SCGD
บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน)

สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567

สรุป OPPDAY

SCGD โชว์ผลงานปี 67 กวาดกำไรสุทธิ 810 ล้านบาท โต 147% พร้อมลุยกลยุทธ์ปี 68 ตั้งเป้ารายได้โต 5%

สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่งาน Opportunity Day ของบริษัท SCG Decor จำกัด มหาชน ประจำไตรมาสที่ 4 และประจำปี 2567 ค่ะ วันนี้ผู้ที่นำเสนอข้อมูลคือคุณสุมิธิ โกศลเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน และดิฉัน กีรณา ดุลยประพันธ์ นักลงทุนสัมพันธ์ค่ะ

หัวข้อในการนำเสนอ

  1. ผลประกอบการรายไตรมาสและประจำปี
  2. กลยุทธ์ ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 ส่วน:
    1. กลยุทธ์ในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
    2. ความคืบหน้าการดำเนินงานตามกลยุทธ์ เพื่อเพิ่มรายได้ในปี 2573 ให้เป็น 2 เท่า
  3. ภาพรวมตลาดปี 2568

1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):

  • ผลประกอบการโดยรวมดีขึ้น: บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีกำไรสุทธิ 810 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 147%
  • การบริหารหนี้สิน: หนี้สินสุทธิอยู่ในระดับที่ไม่สูง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 1.4 เท่า
  • การจ่ายเงินปันผล: บริษัทเสนอจ่ายเงินปันผล 20 สตางค์ต่อหุ้น โดย 10 สตางค์แรกได้จ่ายไปแล้ว และอีก 10 สตางค์จะจ่ายในเดือนเมษายน
  • โครงการลดต้นทุน: บริษัทมีโครงการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์) และเชื้อเพลิงชีวมวล ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 280 ล้านบาทต่อปี
  • สินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA): การพัฒนาและออกสินค้า HVA อย่างต่อเนื่อง เช่น กระเบื้องพอร์ซเลนขัดมัน ทำให้มีอัตรากำไร (margin) สูงกว่าสินค้าปกติ
  • เทคโนโลยี: การนำเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติ (automation) มาช่วยในการดำเนินงาน ทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้อีก 70 ล้านบาทต่อปี
  • การขยายธุรกิจ: บริษัทขยายสาขาและร้านค้า 15 สาขาทั้งในและต่างประเทศ และเร่งการส่งออกสุขภัณฑ์ไปยังประเทศในอาเซียน ซึ่งมีมูลค่า 500 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา

2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):

  • การขยายตลาดต่างประเทศ: บริษัทมีแผนที่จะขยายไปตั้งโรงงานในต่างประเทศ หากการส่งออกเพิ่มขึ้น
  • สินค้าเกี่ยวเนื่อง (Complementary Products): การเพิ่มยอดขายสินค้าเกี่ยวเนื่อง เช่น ปูนกาว ยาแนว ประตู หน้าต่าง ซึ่งปีที่ผ่านมาทำได้ 400 ล้านบาท

3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):

  • สถานการณ์ในประเทศไทย: ตลาดในประเทศไทยยังคงประสบปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง, ค่าครองชีพสูง, และปัญหาน้ำท่วม ทำให้ตลาดยังอยู่ในช่วงรอการฟื้นตัว
  • ผลกระทบจากสถานการณ์ตลาด: ผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ตลาดและวันหยุดยาว
  • การลดบทบาทธุรกิจติดตั้งโซลาร์: การลดบทบาทในธุรกิจติดตั้งโซลาร์ทำให้รายได้ส่วนหนึ่งหายไป

4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):

  • โครงการลดต้นทุน: ดำเนินโครงการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์ตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย
  • การเพิ่มสัดส่วนสินค้า HVA: เพิ่มสัดส่วนสินค้า HVA ในพอร์ตสินค้า เพื่อเพิ่ม margin และกำไร
  • การใช้เทคโนโลยี: นำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินงานเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
  • การปรับโครงสร้างธุรกิจ: ปรับโครงสร้างธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):

  • แนวโน้มตลาด: ตลาดในเวียดนามเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว, อินโดนีเซียยังอยู่ในช่วงรอการฟื้นตัวหลังจากการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนใหม่, และฟิลิปปินส์มีปัญหาน้ำท่วม
  • การเติบโตในเวียดนาม: บริษัทคาดหวังการเติบโตในเวียดนามจากการบังคับใช้กฎหมายที่ดินใหม่และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
  • เป้าหมายปี 2568: ตั้งเป้ารายได้เติบโต 5% และ EBITDA มากกว่า 5% โดยเน้นการเติบโตในเวียดนามและโครงการลดต้นทุน
  • การลงทุน: วางงบลงทุน 4,000 ล้านบาท โดย 2,000 ล้านบาทแรกเป็นการลงทุนตามปกติ และอีก 2,000 ล้านบาทสำหรับ M&P (Merger and Partnership)

6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [นาทีที่ 44:30]

  • แนวโน้มการเติบโตปี 2568 และงบลงทุน:
    • คำถาม: แนวโน้มการเติบโตปี 2568 และงบลงทุนที่ใช้จะเป็นเท่าไหร่?
    • คำตอบ: คาดว่าการเติบโตหลักจะมาจากเวียดนาม โดยมีเป้ารายได้เติบโต 5% และ EBITDA มากกว่า 5% งบลงทุนอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท โดย 2,000 ล้านบาทเป็นการลงทุนปกติ และ 2,000 ล้านบาทสำหรับ M&P
  • แผนการเติบโตในเวียดนาม:
    • คำถาม: แผนการเติบโตในเวียดนามที่เกี่ยวข้องกับโครงการ M&P มีความคืบหน้าอย่างไร?
    • คำตอบ: มีแผนที่จะขยายโรงงานในเวียดนาม โดยเฉพาะทางภาคใต้ ตอนนี้อยู่ระหว่างการเจรจา และคาดว่าครึ่งปีหลังจะมีความคืบหน้ามาแจ้งให้ทราบ
  • โครงการลดต้นทุนปี 2568:
    • คำถาม: คาดว่าจะลดต้นทุนได้ 280 ล้านบาทต่อปีอีกหรือไม่?
    • คำตอบ: คาดว่าจะลดได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการทำโครงการเพิ่มขึ้น เช่น โครงการโซลาร์เซลล์และชีวมวล
  • สินค้าเรือธงของกลุ่ม HVA:
    • คำถาม: สินค้าเรือธงของกลุ่ม HVA คือแบรนด์อะไร และมี potential มากน้อยแค่ไหน?
    • คำตอบ: แบรนด์หลักในประเทศไทยคือ Cotto แต่ละประเทศมีแบรนด์หลักของตัวเอง Cotto จะเจาะตลาดตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึง Luxury
  • ผลกระทบจากประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นภาษี:
    • คำถาม: การขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์จะมีผลกระทบต่อบริษัทมากน้อยแค่ไหน?
    • คำตอบ: นโยบายของสหรัฐฯ เน้นการปกป้องและส่งเสริม American First ทำให้มีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งอาจทำให้จีนต้องพิจารณาการส่งออกไปยังประเทศอื่น รวมถึงอาเซียน บริษัทมีประสบการณ์ในการ manage สินค้านำเข้าจากจีน และยังมองหาโอกาสในการร่วมมือกับผู้ผลิตระดับโลกในการย้ายฐานการผลิต
  • เป้าหมายอัตรากำไรสุทธิปีนี้:
    • คำถาม: เป้าหมายอัตรากำไรสุทธิของปีนี้คือเท่าไหร่?
    • คำตอบ: อัตรากำไรสุทธิจะแปรผันตามกัน หากยอดขายขึ้น 5% และ EBITDA ขึ้นมากกว่า 5% Net profit ก็ต้องขึ้นมากกว่า 5%
  • ความคืบหน้าการขายที่ดิน:
    • คำถาม: มีความคืบหน้าในการขายที่ดินอย่างไรบ้าง?
    • คำตอบ: ที่ดินนิคมยังเหลือ available ประมาณ 30-40 ไร่ และยังเป็นที่ดินรอขาย หากเศรษฐกิจดีขึ้นและมีผู้สนใจ ก็จะขาย แต่ธุรกิจนี้ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัท
  • ผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย:
    • คำถาม: การลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีผลต่อการลดต้นทุนทางการเงินของเรามากน้อยแค่ไหน?
    • คำตอบ: มีผล เนื่องจากบริษัทมีหนี้เงินกู้ประมาณ 13,000 ล้านบาท โดยครึ่งหนึ่งเป็นการกู้จากสถาบันการเงินซึ่งเป็นเงินกู้ระยะสั้น และอีกครึ่งหนึ่งเป็นเงินกู้จากบริษัทแม่ ซึ่งลิงก์ตามราคาตลาด ดังนั้นการลดดอกเบี้ยจะทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลง
  • การลดต้นทุน:
    • คำถาม: ปีนี้จะลด Cost ได้เพิ่มอีกไหม เนื่องจากปีที่แล้วทำไปค่อนข้างเยอะแล้ว?
    • คำตอบ: ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งโซลาร์เซลล์, ใช้ชีวมวล, เพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้อง HVA, ทำ Business restructure, และลด Working cap

โดยสรุป SCGD ประสบความสำเร็จในการเพิ่มกำไรสุทธิในปี 2567 และมีแผนการเติบโตที่ชัดเจนในปี 2568 โดยเน้นการขยายตลาดในเวียดนาม, การเพิ่มสัดส่วนสินค้า HVA, และการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนและขยายธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต