KTIS โชว์ผลงาน Q2/2568: มุ่งสู่ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำตาลและ BCG อย่างยั่งยืน

P/E -100.00 YIELD 0.00 ราคา 1.99 (0.00%)

KTIS โชว์ผลงาน Q2/2568: มุ่งสู่ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำตาลและ BCG อย่างยั่งยืน

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

ผลประกอบการ 9 เดือนของปี 2568 (1 ต.ค. 2567 - 30 มิ.ย. 2568) บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS มีรายได้รวม 12,567 ล้านบาท เทียบกับปี 2567 ที่มีรายได้ 12,656 ล้านบาท ซึ่งต่างกันเล็กน้อย รายได้ส่วนใหญ่มาจากรายได้จากการขายและการให้บริการ 12,209 ล้านบาท และรายได้ผลตอบแทนจากการผลิตและจำหน่ายน้ำตาล 97 ล้านบาท รายได้อื่นๆ 22 ล้านบาท

รายจ่ายรวมอยู่ที่ 13,447 ล้านบาท เทียบกับปี 2567 ที่ 13,016 ล้านบาท ต้นทุนขายเป็นรายจ่ายส่วนใหญ่ 10,962 ล้านบาท เทียบกับปี 2567 ที่ 11,073 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 1,564 ล้านบาท ต้นทุนทางการเงินอยู่ที่ 921 ล้านบาท ผลประกอบการมีขาดทุนสุทธิ 880 ล้านบาท เทียบกับปี 2567 ที่ขาดทุนสุทธิ 360 ล้านบาท

สัดส่วนรายได้จากการขายและการให้บริการส่วนใหญ่มาจากธุรกิจน้ำตาลทรายและกากน้ำตาล 79.7% เยื่อกระดาษ 3.8% เอทานอล 2.1% ไฟฟ้าชีวมวล 7.5% และรายได้อื่นๆ 6.9% กำไรขั้นต้นในส่วนของสายธุรกิจน้ำตาลทรายอยู่ที่ 973 ล้านบาท เทียบกับปี 2567 ที่ 1,051 ล้านบาท จากสายธุรกิจชีวภาพมีกำไรขั้นต้น 274 ล้านบาท เทียบกับปี 2567 ที่ 177 ล้านบาท

อัตรากำไรขั้นต้นในส่วนของสายธุรกิจน้ำตาลปรับตัวลดลงจาก 10.8% ในปี 2567 เหลือ 10% ในปี 2568 สำหรับธุรกิจชีวภาพ อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 7% ในปี 2567 เป็น 11.1% ในปี 2568

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

บริษัทเห็นโอกาสในการเติบโตจากปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้น คาดการณ์ว่าผลผลิตอ้อยและน้ำตาลในฤดูหีบปีหน้า (ปี 2568/69) จะมากขึ้น เนื่องจากมีพื้นที่ปลูกอ้อยใหม่เพิ่มขึ้นและปริมาณฝนดีขึ้น นอกจากนี้ คุณภาพอ้อยที่ดีขึ้นจะช่วยเพิ่มผลผลิตน้ำตาล บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มตันต่อไร่ให้สูงกว่า 10 ตันต่อไร่โดยเฉลี่ย

ธุรกิจบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากชานอ้อย (ภายใต้แบรนด์ Charmé) มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาที่ผู้ผลิตจากจีนประสบปัญหาด้านภาษี ทำให้ลูกค้าหันมาหาแหล่งผลิตใหม่ๆ บริษัทมีข้อได้เปรียบจากการมีวัตถุดิบต้นน้ำ (ชานอ้อย) และโรงเยื่อกระดาษจากชานอ้อย ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

ปัจจัยลบที่สำคัญคือเรื่องที่จีนนำเข้ากากน้ำตาล (น้ำเชื่อม) และพรีมิกซ์น้ำตาลจากไทย ทำให้ความต้องการซื้อน้ำตาลรีไฟน์ของโรงงานใน EPZ ของไทยลดลง นอกจากนี้ กองทุนขายสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 15,000 ล็อต เป็น 125,000 ล็อต ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในช่วง 65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไม่จูงใจให้บราซิลหันไปผลิตเอทานอลมากกว่าน้ำตาล

ราคาน้ำตาลในตลาดนิวยอร์กลดลงจาก 28 เซนต์ต่อปอนด์ ในเดือนตุลาคม 2566 มาอยู่ที่ 16-17 เซนต์ต่อปอนด์ในปัจจุบัน ราคากระดาษเยื่อชานอ้อยก็ลดลงจาก 880 เหรียญต่อตัน มาอยู่ที่ 640 เหรียญต่อตันในปัจจุบัน ปริมาณการใช้เอทานอลในประเทศยังคงทรงตัวอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านลิตรต่อเดือน

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

บริษัทมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบโดยการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตน้ำตาลรีไฟน์ ซึ่งมีส่วนต่างค่าพรีเมี่ยมที่สูงกว่าต้นทุนการผลิต นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงทางธุรกิจจากวัตถุดิบอ้อย โดยการขยายพื้นที่ปลูกอ้อยใหม่ และเพิ่มผลผลิตต่อไร่โดยการสนับสนุนให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยใช้เทคนิคการปลูกอ้อยที่ถูกต้อง และสร้างแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร

บริษัทยังให้ความสำคัญกับการลดอ้อยไฟไหม้ โดยการเพิ่มเครื่องมือในการตัดอ้อย (รถตัดอ้อย) และร่วมมือกับสมาคมชาวไร่อ้อยในการรณรงค์เรื่องอ้อยไฟไหม้ มีโครงการเฝ้าระวัง และเตรียมการเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):

บริษัทคาดการณ์ว่าปริมาณอ้อยทั่วประเทศในปี 2568/69 จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 100 ล้านตัน โดยคุณภาพอ้อยที่ดีขึ้นจะช่วยเพิ่มผลผลิตน้ำตาล โรงไฟฟ้าชีวมวลจะสามารถเปิดหีบได้ยาวนานขึ้น และคาดว่าจะมีการรับรู้รายได้ที่มากขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยจะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะในตลาดยุโรปและอเมริกาที่ต้องการใช้สารกันซึมที่เป็น P-Fast Free

บริษัทมีสัญญาขายไฟฟ้าทั้งหมดประมาณ 152 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง (ไม่รวมนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์) และนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์เฟส 1 สามารถขายไฟฟ้าได้ประมาณ 38 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session):

[เริ่ม Q&A นาทีที่ 36:00]

  1. ปริมาณน้ำตาลรอขายในไตรมาส 4/68 และผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน
    • คำถาม: ปริมาณน้ำตาลรอขายในไตรมาสที่ 4/68 มีมากน้อยแค่ไหน และจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 อย่างไร?
    • คำตอบ: ปริมาณการขายในปีนี้ขายไปเกือบหมดแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือรอการรับมอบจากลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งมีจำนวนค่อนข้างมาก คาดว่าใน Q4 จะมี inventory ที่เหลือยกมาจาก Q3 รอการส่งมอบใน Q4 จำนวนที่ค่อนข้างมาก และคาดว่าจะส่งผลดีต่อผลประกอบการใน Q4 และภาพรวมของปี
  2. คาดการณ์ผลผลิตอ้อยและน้ำตาลในฤดูหีบปีหน้า (68/69)
    • คำถาม: คาดการณ์ว่าผลผลิตอ้อยและน้ำตาลในฤดูหีบปีหน้า (68/69) จะมากขึ้นหรือไม่ และเพราะอะไร?
    • คำตอบ: คาดการณ์ว่าปริมาณอ้อยทั่วประเทศจะเพิ่มขึ้นกว่าปี 67/68 ที่ผ่านมา แม้กระทั่งของกลุ่ม KTIS เอง ปริมาณอ้อยก็คงเพิ่มขึ้น สาเหตุที่คาดการณ์ว่าปริมาณอ้อยจะเพิ่มขึ้นมาจาก 2 ปัจจัย คือ ปริมาณพื้นที่ในการปลูกอ้อยใหม่เพิ่มขึ้น และปีนี้เป็นปีที่ฝนมาดีและมีการกระจายตัวทั่วถึง คาดว่าจะขึ้นไปแตะระดับประมาณ 100 ล้านตันโดยประมาณ และคุณภาพอ้อยก็น่าจะดีขึ้นด้วย
  3. โรงไฟฟ้าชีวมวลและรายได้สายธุรกิจผลิตไฟฟ้า
    • คำถาม: โรงไฟฟ้าชีวมวลจะเปิดหีบได้ยาวแค่ไหนในปีนี้ และคาดการณ์ว่ารายได้สายธุรกิจผลิตไฟฟ้าทั้งปี 68 จะดีกว่าปีก่อนหรือไม่?
    • คำตอบ: คาดว่าปีนี้จะมีเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างเพียงพอ คาดว่าจะขายไฟได้ไปจนถึงสิ้นกันยายน และคาดว่าในเรื่องของตัวรายได้การรับรู้รายได้ก็น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา
  4. สัญญาขายไฟฟ้าทั้งหมดและผลกระทบต่อบริษัท
    • คำถาม: บริษัทมีสัญญาขายไฟฟ้าทั้งหมดมากน้อยแค่ไหน แล้วคาดว่าตรงนี้มันส่งผลต่อบริษัทอย่างไร?
    • คำตอบ: ทั้งกลุ่มของเราไม่นับรวมนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ มีสัญญาขายไฟและมีฟีดเจอร์รองรับอยู่ประมาณ 152 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง และขณะนี้นครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์เฟส 1 สามารถที่จะขายไฟได้ประมาณ 38 เมกะวัตต์ต่อชั่วโมง
  5. สถานการณ์ธุรกิจอ้อยและน้ำตาลในปีหน้า
    • คำถาม: คาดว่าปีหน้าจะเป็นอย่างไร?
    • คำตอบ: ปัจจัยบวกของปีหน้า คือ ปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้นและคุณภาพอ้อยน่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา ส่วนปัจจัยที่ดูอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คือ เรื่องของราคาน้ำตาลในตลาดโลก แต่อย่างไรก็ตาม โรงงานน้ำตาลของกลุ่ม KTIS เองหรือโรงงานน้ำตาลอื่นๆ ในเมืองไทย ก็ยังเป็นโรงงานที่มีต้นทุนการผลิตน้ำตาลรีไฟน์ที่ไม่สูงมากนัก คาดว่าหลายคนก็น่าจะหันไปทำน้ำตาลรีไฟน์เพิ่มมากขึ้น
  6. แนวสร้างความมั่นคงทางธุรกิจทางวัตถุดิบอ้อย
    • คำถาม: ทางกลุ่ม KTIS มีแนวสร้างความมั่นคงทางธุรกิจทางวัตถุดิบอ้อยอย่างไร?
    • คำตอบ: เราถือว่าเป็นหนึ่งใน Key Success เลยในการทำธุรกิจของกลุ่ม KTIS คือ การสร้างต้นน้ำให้มีความแข็งแรงสมบูรณ์และยั่งยืน โดยทำหลายแนวทาง ทั้งแนวทางที่เป็นทางราบและทางดิ่ง แนวทางราบ คือ การขยายพื้นที่ในการปลูกอ้อย และแนวทางดิ่ง คือ ทำอย่างไรที่จะสร้างผลผลิตตันต่อไร่ให้ได้มากขึ้น
  7. แนวทางในการลดอ้อยไฟไหม้
    • คำถาม: เรามีแนวทางในการลดอ้อยไฟไหม้อย่างไร?
    • คำตอบ: นโยบายภาครัฐตั้งแต่ปีที่ผ่านมาลดอ้อยไฟไหม้ลงค่อนข้างมาก ปีที่แล้วเฉลี่ยทั้งประเทศมีอ้อยไฟไหม้ไม่ถึง 15% ดี และปีที่แล้วภาครัฐเองก็ควบคุมอ้อยไฟไหม้ห้ามเกินกว่า 25% และปี 68/69 ที่จะถึงนี้ คาดการณ์ว่าทางภาครัฐเองมีแนวทางที่จะควบคุมการลดปริมาณอ้อยไฟไหม้ลงเหลือแค่ 15% ในกลุ่ม KTIS เองได้รณรงค์ตั้งแต่เรื่องแรก เพิ่มเครื่องมือในการตัดอ้อย คือ การจัดหารถตัดอ้อยเพิ่มขึ้น มีการซื้อรถตัดอ้อยเข้ามาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อมาใช้แทนแรงงานในการตัดอ้อยสด
  8. ราคาเทียบกับอนท.
    • คำถาม: เราได้ทำราคาเทียบกับ อนท. เป็นอย่างไร?
    • คำตอบ: ในปีการผลิตที่ผ่านมา (ปี 67/68) อนท. ก็ทำราคาจบไปเรียบร้อยแล้ว ของเราเองจริง ๆ เราก็ขายอิง อนท. มาตลอด ค่าเฉลี่ยเราก็ไม่ต่ำกว่า อนท.
  9. แนวโน้มการเติบโตของโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อย
    • คำถาม: โรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์จากชานอ้อยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างไร?
    • คำตอบ: วันนี้ก็อาจจะเป็นอานิสงส์ที่ทางจีนเองก็อาจจะมีปัญหาเรื่องภาษี ตลาดใหญ่ยังคงเป็นตลาดอเมริกาซึ่งทางจีนเองก็โดนภาษีนำเข้าของอเมริกาค่อนข้างมาก ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดีเพราะจริง ๆ แล้วทางจีนเองก็ต้องถือว่าเป็นผู้ที่เป็นซัพพลายรายใหญ่ในเรื่องของตลาด พาโม หรือตลาดบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม วันนี้การเติบโตเราก็มีแนวโน้มที่เติบโตมากยิ่งขึ้นจากลูกค้าที่เคยซื้อจากจีนแล้วนำเข้าไปอเมริกา เมื่อเจอเรื่องภาษีมากขึ้นก็เริ่มหาซอสใหม่ ๆ
  10. การเติบโตของบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากชานอ้อย
    • คำถาม: การเติบโตที่กล่าวมานี้ยังคงเป็นตามแผน 100% หรือไม่ จากภาษีทรัมป์มีกระทบบ้างหรือไม่?
    • คำตอบ: ก็ยังเป็นไปตามแผน เพราะเดิมทีเดียวเราก็คิดว่าถ้าเราโดน 36% อาจจะลำบากหน่อย ถ้าหากว่าต้องไปแข่งกับทางตลาดเวียดนาม ซึ่งก็เป็นผู้ที่ซัพพลายรายหนึ่ง แต่วันนี้พอมันเหลือประมาณ 19% ผมก็คิดว่าเรื่องภาษีของทรัมป์เนี่ยก็คงไม่ impact อะไร ก็ยังอยู่ในสภาวะที่แข่งขันได้เป็นอย่างดี ถ้าเทียบกับทางจีนที่เป็นเป็นซัพพลายรายใหญ่ของของตลาดบรรจุภัณฑ์โดนภาษีมากกว่าเราเยอะมาก เราน่าจะได้เปรียบอยู่ค่อนข้างมาก
  11. การที่ผู้ผลิตเครื่องดื่มหันมาผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล
    • คำถาม: การที่ผู้ผลิตเครื่องดื่มหันมาผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาลกันมากขึ้น มีส่งผลกระทบอะไรบ้างไหม ในฐานะเป็นผู้ผลิตน้ำตาล?
    • คำตอบ: ตลาดในประเทศน้ำตาลแบ่งตลาดออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 คือ ตลาดในประเทศ กับส่วนที่ 2 คือ เป็นตลาดต่างประเทศ สัดส่วนตลาดในประเทศมีอยู่ประมาณสัก 25-30% ที่เหลือประมาณ 70-75% เป็นตลาดส่งออก ถึงแม้ว่าความต้องการของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป แต่ในขณะเดียวกันการเติบโตของของอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำตาลเป็นวัตถุดิบในบ้านเราก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องและมันก็มีหลายประเภทของของอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำตาลเป็นวัตถุดิบ ตรงนี้ต้องบอกว่าการใช้น้ำตาลภายในประเทศก็ยังยังเติบโตเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นในมวลรวมเนี่ยก็ต้องถือว่าถึงแม้จะมีบางส่วนอาจจะเป็นเป็นใช้เป็น Zero Sugar อะไรก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีส่วนที่เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นโดยมวลรวมแล้วเนี่ยการเติบโตในการบริโภคน้ำตาลภายในเนี่ยก็ยังไม่ได้ลดลง
  12. ปัจจัยบวกสำหรับไตรมาส 4 และปีหน้า (68/69)
    • คำถาม: เหลืออีกไตรมาสหนึ่งไม่ทราบว่ามีปัจจัยบวกอะไรที่จะเป็นปัจจัยบวกสำหรับไตรมาส 4 รวมไปถึงปีหน้าปี 68/69?
    • คำตอบ: ปัจจัยบวกจริง ๆ ยังคงอยู่ที่หนึ่งเนี่ยเรามีเรื่องของตัวสินค้าที่เราได้จำหน่ายไปแล้วรอการรับมอบรอการรับรู้รายได้ซึ่งคาดว่าทั้งหมดเนี้ยจะมีการรับรู้รายได้ที่จะเข้ามาใน Q4 ซึ่งต้องถือว่าจำนวนโดยเฉพาะน้ำตาลเนี่ยจำนวนค่อนข้างมากน่าจะมีถึงประมาณสัก 2 แสนกว่าตันซึ่งก็น่าจะเป็นส่วนที่จะจะสร้างมูลค่าให้กับกลุ่ม KTIS ได้ ปีนี้พอเรามีเชื้อเพลิงที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นการขายไฟเนี่ยก็คงยาวขึ้นไปจนถึงจนถึงสิ้นเดือนกันยายนที่เราปิดงบการเงิน ก็ น่าจะเป็นส่วนที่จะผลักดันทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นประกอบกับเรื่องของเยื่อกระดาษ เยื่อกระดาษจริง ๆ เราเพิ่งมา Startup เดินเครื่องเนี่ยประมาณเดือนมิถุนายน เพราะฉะนั้นเนี่ยก็น่าจะมีช่วงที่เราเริ่มมีผลผลิตออกมาและก็น่าจะเริ่มมีรายได้จากการขายเยื่อกระดาษเพิ่มเข้ามา ส่วนของปีหน้าเองก็อย่างที่เรียนไปแล้วว่าปีหน้าเนี่ยน่าจะเป็นปีที่เรามีปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ถ้าเทียบกับปี 67/68 ที่ผ่านมา แล้วก็ความสมบูรณ์ของอ้อยเนี่ยก็น่าจะสามารถที่จะสร้างผลผลิตเป็นน้ำตาลได้มากขึ้น เช่นเดียวกันครับก็พอเรามีปริมาณอ้อยมากขึ้นเนี่ย ก็ทำให้เรามี by product เหลือมากขึ้นตามนะครับไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบากัส จะนำไปใช้ในการ ผลิตกระแสไฟฟ้านำไปใช้ในการเดินเรื่องของเยื่อกระดาษ ต่อไปถึงเรื่องของบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม เราน่าจะมีซึ่งเป็น by product ได้เพิ่มมากขึ้น การนำไปผลิตเอทานอลก็สามารถที่จะดำเนินการได้อย่างเต็มที่ ในเรื่องปริมาณที่เพิ่มขึ้นจากวัตถุดิบต้นน้ำในปี 68/69 เนี่ยก็น่าจะส่งผลให้ก่อให้เกิดรายได้ ทั้งธุรกิจน้ำตาลเองแล้วก็ธุรกิจที่เป็น by product ต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี

โดยสรุป KTIS ยังคงเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก แต่บริษัทมีโอกาสในการเติบโตจากปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจชีวภาพ และบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม การมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การสร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบ และการลดต้นทุน จะเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันให้ KTIS เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

โพสต์ล่าสุด