สรุป OPPDAY THRE: เจาะลึกผลประกอบการ Q2/2568 และทิศทางธุรกิจประกันภัยต่อ

P/E 9.94 YIELD 0.00 ราคา 0.38 (0.00%)

สรุป OPPDAY THRE: เจาะลึกผลประกอบการ Q2/2568 และทิศทางธุรกิจประกันภัยต่อ

สรุป Opportunity Day ของบริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) (THRE) ประจำไตรมาส 2 ปี 2568 โดยมีผู้บริหารเข้าร่วมให้ข้อมูลคือ คุณฉัตรชัย พยัฆทิรินทร์กูล CFO ของบริษัท และคุณณัฐพล ศิริวพงศ์โรจน์ศิริ IR ของบริษัท

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

ในไตรมาส 2 บริษัทมี:

  • เบี้ยประกันภัยรับรวม (Gross Written Premium) 1,446 ล้านบาท ตามมาตรฐานเดิม (ฉบับที่ 4)
  • รายได้จากการรับประกันภัยต่อ 724 ล้านบาท ตามมาตรฐานใหม่ (ฉบับที่ 17)
  • กำไรจากการรับประกันภัยต่อ 80 ล้านบาท
  • อัตราส่วนรวม (Combined Ratio) 88%
  • รายได้จากการลงทุน (Investment Income) 32 ล้านบาท
  • กำไรสุทธิจากบริษัทย่อย 20 ล้านบาท

โดยรวม บริษัทมีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาสนี้ 82 ล้านบาท และ Fich Rating ยังคงอยู่ที่ A- เหมือนเดิม

เปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับไตรมาส 1 พบว่าเบี้ยประกันภัยรับรวมใกล้เคียงกัน แต่รายได้จากการรับประกันภัยต่อเพิ่มขึ้น 8% และใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยต่อลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 เนื่องจากไตรมาส 1 มีผลกระทบจากการตั้งสำรองประมาณการแผ่นดินไหวประมาณ 1,100-1,200 ล้านบาท หากไม่รวมผลกระทบนี้ ค่าใช้จ่ายจะใกล้เคียงกับไตรมาส 2

เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว ค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยต่อเพิ่มขึ้นเล็กน้อยประมาณ 3% กำไรจากการรับประกันภัยต่อลดลงเล็กน้อย 17% เนื่องจากไตรมาสนี้มี Major Loss จากงานไฟไหม้ แต่ก็ยังอยู่ในวิสัยที่บริษัทตั้งเป้าไว้

รายได้สุทธิจากการลงทุนลดลง 35% เนื่องจากได้รับผลกระทบจาก Mark to Market ของอัตราแลกเปลี่ยน (เงินดอลลาร์และเงินบาท) ซึ่งเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้มีผลกระทบ FX Mark to Market ประมาณ 15-16 ล้านบาท ซึ่งรวมผลกระทบนี้ในงบกำไร แต่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง

รายได้สุทธิจากบริษัทย่อยเติบโตขึ้น 43% จากไตรมาส 1 และ 150% จากปีที่แล้ว โดยหลักๆ มาจากรายได้ 2 ส่วนคือ การให้บริการสินไหมที่เกี่ยวข้องกับประกันสุขภาพที่เพิ่มขึ้น และการให้บริการนักคณิตศาสตร์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานบัญชีฉบับใหม่ (ฉบับที่ 17)

สำหรับครึ่งปีแรก เบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโต 8% อยู่ที่ 2,902 ล้านบาท โดยเติบโตทั้งในส่วนของคอน (Conventional) และนอนคอน (Non-Conventional) ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน (52% และ 48% ตามลำดับ)

สัดส่วนการรับประกันภัยส่วนใหญ่ยังคงเป็น Accident & Health เกือบครึ่งหนึ่ง รองลงมาคือ Motor ใกล้เคียงกันที่ 24-23% Property ประมาณ 15-16% ส่วน Marine และ Arther ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

บริษัทกำลังพัฒนาในส่วนของ AI และหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น รวมถึงนำบริการมุ่งไปสู่การขยายตลาดในอาเซียนเพิ่มมากขึ้น

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

ความเสี่ยงหลักที่บริษัทกำลังเผชิญคือผลกระทบจาก Mark to Market ของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้จากการลงทุน นอกจากนี้ บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดการความเสี่ยงจากมหันตภัยต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผ่นดินไหว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการ

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

บริษัทมีแผนที่จะ Tighten Term Condition และพยายามป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะจากมหันตภัย และจะพิจารณาอย่างระมัดระวัง รวมถึงพยายามปรับปรุงการบันทึกบัญชีในแบบมาตรฐาน 17 และการบุกตลาดอินโดนีเซีย รวมถึงการเจาะตลาดไซเบอร์ให้มากขึ้น

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):

บริษัทตั้งเป้าว่าการรับประกันภัยจะเติบโตไม่น้อยกว่า 4% โดยมุ่งไปที่ Non-AH Portfolio ที่ตั้งเป้าไว้ประมาณ 8% และ Zero Growth ในส่วนที่เกี่ยวกับ AH โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ Medical Inflation นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้า Overseas Premium ที่ 5% ของ Portfolio และ Investment Yield ประมาณ 3.5%

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [00:23:09]

ขณะนี้ยังไม่มีคำถามจากนักลงทุน หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถติดต่อมาทางบริษัทผ่านเว็บไซต์หรืออีเมลของทางด้าน IR ได้

หัวข้อคำถามและคำตอบ:

ไม่มีช่วงถามตอบในคลิปนี้

โดยสรุป THRE ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาส 2 ปี 2568 แม้ว่าจะได้รับผลกระทบบ้างจากปัจจัยภายนอก เช่น อัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงจากมหันตภัย บริษัทมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจนและมุ่งเน้นการเติบโตในตลาด Non-AH รวมถึงการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ

โพสต์ล่าสุด