บทความ ข่าวสาร กิจกรรม

FM โชว์ผลงานปี 67 โตกระโดด กวาดรายได้ทะลุเป้า! พร้อมลุยแผนปี 68 ตั้งเป้าโตต่อเนื่อง 12-15%
P/E 5.24 YIELD 9.41 ราคา 3.72 (2.76%)
FM โชว์ผลงานปี 67 โตกระโดด กวาดรายได้ทะลุเป้า! พร้อมลุยแผนปี 68 ตั้งเป้าโตต่อเนื่อง 12-15%
วันนี้ทางกลุ่มบริษัท Food Moment ขอต้อนรับนักลงทุนรวมถึงผู้ที่สนใจ เข้ามาฟังข้อมูลธุรกิจและผลประกอบการของกลุ่มบริษัท Food Moment จำกัด มหาชน ในรอบปีที่ผ่านมา โดยผู้ที่นำเสนอข้อมูลจะมีคุณณัฐพล ยุติธาดา เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มบริษัท Food Moment และนายสุเมธ มาศิริรังษี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของกลุ่มบริษัท Food Moment
หัวข้อในวันนี้ จะขอให้ทางคุณณัฐพล นำเสนอข้อมูลในเรื่องของตัว Company Profile ก่อน แล้วก็ตามมาด้วยตัว Highlight ที่เด่นๆ ในรอบปี 2567 ที่ผ่านมา
Food Moment เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากไก่ โดยมีเป้าหมายคือการเป็นผู้ผลิตชั้นนำของผลิตภัณฑ์ไก่สดแช่แข็ง และผลิตภัณฑ์ไก่แปร รูป เพื่อป้อนให้กับลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตอาหารหรือผู้จัดจำหน่ายอาหารที่เป็นแบรนด์ดังๆ ระดับโลก ซึ่งมีองค์ประกอบหลักที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้ 3 ส่วน
- Supply Chain การผลิตตั้งแต่ Feed Farm Food ที่มีมาตรฐานเป็นระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของตัวสินค้าเอง รวมถึงกระบวนการผลิตต่างๆ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ที่ใส่ใจในเรื่องของ Animal Welfare ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
- มีฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่ม Premium Global Brand ต่างๆ ที่ทำธุรกิจด้วยกันมาเป็นระยะยาว เรียกว่าเป็น Long Term Partner การที่มีลูกค้ากลุ่มนี้เป็นพันธมิตร ทำให้มีตลาดที่เป็นเฉพาะออกมา ไม่ต้องเข้าไปต่อสู้ในตลาดที่เป็น Red Ocean หรือในตลาดที่มีลักษณะการขายแบบ Commodity มากนัก
- ธุรกิจมีการมุ่งเน้นไปในเรื่องของการเพิ่มมูลค่าในทุกผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะไก่แปร รูปปรุงสุก เน้นในเรื่องของการนำมาแปร รูป และการทำ R&D ให้สินค้ามีลักษณะที่โดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งขัน ทำให้สามารถ Maintain Margin ของการขายให้มีสม่ำเสมอ
ปัจจุบันมีอยู่ 2 โรงงาน โรงชำแหละไก่มาตรฐานส่งออก มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 144,000 ตัวต่อวัน และโรงงานไก่แปร รูปปรุงสุก มีกำลังการผลิตในปัจจุบันอยู่ที่ 27,000 ตันต่อปี
หัวใจหลักของการบริหารธุรกิจไก่ มีอยู่ 2 ส่วนด้วยกัน คือ การมุ่งเน้นไปที่เรื่องของการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ทุกๆ ผลิตภัณฑ์ ตัวไก่มีชีวิตที่เข้ามาเป็นวัตถุดิบหลักของบริษัท ก็จะถูกนำมา process ต่างๆ แล้วก็นำมาแปร รูปให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ได้ Profit สูงสุด รวมถึงส่วนที่ 2 ก็คือหัวใจสำคัญ คือการบริหารจัดการในเรื่องของการตลาด และก็ช่องทางการจัดจำหน่าย
สินค้าแต่ละ Part ต้องมาวางแผนกัน ทำกลยุทธ์กันว่าจะจัดจำหน่ายไปในช่องทางไหน ที่จะทำให้ได้ราคา ได้ Margin ได้ความ Premium สูงที่สุด ซึ่งถือเป็นโชคดีของอุตสาหกรรมไก่ไทย ที่ในปัจจุบันมีการ Balance Part และก็ Balance ตลาดต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม และก็มีประสิทธิภาพ อย่างเช่นตัวเนื้ออก จะเน้นไปที่การส่งไปตลาดกลุ่มยุโรป และกลุ่มตะวันออกกลางเป็นหลัก กลุ่มเนื้อปีก จะเน้นตลาดเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นจีน หรือญี่ปุ่น กลุ่มเนื้อน่อง จะเน้นไปเรื่องของการแปร รูป เลาะกระดูก ตัดแต่ง หรือทำแปร รูปเป็นไก่คาราเกะ ส่งไปตลาดญี่ปุ่น
เรื่องของ Chicken Feet หรือว่าตีนไก่ อันนี้เป็นชิ้นส่วนไก่ที่มีมูลค่าสูงสุดในตัวไก่เลย ราคาต่อกิโลแพงที่สุดในตัวไก่ สามารถจำหน่ายไปที่ตลาดประเทศจีน ซึ่งเป็นสินค้าที่ขาดแคลนอยู่ตลอด และตีนไก่จากไทย มีคุณภาพที่ Premium กว่าตีนไก่จากประเทศอื่นๆ ทำให้ลูกค้ายอมจ่าย Premium ตรงนี้ รวมถึง By Product ก็เป็นอีกกลุ่มผลิตภัณฑ์หนึ่ง ที่มีการบริหารจัดการ นำมาตัดแต่งแปร รูป แล้วก็เพิ่มมูลค่า ในส่วนตลาดที่จะไปก็ตลาดส่งออกไปมาเลเซีย หรืออีกตลาดใหญ่ อันนึงก็คือการนำไปผลิตจำหน่ายให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย นำไปแปร รูปอีกขั้นหนึ่ง
โครงสร้างรายได้ แบ่งโดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ แบ่งใหญ่ๆ ได้ 2 กลุ่ม คือ เนื้อไก่สด คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 60% ของ Food Moment และไก่แปร รูปปรุงสุก Generate ประมาณ 40% ของรายได้รวมของ Food Moment หรือถ้าแบ่งตามตลาด ก็เรียกว่าครึ่งๆ ไก่ที่ผลิต ก็จะครึ่งนึงไปส่งออก ครึ่งนึงจำหน่ายในประเทศ ถ้ามองเฉพาะกลุ่มที่ส่งออก ก็ต้องเรียกว่าปัจจุบันส่งออกมากกว่า 10 ประเทศ ทั้งในประเทศไทย ประเทศกลุ่มเอเชีย กลุ่มยุโรป ละตินอเมริกา และรวมถึงตลาดใหม่ ก็คือตะวันออกกลาง
Highlight ของผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ก็ต้องเรียกว่า ปีที่ผ่านมาผลการดำเนินงานออกมาได้ดีกว่าเป้าที่วางไว้ โดยหลักๆ มาจาก 5 ส่วนด้วยกัน คือ ยอดขายที่เติบโตทั้งในเรื่องของไก่แปร รูป ปีที่แล้วปิดปีที่ 24,400 ตัน เทียบกับปี 2566 ที่ขายที่ 14,500 ตัน ก็เรียกว่าโตขึ้นมา 40% เลย ในส่วนของเนื้อไก่สด ปีที่แล้วปิดที่ 77,000 ตัน เทียบกับปี 2566 อยู่ที่ 61,000 ก็โต 25%
ส่วนของตลาดที่เปิดใหม่ในปีที่แล้ว มีหลักๆ 2 ส่วน คือ ตลาดตะวันออกกลาง คือประเทศ UAE และตลาดรัฐซาบา ของมาเลเซีย ซึ่งสองตลาดนี้เป็นตลาดใหม่สำหรับประเทศไทย Food Moment เป็นกลุ่มแรกๆ ที่เข้าไปเปิดตลาดได้สำเร็จ โดย UAE เป็น 1 ใน 17 โรงงานแรก ที่ได้รับการรับรองส่งออกไป UAE ส่วนซาบา เป็น 1 ใน 4 โรงงานเท่านั้นเอง ที่ได้รับการรับรองไปซาบา ของมาเลเซีย ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้เรียก ว่าเป็นตลาดที่ยังเป็น Blue Ocean อยู่ การแข่งขันอะไรต่างๆ ก็ยังไม่ดุเดือด
ส่วนที่ 3 คือการที่มุ่งเน้นไปที่ Segment ของกลุ่ม QSR หรือว่า Chain Restaurant ที่มีเป็นแบรนด์ระดับโลก มีสาขาอยู่ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเอง กลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่เข้าไปเปิดตลาดได้ โตอย่างชัดเจนในปีที่ผ่านมา โดยเปิดจากในประเทศไทยก่อน แล้วก็มี Network ที่โตออกไปในประเทศต่างๆ ที่เป็นแบรนด์เดียวกันในเอเชีย เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์
ในเรื่องของผลิตภัณฑ์ หรือการ R&D ปีที่แล้วมี New Product Launch ออกมามากกว่า 50 SKU โดยมี 2 SKU ที่เรียกว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก มีความแตกต่างในเรื่องของคุณภาพ แล้วก็ลักษณะการนำไปใช้งานนำไปบริโภค ที่ตอบโจทย์ลูกค้า ก็ทำให้ยอดขายมากกว่า 50 ล้านบาท ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็น New Product ในตลาดญี่ปุ่นและยุโรป
กลยุทธ์ที่เน้น คือในเรื่องของการ Customization ตัว Production Line โดยเฉพาะไก่แปร รูป เน้นในเรื่องของการ Modify รายการผลิต และก็การทำ Contract Manufacturing กับลูกค้ารายที่เป็น Partner ก็เรียกว่าเป็นการวางแผน และก็ทำธุรกิจกันในระยะยาว
สำหรับตัว Part ที่เป็นข้อมูลทางการเงิน สำหรับรอบปีที่ผ่านมา ตัวสไลด์ จะขอนำเสนออยู่ 4 Part
- นำเสนอข้อมูลผลประกอบการ เทียบ Q on Q แล้วก็ Year on Year
- แสดงภาพให้เห็นว่า บริษัทในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างไรบ้าง รวมถึงตัวอัตรากำไรขั้นต้น
- สรุปผลการดำเนินงานในรอบปี 2567 เทียบกับปี 2566 ว่าเติบโตอย่างไร และก็โดดเด่นตรงไหนบ้าง
ในเรื่องของตัวผลประกอบการ เมื่อเทียบผลประกอบการไตรมาส 4 ที่ผ่านมาเทียบกับไตรมาส 3 ก่อนหน้า ตัวรายได้ปิดตัวเลขอยู่ที่ 1,878 ล้านบาท เติบโตขึ้นอยู่ที่ 41 ล้าน หรือคิดเป็นบวกขึ้นมา 2.2% ในเชิงผลกำไร ปิดตัวเลขไตรมาส 4 กำไรทำได้อยู่ที่ 183 ล้านบาท เติบโตขึ้นมา 21 ล้านบาทจากไตรมาส 3 บวกขึ้นมา 13% ถัดมาดูตัวเลขผลประกอบการ ที่เป็น Year on Year ไตรมาส 4 ปีนี้เทียบกับไตรมาส 4 ปีก่อน รายได้เติบโตขึ้นมา 461 ล้านบาท เติบโตขึ้นมาคิดเป็น 32.8% ส่วนผลกำไร ปิดตัวเลขได้ 183 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาถึง 182 ล้าน หรือบวกขึ้นมา 18,000%
ตัวเลขผลประกอบการ 12 เดือน เทียบกันปี 2567 และ 2566 รายได้ปิดตัวเลข 7,340 ล้านบาท รายได้ปรับตัวสูงขึ้นมาจากปีก่อน จำนวน 1,570 ล้าน หรือคิดว่ารายได้เพิ่มขึ้นมา 27.2% ส่วนผลกำไร ทำกำไรทั้งปีได้ที่ 716 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาจากปีก่อน จำนวน 481 ล้าน คิดเป็นตัวกำไรสูงขึ้นมา 205%
ผลประกอบการรวมในเชิงรายได้ เฉลี่ยในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 12.21% โดยปิดปี 2567 ตัวเลขรายได้รวมกลุ่มบริษัททำได้ 7,340 ล้านบาท โตจากปี 2566 ซึ่งมีรายได้อยู่เพียง 5,770 ล้านบาท แยกตามประเภทธุรกิจ รายได้ของธุรกิจที่เป็นตัวไก่ชำแหละ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 15.6% ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ปิดปี 2567 รายได้ของตัวธุรกิจไก่ชำแหละอยู่ที่ 4,400 ล้านบาท ในขณะที่ปีที่แล้วอยู่ที่เพียง 3,560 ล้าน
ส่วนที่เป็นของตัวธุรกิจไก่แปร รูปปรุงสุก มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 7.17% ปิดปี 2567 รายได้ของธุรกิจไก่แปร รูปปรุงสุก อยู่ที่ 2,940 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่เพียง 2,220 ล้านบาท
ภาพรวมของกลุ่มบริษัท GP ปิดตัวเลขอยู่ที่ 14.86% สูงขึ้นมาจากปีก่อนหน้า 5.29% GP ของธุรกิจไก่ชำแหละ ปิดตัวเลข GP อยู่ที่ 10.34% เทียบกับปีก่อนหน้าเติบโตขึ้นมา 6% สำหรับธุรกิจไก่แปร รูปปรุงสุก GP 2567 ปิดตัวเลขอยู่ที่ 17.7% เทียบกับปีก่อนหน้า เติบโตขึ้นมา 1.95%
ผลประกอบการในปี 2567 เทียบกับปี 2566 มีอัตราการเติบโตอย่างไรบ้าง Revenue ปิดตัวเลขอยู่ที่ 7,340 ล้านบาท เติบโตจากปี 2566 ขึ้นมา 27% ส่วนตัวอัตรากำไรขั้นต้น ปิดตัวเลขอยู่ที่ 14.86% ในขณะที่ปี 2566 อยู่ที่ 9.27% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ปิดตัวเลขอยู่ที่ 4.29% ของยอดขาย ปรับตัวสูงขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 4.21%
ในเรื่องของตัวดอกเบี้ยจ่าย หรือว่าต้นทุนทางการเงิน สามารถควบคุมตัวเลขให้อยู่ที่ประมาณ 0.42% เมื่อเทียบกับปีก่อน มันอยู่ที่ 0.76% ทำให้ภาพรวมในตัวของกำไรทั้งปี 2567 ปิดตัวเลขอยู่ที่ 716 ล้านบาท คิดเป็น 9.75% ของยอดขายรวม ในขณะที่ปี 2566 มีกำไรอยู่เพียง 235 ล้าน หรือคิดเป็น 4.08% อัตรากำไรสุทธิเติบโต Double
ผลประกอบการในรอบปี รอบ 3 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างไรบ้าง ผลประกอบการรวมในเชิงรายได้ เฉลี่ยในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 12.21% โดยปิดปี 2567 ตัวเลขรายได้รวมกลุ่มบริษัททำได้ 7,340 ล้านบาท โตจากปี 2566 ซึ่งมีรายได้อยู่เพียง 5,770 ล้านบาท แยกตามประเภทธุรกิจ รายได้ของธุรกิจที่เป็นตัวไก่ชำแหละ มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 15.6% ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ปิดปี 2567 รายได้ของตัวธุรกิจไก่ชำแหละอยู่ที่ 4,400 ล้านบาท ในขณะที่ปีที่แล้วอยู่ที่เพียง 3,560 ล้าน
ส่วนที่เป็นของตัวธุรกิจไก่แปร รูปปรุงสุก มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 3 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 7.17% ปิดปี 2567 รายได้ของธุรกิจไก่แปร รูปปรุงสุก อยู่ที่ 2,940 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่เพียง 2,220 ล้านบาท
ภาพรวมของกลุ่มบริษัท GP ปิดตัวเลขอยู่ที่ 14.86% สูงขึ้นมาจากปีก่อนหน้า 5.29% GP ของธุรกิจไก่ชำแหละ ปิดตัวเลข GP อยู่ที่ 10.34% เทียบกับปีก่อนหน้าเติบโตขึ้นมา 6% สำหรับธุรกิจไก่แปร รูปปรุงสุก GP 2567 ปิดตัวเลขอยู่ที่ 17.7% เทียบกับปีก่อนหน้า เติบโตขึ้นมา 1.95%
ปีที่ผ่านมา ตัวฐานะทางการเงินมีความโดดเด่นไม่แพ้กับเรื่องของตัวผลกำไรขาดทุน ในเรื่องของสินทรัพย์ ปิดตัวเลขสิ้นปี มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 1,236 ล้านบาท หรือปรับตัวขึ้นมาจากปีก่อน 36% สินทรัพย์เพิ่มขึ้นมาจากเงินสดที่ได้รับจากการระดมทุน IPO ทำให้ตัวเงินสดปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท ในขณะเดียวกันมีเรื่องของตัวลูกหนี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากว่ามีปริมาณการขาย ประมาณปลายไตรมาส 4 ที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ตัวปริมาณลูกหนี้ ปรับตัวสูงขึ้นตามยอดขาย ก็คือบวกเพิ่มขึ้นมาประมาณ 166 ล้าน
ปีที่ผ่านมา ผู้บริหารมีการบริหารจัดการในเรื่องของตัว Stock คงคลังได้เป็นอย่างดี แต่เดิมอัตราหมุนเวียนของตัวสินค้าคงเหลือ อยู่ที่ประมาณ 60 วัน ในปี 2567 มีการบริหารจัดการ ทำให้ปริมาณอัตราหมุนเวียนสินค้าคงคลัง ลดลงเหลือเพียงแค่ 40 วัน ทำให้ปริมาณ Volume ของ Stock ลดลงประมาณ 250 ล้าน ทำให้บริษัทมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น ปิดปีทำให้ตัวสินทรัพย์ของบริษัท อยู่ที่ 4,703 ล้าน
หนี้สินในปี 2567 ลดลงประมาณ 125 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน ลดลงมาประมาณ 9% หนี้สินที่ลดลง คือเป็นการลดลงของตัวเงินกู้ยืมจากธนาคาร เนื่องจากผลประกอบการเติบโตเป็นอย่างมาก ทำให้บริษัทมี Cash รวมถึงมีการบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้เป็นอย่างดี ทำให้เงินสดมีสภาพคล่องมากขึ้น ก็นำไปชำระเงินกู้ยืมจากธนาคาร ทำให้เงินกู้ยืมจากธนาคาร ลดลงประมาณ 254 ล้าน มีการขายช่วงปลายไตรมาส 4 เพิ่มขึ้น ทำให้มีการซื้อวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณเจ้าหนี้เพิ่มสูงขึ้นประมาณ 126 ล้าน ทำให้ปิดปี 2567 หนี้สินลดลงเหลือแค่ 1,269 ล้านบาท
ทุนในสิ้นปี 2567 มีการเพิ่มขึ้นประมาณ 1,362 ล้านบาท เทียบกับปีก่อน มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 66% หลักๆ ก็มาจาก 2 ส่วน ในเรื่องของตัวบริษัท ได้ระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ มีการออกหุ้น IPO ใหม่ ทำให้มีในส่วนของ Equity เพิ่มขึ้นมาประมาณ 1,045 ล้านบาท ผลประกอบการในปี 2567 ดีมาก มีกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จเพิ่มขึ้นมาประมาณ 713 ล้านบาท ในระหว่างปี บริษัทก็มีการจ่ายเงินปันผลออกไป อยู่ที่ 396 ล้าน ทำให้ปิดปี 2567 ตัวเลขของ Equity อยู่ที่ 3,434 ล้าน
อัตราส่วนทางการเงินของกลุ่มบริษัท ปี 2567 Ratio DE อยู่ที่ 0.37 เท่า ส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน มีอยู่เพียงแค่ 0.11 เท่าเท่านั้น Ratio ตรงนี้มีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทมีการบริหารจัดการตัวหนี้สินและทุนได้เป็นอย่างดี อัตราผลตอบแทนไม่ว่าจะเป็น ROE หรือ ROA ปี 2567 ตัว ROE ปิดอยู่ที่ 20.8% และก็ตัว ROA อยู่ที่ 15.2% เติบโตเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2566 ผลประกอบการที่มันดีขึ้น
วงจรเงินสด ลดลงทุกปีๆ จนมาในปี 2567 วงจรเงินสด เหลือเพียงแค่ 19 วัน เมื่อเทียบกับปี 2566 ลดลงมาเกือบ 10 วัน บริหารจัดการเรื่องตัว Stock โรงพราง อัตราการหมุนเวียนของ Stock จาก 60 วันเหลืออยู่ 40 วัน ทำให้บริษัทมีสภาพคล่อง มีเงินสดเข้ามาเร็วขึ้น
บริษัทมีการวางเป้าหมาย และก็วางกลยุทธ์ในการที่จะทำให้รายได้ในปี 2568 เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 12-15% โดยเป็นการเติบโตในส่วนที่เป็นของธุรกิจไก่แปร รูปปรุงสุกอยู่ที่ 20-25% ธุรกิจไก่ชำแหละอยู่ที่ 5-7% มีการวางแผนเพื่อจะรักษาระดับตัว Margin ให้อยู่ใน Range ระหว่าง 12-15% SGA ไม่เกิน 5% ของยอดขาย ส่วนเรื่องต้นทุนทางการเงิน พยายามบริหารจัดการไม่ให้เกิน 0.5% ของยอดขาย อัตราดอกเบี้ย จะ Maintain ตัว Effective Tax Rate ให้อยู่ใน Range ระหว่าง 12-15% โดยที่มีงบลงทุนในปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 300-400 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแผนการระดมทุน และก็แผนการใช้เงิน IPO
เรื่องของตัวต้นทุนวัตถุดิบ ที่เป็นต้นทุนหลักที่ใช้ในการผลิต ก็คือจะมีเรื่องของตัวกากถั่วเหลือง แล้วก็ตัวข้าวโพด รวมถึงราคาลูกไก่ Trend ตาม Graph มีแนวโน้มลดลงทุกปี และก็ในปี 2568 ต้นทุนจะค่อนข้างที่จะ Stable เมื่อเทียบกับ 2567 เรื่องของตัวต้นทุนวัตถุดิบ ไม่ได้คาดการณ์ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นสาระสำคัญ น่าจะส่งผลเชิงบวกกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท
ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 4 ของโลก ในเรื่องของไก่ เนื้อไก่สดแช่แข็ง และเป็นเบอร์ 1 ของโลกมาตลอด ต่อเนื่องหลายปี ในส่วนของไก่แปร รูปปรุงสุก ทิ้งห่างคู่แข่งอย่างมาก
สำหรับปี 2568 Outlook มองใน 4 มิติที่แยกจากกัน ในเรื่องของต้นทุน ต้นทุนหลักของการผลิตไก่ของไทย ก็คือ ข้าวโพด และกากถั่วเหลือง สำหรับประมาณการปีนี้ ผลวิเคราะห์หลายๆ สำนัก ก็ตรงกันว่าจะอยู่ในระดับทรงตัว หรือปรับตัวลงเล็กน้อย ในเรื่องของ Demand มีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ เศรษฐกิจทั่วโลกตอนนี้อยู่ในช่วงชะลอตัว ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่นหรือว่ายุโรป ก็มีความ ผลกระทบจากเรื่องเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยน ที่เป็นความผันผวน แล้วก็อาจจะมีผลทำให้ต้นทุนในการนำเข้าอาหาร ของกลุ่มประเทศเหล่านี้สูงขึ้น อันนี้เป็นความท้าทาย เนื่องจากประเทศเหล่านี้เป็น Net Importer เรื่องของอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค พึ่งพิงการนำเข้าเป็นหลัก ซึ่งอันนี้มันก็จะมีปัจจัยบวกที่เกี่ยวเนื่องกันมา ก็คือเรื่องของ Trend การบริโภคโปรตีน ที่มีราคาถูก ก็คือเนื้อไก่ และก็เรื่องของ Trend การบริโภคสินค้า ที่ ราคาเข้าถึงได้ง่ายกว่า สะดวกกว่า แล้วก็ไม่แพง ก็คือเรื่องของสินค้าสำเร็จรูป Ready to eat ต่างๆ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ ชะลอตัว ก็ทำให้การเติบโตทั้งการบริโภคไก่ และก็การบริโภคสินค้าสำเร็จรูป เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นปัจจัยที่เกื้อหนุน ทำให้สินค้าไก่ส่งออกจากไทย เป็นภาพที่เป็นปัจจัยเชิงบวก
ในมิติของ Supply ช่วงเดือนนึงที่ผ่านมา มีคำถามเข้ามาเยอะจากสถานการณ์ไข้หวัดนก ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เป็นผู้ผลิตไก่อันดับต้นๆ ของโลก ได้รับผลกระทบจากไข้หวัดนกระบาด ในฝั่ง Eastern Europe ซึ่งเป็นผู้ผลิตไก่ รายใหญ่ด้วยเหมือนกัน ก็ได้รับผลกระทบตรงนี้เช่นกัน ปีนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า Supply ไก่ในตลาดโลก จะลดลง ซึ่งแน่นอน ไก่ไทยที่ผลิต แต่ละปี 20% ส่งออก เพราะฉะนั้นการที่ Supply ของโลก เปลี่ยนแปลง มันก็จะกระทบ กับ Supply หรือ Demand ของไก่จากไทยแน่นอน
ทั้งหมดทั้งมวล ก็มาถึง Bottom Line ที่เป็นเรื่องของ Selling Price ในปีนี้ จากทั้งปัจจัย ในมิติของต้นทุนที่ลดลง Demand ที่อยู่ใน Trend ที่เติบโตขึ้น Supply ที่ลดลงจากทั่วโลก ปีนี้คาดการณ์ว่า ราคาขายของไก่ ไม่น่าจะต่ำกว่าราคาเฉลี่ยของปีที่แล้วแน่นอน อาจจะเติบโต อาจจะเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อย
ในส่วนแรกคือส่วนในเรื่องของการลงทุน ในเรื่องของฝั่งการผลิต เราก็มีแผนที่ชัดเจน ในการนำเงินที่ระดมทุนจาก IPO มาขยายใน 3 ส่วน คือขยายกำลังการผลิตไก่แปร รูป ทั้งหมดจะใช้เงินประมาณ 550 ล้าน โดยเฉพาะ Phase ที่ 1 ที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 นี้ โดยประมาณ 200 ล้าน ก็จะเริ่ม Invest เข้าไป เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตของไก่แปร รูปปรุงสุก และส่วนที่ 2 คือการขยายกำลังการผลิต ของโรงชำแหละไก่ โดยการนำระบบ Automation เข้ามา ปีนี้มีการลงทุนน่าจะประมาณ 100 ล้าน จากงบที่วางไว้ 3 ปี ที่ 350 ล้าน แล้วก็ส่วนสุดท้าย คือแผนที่จะขยายธุรกิจเข้าไปในธุรกิจที่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะเน้นในเรื่องของการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ By Product จากไก่ ของ Food Moment ก็คือการเข้าไปลงทุนในธุรกิจ Pet Food ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการดำเนินการหา Partner ที่เหมาะสม ก็เตรียมเงินไว้ประมาณ 300 ล้าน
Food Moment มีแผนที่ชัดเจนและค่อนข้างท้าทาย ใน 3 ปี ตั้งเป้าว่าตัว Top Line จะไปแตะที่ 10,000 ล้าน คือยอดขาย ซึ่งตรงนี้ก็จะมาจากการเติบโตเฉลี่ยที่ประมาณ 15% ต่อปี
การที่จะมีเป้าว่าใน 3 ปี จะไป Hit ที่ Top Line 10,000 ล้านบาท จะต้องเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 15% ทำ Workshop กันในทีม และก็ทำ Business Plan กัน คาดว่าจะเติบโตประมาณ 4% มาจากลูกค้าปัจจุบัน ที่จะเติบโต ไปด้วยกัน โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็น Long Term Partner อีก 11% จะมาจากกลุ่มลูกค้าใหม่ ที่มีแผนที่ชัดเจน มี Customer ที่เป็น Potential Customer List ที่จะเข้าไป Approach รวมถึงตลาดใหม่ๆ ที่ เพิ่งเปิดสำหรับไก่ไทย และก็สำหรับ Food Moment
กลยุทธ์หลักที่จะใช้ ที่จะทำให้เติบโตได้ตามเป้า คือ มองเห็นกลุ่มใน Sector ที่เป็น QSR กลุ่มนี้เป็นลูกค้าที่ ได้เข้ามา ทำตลาดจริงจังในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เขามีการเติบโต ได้เร็ว โดยเฉพาะถ้า ไปจับกลุ่มที่เป็นแบรนด์ระดับโลก เขามีสาขา ทั่วโลกเป็นหมื่นๆ สาขา ถ้าเปิดในประเทศ 1 ได้ มันก็จะมีโอกาสที่จะขยาย ต่อไปได้ ในประเทศอื่นๆ ในเครือเดียวกัน
ในเรื่องของตลาดในเรื่องที่เป็น Geographic มองเห็นตลาดอื่นๆ ที่มีศักยภาพสูง ไม่ว่าจะเป็น UAE หรือในฟิลิปปินส์ หรือในตลาดใหม่ๆ ที่ เดิมเนี่ยไก่ไทย มัน ไม่ได้ ไม่สามารถส่งออกไปได้ เริ่มมีการปลดล็อก และก็ส่งออกกัน ในปีที่แล้วก็เห็นถึง Demand ที่เข้า Enquiry ที่เข้ามาอย่างชัดเจนเลย ทางผู้ซื้อก็ค่อนข้างตื่นเต้นที่จะได้เริ่มทดลอง นำเข้าไก่จากไทย ในยุโรป ในญี่ปุ่น ใช้ไก่ไทยเป็นหลัก โดยเฉพาะไก่แปร รูป แต่ว่าเดิมนำเข้าไม่ได้ เปิดประเทศ ก็เรียกว่าเริ่มมี Enquiry คำ การทดลอง สั่งซื้อเข้าไป รวมถึงคงจะดูเรื่องของคุณภาพ เรื่องของราคา
ก็เห็นถึงโอกาสจริงๆ รวมถึงเรื่องของการทำ FTA ที่จะทำให้ เงื่อนไขในการค้าระหว่างประเทศ ที่ปัจจุบันก็ส่งออกอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น UK หรือเกาหลี จะมีเรื่องของกำแพงภาษี เรื่องของโควต้าต่างๆ ที่ เป็นข้อจำกัดอยู่ ตรงนี้ในฝั่งของรัฐบาลก็มี การเจรจากันอยู่ ที่จะปลด เพิ่ม ปัจจัยบวกเข้ามาสำหรับไก่ไทย กลยุทธ์ที่ เฝ้าดูติดตาม แล้วก็จะปรับธุรกิจให้มันสอดคล้องกับตลาดกลุ่มเหล่านี้
ส่วนที่ 3 แน่นอน ก็คือเรื่องของตัวผลิตภัณฑ์ การทำ R&D ยังมุ่งเน้นตรงนี้ เป็นอาวุธหลักที่จะเข้าไป ไปบุกตลาด ไปเจาะกลุ่มลูกค้าต่างๆ ที่ แน่นอนเขามีการซื้อผลิตภัณฑ์ไก่จากไทยอยู่แล้ว ต้องไปนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้อย่างชัดเจนว่าใช้ไก่ของ Food Moment แล้วมันมี Innovation ยังไง มันตอบโจทย์ให้เขายังไงได้บ้าง
Key Success ของ Food Moment คือการมี Partner ที่ดี ยังมุ่งเน้นในการมองหาพันธมิตร ที่เป็นลักษณะ Long Term Partner กันในระยะยาว โดยลักษณะของพันธมิตร จะเป็นกลุ่มที่เป็นแบรนด์ระดับโลกต่างๆ ที่เรามีเรื่องของการมา ลงทุนร่วมกันในการปรับปรุงสายการผลิต การทำ Contract Manufacturing ต่างๆ ที่ทำให้บริษัท ธุรกิจมันโตไปด้วยกัน
สรุปได้ว่า Food Moment ประสบความสำเร็จอย่างมากในปี 2567 ด้วยผลประกอบการที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการเพิ่มยอดขาย การขยายตลาดใหม่ การมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง การปรับปรุงกระบวนการผลิต และการมีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้าที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในด้านการผลิต การขยายธุรกิจ Pet Food และการสร้างแบรนด์ของตนเอง พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์ตลาดและปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง
ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): เริ่มต้นที่นาที 47:18
คำถาม: ช่วยอธิบายกำลังการผลิตที่จะสามารถเพิ่มขึ้นได้ในช่วงเวลาปี 2568 นี้?
คำตอบ: เฟสที่ 1 ปี 2568 คือเรื่องของเฟสที่ 1 ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตของไก่แปร รูปจาก 27,000 ตัน เป็น 30,000 ตัน และตัวโรงชำแหละที่จะเริ่ม เพิ่มกำลังการผลิตอีกประมาณ 10%
คำถาม: Food Moment มีความได้เปรียบเสียเปรียบผู้แข่งขันทั้งในประเทศ และต่างประเทศอย่างไรบ้าง และจะสามารถ Mitigate Risk ตรงนี้อย่างไร?
คำตอบ: ในตลาดโลก ประเทศไทยมีจุดเด่นในเรื่องของคุณภาพสินค้า และการ Balance ตลาดต่างๆ ที่ทุก Part สามารถขายได้มูลค่ามากกว่าประเทศคู่แข่ง อย่างเช่นบราซิล หรืออเมริกา ถ้ามองในเรื่องของไก่แปร รูปที่เป็นเบอร์ 1 มุ่งเน้นในเรื่องของการทำ R&D จุดเด่นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง คือในเรื่องของ Speed ในการทำงาน การ Customization ให้กับ Requirement ความต้องการของลูกค้า
คำถาม: ยอดขายของ Q2 Q3 เป็น High Season หรือเปล่าในปีที่ผ่านมา หรือว่าธุรกิจมี High Season ไหม?
คำตอบ: ปกติธุรกิจไก่ไม่ได้มี Seasonal อะไรที่เป็น ชัดเจนเป็นประจำ แต่อาจจะมีความขึ้นลงบ้างในจากปัจจัยทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น Demand Supply ของไก่ หรือว่าเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนอะไรบ้าง แต่ว่าโดย โดยรวมก็ ก็ไม่ได้มี เป็น Seasonal ที่ชัดเจน หรือเป็นประจำในช่วง Quarter Quarter ไหน
คำถาม: ในอีก 5 ปี มองเรื่องการย้ายฐานการผลิต หรือว่า เรื่อง Branding ของเราไว้อย่างไรบ้าง?
คำตอบ: ในส่วนของ 5 ปีนี้ มีแผนชัดเจนละ ว่าจะขยาย จะลงทุนไปตรงไหนบ้าง ถ้าทุกอย่างเดินตามแผน หลังจาก 5 ปี คงจะมองเรื่องของการสร้างโรงงานเพิ่มเติม ทั้งโรงชำแหละ และก็โรงงานไก่แปร รูป ในส่วนของเรื่องของ Own Brand เป็น Project ที่มองหาอยู่ตลอด มีโจทย์ชัดเจนว่าถ้าจะทำสินค้า Own Brand ของ Food Moment ต้อง Develop สินค้า โดยเฉพาะไก่แปร รูป ที่เป็นแบรนด์ของ Food Moment ที่มีจุดขายที่ชัดเจน มีความแตกต่างในเรื่องของสินค้า หรือเรื่องของการนำไปบริโภค ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดีกว่าสินค้าที่มีจำหน่ายอยู่แล้วในตลาดปัจจุบัน Develop ถึงจุดนั้นได้แน่นอนเรื่องของการทำ Own Brand ก็คงเป็น Step ต่อไป
คำถาม: เรื่องค่าเงินบาท บริหารจัดการยังไง?
คำตอบ: มีนโยบายในเรื่องของตัวบริหารค่าเงิน เรื่องการทำ Forward Contract มีการ Monitor ตัว Rate อยู่ตลอดเวลา ส่วนในเรื่องของตัวผลประกอบการ มันมีผลกระทบจากค่าเงินไหม ก็เรียกว่ามีผลกระทบอยู่แล้ว เพราะว่า 50% คือการ Export อย่างไรก็ตามถ้าดูจากงบปี 2567 บริษัทไม่ได้มีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 5 ล้านบาท ก็ถือว่าเป็นการบริหารจัดการเรื่องของตัวค่าเงินได้ดี