงพื้นที่ส่วนกลางให้มีความน่าสนใจมากขึ้น และการเจรจากับผู้เช่ารายใหญ่ๆ เพื่อดึงดูดให้เข้ามาเช่าพื้นที่ในตึกของเราครับ นอกจากนี้เรายังมีการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เช่าปัจจุบัน เพื่อให้ต่อสัญญาเช่าต่อไปในอนาคตครับ

นักลงทุน 4: สวัสดีครับ อยากทราบว่าธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเป็นอย่างไรบ้างในปีนี้ครับ

CFO: ครับ สำหรับธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม เรามองว่าในปีนี้ยังมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากมีการย้ายฐานการผลิตจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น และรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม เราจึงคาดว่าจะสามารถขายที่ดินได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ครับ นอกจากนี้เรายังมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ในนิคมอุตสาหกรรม เช่น การขายน้ำ, การบำบัดน้ำเสีย, และธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ที่ต่อเนื่องให้กับบริษัทครับ


ชื่อหัวข้อที่ถามและคำตอบที่ผู้บริหารตอบ

  1. สัดส่วนรายได้จากลูกค้าโรงแรม: ต่างชาติ vs. ไทย
  2. แผนการเปิดโครงการใหม่ในธุรกิจที่พักอาศัย
  3. แผนการเพิ่ม Occupancy ของตึก SOASIS
  4. แนวโน้มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมในปีนี้

โพสต์ล่าสุด