บทความ ข่าวสาร กิจกรรม
สรุป Oppday AH: เจาะลึกผลประกอบการ Q2/2568 พร้อมวิเคราะห์อนาคตธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า
P/E 5.59 YIELD 6.37 ราคา 12.40 (0.00%)
สรุป Oppday AH: เจาะลึกผลประกอบการ Q2/2568 พร้อมวิเคราะห์อนาคตธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า
สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับนักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้ถือหุ้นทุกท่าน เข้าสู่การแถลงผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ของบริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด มหาชน
วันนี้ ดิฉันพจน์ อารี บูรณเทพกุล มาพร้อมกับคุณเย็บ ซู ชวน ซึ่งเป็น CEO ของเรา Agenda ในวันนี้จะเริ่มจากข้อมูลทั่วไปของบริษัท ต่อด้วยผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 กลยุทธ์และทิศทางของบริษัทยานยนต์ไฟฟ้า และช่วงสุดท้ายจะเป็น Q&A นะคะ
บริษัทก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2539 และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2545 โดยปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มของคุณเย็บ ซู ชวน ซึ่งเป็น CEO และผู้ก่อตั้งบริษัท ถือหุ้นประมาณ 39.21% ปัจจุบันมีบริษัทในเครือ 52 บริษัททั่วโลก แบ่งเป็น 34 บริษัทในประเทศไทย และ 18 บริษัทในต่างประเทศ โดยในไตรมาสที่ 2 มีบริษัทในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 2 แห่ง เป็นบริษัทย่อยและ Joint Venture ในสหรัฐอเมริกา
ธุรกิจหลักมี 3 ธุรกิจ ได้แก่
- ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ (71% ของรายได้)
- ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และศูนย์บริการ (29% ของรายได้)
- ธุรกิจเทคโนโลยีการเชื่อมต่อและ IoT (น้อยกว่า 1% ของรายได้)
บริษัทได้รับการจัดอันดับเครดิตเรตติ้งจาก Tris Rating ที่ A- และได้รับการประเมิน CG Score ระดับยอดเยี่ยม (5 ดาว) เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน รวมถึงได้รับการคัดเลือกจากสถาบันไทยพัฒน์ให้อยู่ใน Universe ของกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2568 และได้รับการรับรองจาก CAC ปัจจุบันมี Market Capitalization ประมาณ 5,300 ล้านบาท
บริษัทมีฐานการดำเนินงานในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ไทย มาเลเซีย จีน โปรตุเกส และสหรัฐอเมริกา รวมถึงมีสำนักงานในสหราชอาณาจักร เยอรมนี ไต้หวัน และสิงคโปร์
สัดส่วนรายได้ตามภูมิประเทศในครึ่งปีแรกของปีนี้:
- ประเทศไทย 56%
- มาเลเซีย 21%
- โปรตุเกส 18%
- จีน 5%
รายได้รวมของกลุ่มลดลง 4.4% ในขณะที่ยอดผลิตรถยนต์ในประเทศไทยลดลง 4.8% ยอดขายของกลุ่มบริษัทลดลงน้อยกว่ายอดผลิตยานยนต์ของประเทศไทย หากพิจารณายอดขายตามแต่ละประเทศ จะเห็นว่ายอดขายจากประเทศไทยลดลงมากกว่าอุตสาหกรรม ซึ่งหลักๆ มาจากการลดลงของยอดขายในส่วนของธุรกิจดีลเลอร์ชิปในประเทศไทย ที่ลดลง 19.2% ในช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากการยุติการจำหน่ายรถยนต์ 2 แบรนด์
อย่างไรก็ตาม ด้วยความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ บริษัทมีฐานการดำเนินงานในหลายประเทศ ซึ่งประเทศที่มี Sale Contribution ที่สูง คือ มาเลเซียและโปรตุเกส ที่มีสัดส่วนรวมกันถึง 39% มียอดขายที่ลดลงเพียงแค่ 1% ทำให้ลดทอนการลดลงของรายได้จากประเทศไทยและประเทศจีนได้ ส่งผลให้ภาพรวมของบริษัทมียอดขายลดลงน้อยกว่าอุตสาหกรรมในประเทศไทยเล็กน้อย
ธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท มีโรงงานตั้งอยู่ในหลายประเทศ ได้แก่ ไทย จีน โปรตุเกส และมาเลเซีย โดย Product ของบริษัทแบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่
- ชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป
- ชิ้นส่วนพลาสติก
- ชิ้นส่วนหล่อขึ้นรูปโลหะ
- ชิ้นส่วนโลหะตีอัดขึ้นรูปและกลึงเจียผิว
- อุปกรณ์จับยึดและแม่พิมพ์ตามโลหะ
บริษัทมีคู่ค้าทางธุรกิจที่ทำธุรกิจด้วยกันมายาวนาน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีของ Product นั้นๆ ได้แก่ มิ้นท์ ไซโน ซูมิโน่ เอสช่า ภูเร่ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี Technical Partner ได้แก่ Cortek ในส่วนของถังน้ำมัน
บริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์เกือบทุกราย โดยสำหรับช่วงครึ่งแรกของปีนี้ สัดส่วนรายได้จาก Isuzu อยู่ที่ 21% รองลงมาเป็น Dana ที่ 8% AAT ที่ 6% Continental ที่ 6% และ AAM ที่ 5%
ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และศูนย์บริการ มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 28% โดยมีโชว์รูมและศูนย์บริการ 16 แห่งในประเทศไทยและมาเลเซีย (ไทย 10 แห่ง, มาเลเซีย 6 แห่ง) ในประเทศไทยเป็นตัวแทนจำหน่าย Mitsubishi และ MG สำหรับมาเลเซียจำหน่าย Honda และ Proton รายได้ในครึ่งแรกของปีนี้ Honda มีสัดส่วน 38%, Proton 25%, Mitsubishi 25% และ MG 12% Sale Contribution จากมาเลเซียมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 60% เป็น 63%
ธุรกิจเทคโนโลยีการเชื่อมต่อและ IoT สินค้าและบริการแบ่งเป็น 6 กลุ่มหลัก ได้แก่
- Power AI
- Power Tracking
- Power Smart
- Power Mapping
- Power Fleet
- Power Business
รายได้หลักสำหรับครึ่งแรกของปีมาจากกลุ่ม Power Map (53%) และ Power Fleet (47%) ลูกค้าของบริษัท ได้แก่ Sino Thai, ธนาคารอาคารสงเคราะห์, Grab, KLK Wing Span, Honda และไปรษณีย์ไทย
รายได้รวมเพิ่มขึ้น 2.1% รายได้ในส่วนธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้น 4.5% ในขณะที่รายได้ในส่วนธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ลดลง 5.7% กำไรขั้นต้นลดลง 13.5% จาก 555.9 ล้านบาท มาอยู่ที่ 481 ล้านบาท Gross Profit Margin ลดลงจาก 8.6% มาอยู่ที่ 7.4% สาเหตุหลักเกิดจากเหตุการณ์ไฟฟ้าดับในประเทศโปรตุเกส ทำให้โรงงานสามารถดำเนินการผลิตได้เพียงครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตปกติเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ คำสั่งซื้อจากลูกค้าในยุโรปยังคงอยู่ในระดับเดิม ทำให้บริษัทต้องพึ่งพาสินค้าคงเหลือในการจัดส่งสินค้าแทนการผลิตเดิม ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตในโปรตุเกสปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
SG&A ลดลง 6.5% มาอยู่ที่ 426.3 ล้านบาท ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมีจำนวน 5.2 ล้านบาท เทียบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 2.8 ล้านบาทในปีก่อนหน้า หลักๆ มาจากการแข็งค่าของเงินบาท ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้ามีจำนวน 64.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 49.7 ล้านบาทในปีก่อนหน้า เนื่องจากการพลิกจากผลขาดทุนมาเป็นกำไรของบริษัทร่วมแห่งหนึ่ง และการเริ่มมีกำไรในไตรมาสนี้ของบริษัท ภูเร่ง อาปิโก้ ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้า เนื่องจากเริ่มมีการผลิตตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ของปีที่แล้ว และดำเนินการผลิตจนถึงระดับเต็มกำลังในไตรมาสที่ 3 ของปีที่แล้ว
รายได้ทางการเงินและต้นทุนทางการเงินมีจำนวน 14.4 ล้านบาท และ 81.9 ล้านบาท ตามลำดับ หากเทียบเป็นต้นทุนการเงินสุทธิ จะเห็นว่ามีการลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึง 13 ล้านบาท กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นมีจำนวน 108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% Net Profit Margin อยู่ในระดับเดิมที่ 1.6% กำไรสุทธิที่ไม่รวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น 13 ล้านบาท มาอยู่ที่ 113 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิหลักเพิ่มขึ้นจาก 1.5% มาอยู่ที่ 1.7%
รายได้รวมสำหรับครึ่งแรกของปีลดลง 4.4% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปีที่แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยที่ปรับลดลง 4.8% รายได้ในส่วนธุรกิจยานยนต์และธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ลดลง 1% และ 12.1% ตามลำดับ สาเหตุหลักมาจากการลดลงของปริมาณคำสั่งซื้อของลูกค้ารายเดิม ซึ่งหลักๆ จะอยู่ในช่วงไตรมาสที่ 1 โดยรายได้ในไตรมาส 1 ลดลง 14.9% ซึ่งของอุตสาหกรรมเองลดลง 20% นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาสที่ 1 บริษัทได้มีการยุติการขายแบรนด์ 2 แบรนด์สำหรับธุรกิจดีลเลอร์ชิปในประเทศไทย
กำไรขั้นต้นในครึ่งปีแรกของปีนี้ลดลงจาก 9.1% มาอยู่ที่ 8.6% ซึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์ไฟฟ้าขัดข้องในประเทศโปรตุเกส ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารลดลง 9.9% จาก 915.9 ล้านบาท มาอยู่ที่ 825.3 ล้านบาท ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมีจำนวน 3.7 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 21.5 ล้านบาทในปีก่อนหน้า ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมค้าอยู่ที่จำนวน 125.5 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับ 94.1 ล้านบาทในปีก่อนหน้า โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการพลิกจากผลขาดทุนมาเป็นกำไรของบริษัทร่วมแห่งหนึ่ง รวมถึงผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมรายอื่นที่สำคัญขึ้น
รายได้ทางการเงินและต้นทุนทางการเงินมีจำนวน 30.1 ล้านบาท และ 159.4 ล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาในส่วนของต้นทุนทางการเงินสุทธิ จะเห็นว่ามีการปรับตัวลดลงถึงประมาณ 28 ล้านบาท กำไรสุทธิของบริษัทสำหรับครึ่งแรกของปีนี้มีจำนวน 413 ล้านบาท ลดลง 1.9% ในขณะที่ยอดขายลดลง 4.4% ทำให้ Net Profit Margin ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3.1% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นที่ไม่รวมผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 17 ล้านบาท มาอยู่ที่ 418 ล้านบาท Core Net Profit Margin เพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 3.1%
อย่างที่เรียนไป รายได้รวมของบริษัทในไตรมาสที่ 2 มีการเพิ่มขึ้น 2.1% แต่ภาพรวมของครึ่งแรกของปีมีการลดลง 4.4% หลักๆ มาจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยในไตรมาสที่ 1 ที่อุตสาหกรรมลดลงถึง 20%
EBIT และ EBITDA Margin สำหรับไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 3.4% และ 7.8% ตามลำดับ และสำหรับช่วงครึ่งแรกของปีอยู่ที่ 4.7% และ 9.3% ตามลำดับ อัตรากำไรสุทธิสำหรับไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 1.6% คงที่เมื่อเทียบกับปีก่อน และสำหรับครึ่งปีปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย
หากไม่รวมกำไรและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งไตรมาสที่ 2 และ First Half มีการปรับตัวดีขึ้นทั้งในแง่ของจำนวนเงินและอัตรากำไรสุทธิ
รายได้ในส่วนของธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้น 4.5% มาอยู่ที่ 4,596 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ส่วนใหญ่มาจากยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 7.6% อัตราการเพิ่มขึ้นในประเทศไทยเองอยู่ที่ 5.4% และในมาเลเซียมีการเพิ่มขึ้น 136% ในขณะที่รายได้จากโปรตุเกสและจีนลดลง 0.6% และ 11% ตามลำดับ รายได้ในครึ่งแรกของปีลดลง 1% มาอยู่ที่ 9,417 ล้านบาท โดยรายได้สำหรับไทย จีน และโปรตุเกสลดลง ในขณะที่รายได้ของมาเลเซียยังคงเติบโตได้ดี EBITDA Margin ในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 2.8% และสำหรับครึ่งแรกของปีอยู่ที่ 4.8%
ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์และศูนย์บริการมีรายได้ลดลง 5.7% มาอยู่ที่ 1,920 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายในมาเลเซียมีรายได้ลดลง 13.9% ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายของรถยนต์ Honda ที่ลดลงจากการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์จีน ภาพรวมในตลาดมาเลเซียมีการยอดขายลดลง 2.5% จากภาวะความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อ่อนปวก การเลื่อนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่บางรุ่น และการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ในขณะที่ดีลเลอร์ชิปในประเทศไทยเติบโตขึ้น 7.6% โดยมีปัจจัยหลักมาจากยอดขายรถยนต์ MG ที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดโชว์รูม MG แห่งใหม่ในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วแทนโชว์รูมของรถ Ford เดิม
รายได้ของครึ่งแรกของปีลดลง 12.1% ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการปรับ Structure Portfolio ของดีลเลอร์ชิปในประเทศไทย โดยยุติจำหน่าย 2 แบรนด์ ปัจจุบันเหลือแค่ MG และ Mitsubishi EBITDA Margin มีการเพิ่มขึ้นจากเพิ่มขึ้นเป็น 1.6% ในไตรมาสที่ 2 และสำหรับครึ่งแรกของปี EBITDA Margin เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.4% บริษัทมีการปรับโครงสร้างธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทยให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
อัตราส่วนทางการเงิน อัตราส่วนผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นและอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 6.7% และ 3.2% ตามลำดับ หลักๆ มาจากระดับกำไรในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลังที่ปรับตัวลดลง ICR อยู่ที่ 3.2 เท่าในไตรมาสที่ 2 และอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อ EBITDA อยู่ที่ 2.1 เท่า บริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 5,600 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน ระดับ Leverage ของบริษัท Interest Bearing Debt to Equity และ Total Liabilities to Equity อยู่ที่ 0.5 เท่า และ 1 เท่า ซึ่งยังอยู่ภายใต้เงื่อนไขทางการเงินที่บริษัทมีกับสถาบันการเงินต่างๆ หนี้ระยะยาวต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับต่ำที่ประมาณ 1.1 เท่า ทำให้สามารถหาเงินทุนเพิ่มเติมได้ในกรณีที่มีโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา
อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งประเทศไทยมีการปรับประมาณการลงจาก 1.5 ล้านคัน เป็น 1.45 ล้านคัน โดยมีการปรับเป้าใหม่เป็นการผลิตเพื่อการส่งออก 950,000 คัน และขายในประเทศ 500,000 คัน หลักๆ เป็นการปรับเพื่อสะท้อนปัจจัยสำคัญหลายประการ เช่น ความเสี่ยงจากมาตรการการเรียกเก็บภาษีของสหรัฐฯ อุปสงค์ที่ซบเซาในตลาดส่งออกบางแห่ง ข้อกำหนดทางด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ และความไม่แน่นอนในเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์
ปริมาณการผลิตรถยนต์ในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้น 7.6% โดยสำหรับยอดขายในประเทศมีการเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ในส่วนของการส่งออกมีการลดลง 5.5% ภาพรวมสำหรับครึ่งปี ยอดการผลิตลดลง 4.8% ซึ่งหลักๆ มาจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 1 ที่มีการลดลงค่อนข้างเยอะอยู่ที่ 20%
ยอดขายในประเทศลดลง 1.7% แบรนด์ส่วนใหญ่มี ยอดขายลดลง ยกเว้นแบรนด์ที่เป็นแบรนด์จีนที่จำหน่ายรถไฟฟ้าเป็นหลัก ได้แก่ BYD MG Great Wall Motor และฉางอัน ยอดขายในประเทศมาเลเซียปรับตัวลดลง 5.8% สำหรับครึ่งแรก มาอยู่ที่จำนวน 368,708 คัน โดยในปีนี้ MAA คาดการณ์ว่ายอดขายจะลดลง 4.5% จากปี 2567 มาอยู่ที่ 780,000 คัน ซึ่งเป็นการปรับตัวสู่ระดับปกติจากที่เคยทำสถิติสูงสุดในปีก่อนมามากกว่า 800,000 คัน
กลยุทธ์ของบริษัทคือการเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ระดับโลก โดยปัจจุบันมีฐานการดำเนินงานในไทย มาเลเซีย จีน โปรตุเกส และสหรัฐฯ โดยยังคงมองหาโอกาสในการเติบโตที่แข็งแกร่งมากขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานลูกค้าหลัก
บริษัทไม่ได้มองแค่โอกาสในการเติบโตในตลาดในประเทศเท่านั้น แต่ยังมองหาโอกาสการเติบโตในตลาดโลก โดยปี 2567 สัดส่วนของการผลิตของไทยอยู่ที่ 1.7% เมื่อเทียบกับตลาดโลก ดังนั้นยังมีโอกาสอีกมากมาย ยอดการผลิตในโลกคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านคันในปี 2575
Key Milestone ของบริษัท:
- เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2545
- ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
- เข้าซื้อโรงงาน จัดตั้งบริษัทร่วมทุน
- ขยายการดำเนินงานไปในต่างประเทศ
บริษัทให้ความสำคัญกับ ESG ได้รับรางวัลมากมาย มีการจัดตั้งบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ EV Proton แห่งใหม่ชื่อ E-DOM Mobility และจัดตั้งบริษัทในสหรัฐอเมริกา 2 บริษัท
อายุเฉลี่ยของลูกค้าอยู่ที่ 5 ปี สำหรับรถยนต์นั่งทั่วไป และ 10-12 ปี สำหรับรถกระบะ โดยปกติในรถยนต์ 1 รุ่น จะมีผู้ผลิตเพียงแค่รายเดียวสำหรับ Part นั้นๆ ทำให้บริษัทได้รับออเดอร์จากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
ผลกระทบจาก EV ต่อบริษัทไม่ได้มีนัยสำคัญทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจาก 95% ของชิ้นส่วนของบริษัทสามารถนำไปใช้ใน EV ได้ จากรถที่ผลิตในโลกจะมีอยู่ประมาณ 90 กว่าล้านคัน สัดส่วนการผลิต ICE HEV และ BEV จะอยู่ที่ประมาณ 38% 27% และ 35% ตามลำดับ
บริษัทผลิต Part สำหรับ EV และ Hybrid ในไทยให้แก่แบรนด์ดังต่อไปนี้ ฉางอัน BYD Ming Plus Nex และ Isuzu สำหรับ EV HEV จะมีทั้ง Great Wall Honda Nissan Toyota Mitsu MG เป็นต้น
โดยสรุปผลการดำเนินงานสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจโดยรวม บริษัทมุ่งเน้นประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ควบคุมต้นทุน และแสวงหาโอกาสในการเพิ่มขึ้นของรายได้ รายได้รวมในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นประมาณ 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า กำไรสุทธิหลัก (ไม่รวมกำไรและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน) มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาส 2 ของปีที่แล้วมาอยู่ที่ 113 ล้านบาท แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการขาดทุนของการดำเนินงานในประเทศโปรตุเกส แต่ในส่วนของอัตรากำไรสุทธิหลักก็ดีขึ้นมาอยู่ที่ 1.7% สัดส่วนยอดขายของยานยนต์ไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 5% ของธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในปีนี้ รวมถึงยังคงได้รับคำสั่งซื้อยานยนต์ไฟฟ้าใหม่อย่างต่อเนื่อง
สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง โดยมีเงินสดและเงินฝากประจำรวมกว่า 2,200 ล้านบาท อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.5 เท่า บริษัทเชื่อว่าความมั่นคงทางการเงินจะช่วยให้บริษัทพร้อมรับกับโอกาสเมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์ฟื้นตัว รายได้คาดว่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีก่อน อาจจะ Soft ลงเล็กน้อย แต่ด้วยงานในอนาคตที่ได้รับ บริษัทมีความเชื่อมั่นในการเติบโตทั้งในระยะกลางถึงระยะยาว และคาดการณ์อัตรากำไรสุทธิหลักที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว บริษัทมุ่งมั่นในการขยายการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้และความสามารถในการทำกำไร โดยได้ดำเนินการผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในอุตสาหกรรมยานยนต์และเทคโนโลยีชั้นนำ บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาชิ้นส่วนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าระบบอัตโนมัติและเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุนควบคู่ไปกับการเติบโตตามกลไกของธุรกิจ
แม้ว่าในภาพรวมของเศรษฐกิจทั้งในระดับโลกและประเทศยังคงอ่อนแอ แต่บริษัทก็ยังคงแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากได้มุ่งมั่นในการขยายการเติบโต แม้ในช่วงภาวะที่เศรษฐกิจเผชิญอยู่กับความผันผวน
ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [นาทีที่ 42:15]
ผลกระทบจากไฟฟ้าดับที่โปรตุเกส
คำถาม: ขอทราบรายละเอียดเกี่ยวกับผลกระทบจากไฟฟ้าดับที่โปรตุเกสว่าผลกระทบนี้ยังจะมีผลต่อรายได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ด้วยหรือไม่?
คำตอบ: อันนี้จะไม่ได้มีผลมาถึงไตรมาสที่ 3 นะคะ แต่ในช่วงไตรมาสที่ 3 นะคะ ก็จะเป็นช่วงที่ ที่โปรตุเกสเขาจะมีผลประกอบการที่ ที่อาจจะไม่ค่อยดีนัก เพราะว่าช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่เขามีวันหยุดอยู่ประมาณ 3 สัปดาห์นะค่ะ ก็คือถ้า ถ้าเป็นตาม เอ่อ ไซเคิลของที่ประเทศโปรตุเกสเนี่ย ช่วงไตรมาสที่ 3 อ่ะจะเป็นช่วงที่ Peak ที่สุดเพราะว่ามีวันหยุดยาวค่ะ
ชิ้นส่วนที่ผลิตให้ฉางอัน
คำถาม: บริษัทผลิตชิ้นส่วนใดบ้างให้ให้ฉางอันน่ะค่ะ
คำตอบ: หลักๆ ก็จะเป็นพวก heavy component เหมือน under body part จะเป็นลักษณะพวก เป็นพวก 1 เอ่อ ลักษณะเป็นประเภท Part น่ะค่ะ ค่ะ แล้วก็ ของ Great Wall Motor ก็เป็นลักษณะอยู่ในหมวดหมู่ Part เหมือนกันน่ะค่ะ
ประมาณการรายได้ Q3/2568
คำถาม: ขอทราบประมาณการรายได้ของไตรมาสที่ 3 ปีนี้เทียบไตรมาส 3 ปีที่แล้วค่ะ อ่า อันนี้ก็จะไตรมาส 3 ปีนี้นะคะ ก็จะมีการอาจจะซอฟลงจากไตรมาส 3 ปีที่แล้วเล็กน้อยนะคะ แล้วก็ขอทราบประมาณการรายได้ไตรมาส 3 เทียบกับไตรมาส 2 เอ่อถ้าเทียบกับไตรมาสที่ 2 ก็จะดีกว่านะคะ ค่ะ เพราะว่า อ่า ถ้าเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ใน ในประเทศไทยนะคะส่วนใหญ่ก็คือไตรมาสที่ 2 เนี่ยจะเป็นช่วงที่ Peak ที่สุดเพราะว่ามีวันหยุด มีช่วงสงกรานต์น่ะค่ะ เพราะฉะนั้นไตรมาส 2 เนี่ยก็จะเป็นช่วงที่ Peak ที่สุดของ ของ Auto Industry ค่ะ
ผลกำไรของ Apico AAV
คำถาม: บริษัท Apico AAV เริ่มมีกำไรบ้างหรือยัง แล้วก็มีมี Margin ที่ดีไหม? สำหรับบริษัท Apico AAV นะคะ ก็จะเป็นบริษัททำชิ้นส่วนยานยนต์ที่ประเทศมาเลเซียนะคะที่บริษัทถือหุ้นอยู่ที่ 60% โดย เอ่อ ไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมาบริษัท Apico AV ก็มีมีกำไรนะคะ expect to be better next next couple of years steadily improving ค่ะ แล้วก็เราคาดว่าผลประกอบการของเขาก็จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนะคะ
การผลิตชิ้นส่วนของ Apico AV
คำถาม: บริษัท Apico AV เริ่มมีการผลิตชิ้นส่วนให้ค่ายรถยนต์อื่นนอกเหนือจาก Proton บ้าง บ้างหรือยัง?
คำตอบ: ค่ะ ก็เราก็ยัง เราก็มีคุยกับแบรนด์อื่นด้วยนะคะทั้งในมาเลย์แล้วก็ในประเทศไทย Apico V ผลิต เอ่อ ท่อไอเสียให้ค่ายรถยนต์ใดบ้าง? อ่า หลักๆ เอ่อ ถ้าเป็นประเทศไทยก็จะเป็น Ford นะคะถ้าเป็นที่ประเทศมาเลเซียเนี่ยก็จะเป็น Proton นะคะ ก็ขอทราบแผนงานในอนาคตนะคะก็เราก็มี มีมองหาลูก ลูกค้าราย รายอื่นๆ นะคะ ซึ่ง ปัจจุบันก็ ก็มีได้ ได้งานมาบ้างแล้วนะคะซึ่งแผนในอนาคตก็ ก็ค่อนข้างดีค่ะ
Apico Giga ตั้งขึ้นมาเพื่อผลิตชิ้นส่วนใด
คำถาม: We are This is I think new Project เอ่อ I think EV vehicles use a lot of aluminium sort ofcasting So we are looking to this area of business We think its a good potential so thats why we are looking to this business ค่ะ หลักๆ อ่า ตัว Apico Giga นะคะ ก็จะทำชิ้นส่วนเป็นลักษณะของ เอ่อ เป็น ได เป็นอลูมิเนียมนะคะ ไดคสติ้ง ให้กับ อ่า ค่าย ค่ายรถยนต์ที่เป็น อ่า ค่าย EV เป็นหลักนะคะ
บริษัทที่ตั้งใหม่ที่สหรัฐอเมริกา
คำถาม: สำหรับบริษัทที่ตั้งใหม่ที่สหรัฐอเมริกาอันนี้ตั้งมาเพื่อผลิตชิ้นส่วนประเภทใด แล้วก็ ให้กับรถยนต์ค่ายไหน?
คำตอบ: Yeah, I think we have registered company in America So we are looking for opportunity in America because the American market is quite protected yeah And so I think is we believe that a strong future in that in that country because the car assemble is more than 10 million cars a year
แผนทำ JV เพิ่มเติม
คำถาม: บริษัทมีแผนที่จะทำ JV กับบริษัทต่างประเทศเพิ่มเติมอีก อีกหรือไม่?
คำตอบ: Yeah, I think we always looking for opportunities So I think once we have finalized an opportunity, we will announce to the public ค่ะ เราก็ยังคงมองหาโอกาสทางธุรกิจอย่างต่อเนื่องนะคะซึ่งถ้าเมื่อ เมื่อ เมื่อมีความชัดเจนนะคะเราก็จะประกาศให้ ให้ทราบโดยทั่วกันนะคะ
แผนกลับไปลงทุนในอินเดีย
คำถาม: บริษัทมีแผนที่จะกลับเข้าไปลงทุนในประเทศอินเดียอีก อีกหรือไม่?
คำตอบ: I think wants to be a global company. So we looking at opportunities all over the world. Yeah, we want to be a global company.