สรุป OPPDAY หุ้น SCGD
Oppday
สรุป OPPDAY
SCGD เผยกลยุทธ์ล่าสุด! เจาะลึกผลประกอบการ Q3/2568 พร้อมมองอนาคตธุรกิจอย่างมั่นใจ
สวัสดีค่ะท่านนักลงทุนทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่งาน Opportunity Day ประจำไตรมาสที่ 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2568 ของ SCGD ค่ะ วันนี้ดิฉัน สุพิศรา วัชรังคูณ นักลงทุนสัมพันธ์ และคุณป๊อบ สิทธิชัย สุนกิจประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน หรือ CFO จะมาร่วมนำเสนอข้อมูลในวันนี้ค่ะ
Agenda ในวันนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 4 พาร์ทด้วยกันนะคะ
- พาร์ทแรกจะบอกเล่าเกี่ยวกับบทสรุปของผลการดำเนินงาน ณ ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
- ตามมาด้วยเรื่องของกลยุทธ์ในการดำเนินงานค่ะ
- ลำดับถัดไปก็จะเป็นรายงานความคืบหน้า การเติบโต ผลการดำเนินงาน 2 เท่า
- และจบด้วยพาร์ทที่เกี่ยวกับการคาดการณ์สถานการณ์ตลาดในไตรมาสที่ 4 ค่ะ
1. ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview):
สรุปผลการดำเนินงานตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 ที่มีการดำเนินตามนโยบายของ SCGD ในเรื่องของการสร้าง Competitiveness และเห็นว่า Performance ของบริษัทดีขึ้นมาเรื่อยๆ โดยมีปัจจัย 5 เรื่อง:
- ตั้งเป้าหมายที่จะ Improve ตัว Margin และ Financial Result ของบริษัทให้ดีขึ้น แม้ว่าภาวะสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศจะไม่ดี
- เน้นไปที่การเติบโตของที่เวียดนาม เพราะตลาดที่เวียดนามมีศักยภาพ จึงเน้นพัฒนาปรับปรุงทั้งสายการผลิตและเรื่องของการขายในเวียดนามมาโดยตลอด
- เร่งอัตราการเติบโต แม้ว่าภาพรวมตลาดจะแย่ลง โดยการเพิ่มสินค้าใหม่ๆ เข้ามาในพอร์ต
- พยายามที่จะมีโครงการต่างๆ มี Initiative ต่างๆ เพื่อมาลด Cost โดยเฉพาะในเรื่องของการใส่เงินลงทุนเข้าไปพัฒนาเรื่อง Automation ให้มากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานหรือการผลิตต่างๆ ให้มากขึ้น
- มีการปรับโครงสร้างการทำงาน โครงสร้างการบริหารงานต่างๆ ซึ่งทำให้บริษัทสามารถมีโครงสร้างต้นทุนที่ค่อนข้าง Efficient และ Lean ในการที่จะส่งมอบ Performance ที่ดีได้ต่อเนื่อง
EBITDA ขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 902 ล้านบาท (+18% YoY, +12% QonQ), Margin หรือ EBITDA on Sale อยู่ที่ประมาณ 16%, Net Profit มาอยู่ที่ 305 ล้านบาท (+61% YoY, +37% QonQ), EBITDA และ Net Profit อยู่ในเกณฑ์ที่สูงที่สุดตั้งแต่จัดตั้ง SCGD ขึ้นมา, Gross Profit Margin อยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่อง 28.2%, Core EBITDA อยู่ที่ประมาณ 15.6% และ Profit Margin อยู่ที่ประมาณ 5.1%
Efficiency Improvement ที่ทำให้ตัว Margin ของบริษัทดีขึ้น มาจากทั้งในส่วนที่เป็น Prime มีเรื่องของ Production Cost ที่ลดลง Prime คือที่เวียดนาม และนำ Production Cost ที่ลดลงที่เวียดนามส่งไปให้ตลาดอื่นๆ ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นที่ฟิลิปปินส์หรือเมืองไทยเอง
มีการใช้ Biogas การใช้ Solar ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามแผนงาน และเรื่องของการ Control Operating Cost ที่ทำเข้มข้นต่อเนื่อง และมีการควบคุม Working Cap ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การขายที่ลดลง และมีการควบคุม Inventory และมีเรื่องของการปรับ Loan Structure เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยจ่าย
2. โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities):
เน้น 4 Growth Driver และ 4 เรื่องที่เป็นเรื่องของ Cost Competitive ที่ทำ:
- Vietnam: Position เวียดนามให้เป็น Export Hub เพราะว่า Cost Competitive
- เพิ่มกำลังการผลิต และการขายในส่วนของที่เป็น Grease Porcelain ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Value และอัตราการทำกำไร
- Thailand: ตลาดหลักค่อนข้างชะลอตัว จึงขยายส่วนของที่เป็น New Product (New Growth) ซึ่งจะมาช่วยลด Impact จากที่ตลาดชะลอตัว
- ทุกประเทศพยายามพัฒนาสินค้า HVA ออกมาอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดมีกลุ่มสินค้าที่เรียกว่า SVP หรือ Smart Value Product เพิ่มเข้ามา เป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่มีงบประมาณจำกัด แต่จำเป็นต้องใช้ของที่อาจจะราคาถูกลง เพื่อรักษาฐานลูกค้ากลุ่มนี้ไว้ด้วย
3. ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges):
ตลาดในประเทศไทยยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 3
4. วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation):
ลด Energy Cost ผ่านการใช้พลังงานทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น Biogas หรือ Solar ลดต้นทุนวัตถุดิบ ผ่านการพูดคุยเจรจา กับทาง Supplier หลักๆ พอได้ต้นทุนถูกลงก็นำไปทำ Digitalization ลด Working Cap โดยการควบคุม Inventory ให้ลดลงตามสถานการณ์ โดยเฉพาะเมืองไทย และลด Finance Cost
5. แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends):
เวียดนามเป็น Center ของ SCGD ในช่วงเวลาต่อจากนี้ Position เวียดนามให้เป็น Export Hub เพราะว่า Cost Competitive ต้นทุนของ Prime ที่ผลิต Grease Porcelain จากไตรมาสที่แล้วที่รายงานไว้ว่าลงมา Match ต้นทุนกับทางผู้ผลิตของจีนแล้ว ล่าสุดไตรมาส 3 ลงมาได้อีกเล็กน้อย มาอยู่ที่ระดับ 97 แล้ว
สัดส่วนการ Export อยู่ที่ประมาณ 33% และมี New Destination ด้วย ซึ่งก็จะอยู่ในช่วงอยู่ในโซนประเทศยุโรปตะวันออก
ตลาดเวียดนามลูกค้าหันไปใช้ตัว Grease Porcelain มากขึ้น ต้องมี Supply ความสามารถในการ Supply ที่เพิ่มขึ้น ในไตรมาส 3 มี Capacity หรือกำลังการผลิตของในส่วนของที่เป็น Grease Porcelain ขึ้นไปถึง 19 ล้านตารางเมตรแล้ว และมีเป้าที่จะเพิ่มต่ออีกต่อเนื่อง ในอีก 5 ปีข้างหน้าก็จะอยู่ที่ประมาณ 45 ล้าน
Forelane Sale เติบโตต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ขายที่ Prime รวม เติบโตขึ้น 20%
ในประเทศ สถานการณ์ในส่วนของที่เป็นเซรามิกกับสุขภัณฑ์ ยอดขายลดลง ตลาดก็ชะลอตัวตามภาวะตลาด แต่ในกลุ่มสินค้าใหม่ๆ ที่เอาเข้ามาขายในพอร์ต ยอดขายรวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนถึง 50%
HVA ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมามีสัดส่วนถึง 41% กลุ่มนี้จะทำให้ลูกค้าในภาวะที่การแข่งขันราคาสูงขึ้นจากภาวะตลาดชะลอตัว ลูกค้าจะยังคงอยู่กับบริษัท เพราะสินค้ามีการพัฒนา มีการ Launch ออกมาใหม่ๆ มากขึ้น และยังมีในส่วนของ SVP ด้วย เพราะถ้าไม่มี SVP จะไม่สามารถรักษาฐานตลาดเอาไว้ได้ เพราะลูกค้าในภาวะตลาด ลูกค้าหลาย Segment หลายกลุ่ม จะหันไปซื้อกลุ่มซื้อราคาสินค้าที่ชะลอตัวลง
ต้นทุนพลังงานก็ลดลงมาอีกหน่อย อยู่ที่ประมาณต่ำกว่า 29 เล็กน้อยแล้ว เป็นเพราะว่ามีการเพิ่มสัดส่วนการใช้ Biomass และในส่วนของ Solar Cell ที่เพิ่มขึ้นด้วย
Solar เข้ามาทดแทนพลังงานไฟฟ้า ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 13.6% ในไตรมาส 3 มี Solar เพิ่มมา Solar มาใช้เพิ่มอีกประมาณ 5.5 เมก เป้าหมายปี 2573 จะอยู่ที่ประมาณ 15% Savings ต่อปีอยู่ที่ประมาณ 22 ล้าน
Biomass ในไตรมาส 3 เพิ่มมาอีก 1.5% สะสมรวมกันทั้งปี สัดส่วนการใช้พลังงานความร้อนทั้งหมด มาจาก Biomass แล้วอยู่ที่ 23.5% สร้าง Savings ต่อปีให้บริษัทได้ถึง 15 ล้านบาท
Working Capital ในประเทศพอการสินค้าหลักลดลง ก็ลด Inventory ลง เงินทุนหมุนเวียนที่ต้องใช้ไปกับสินค้าคงคลัง น้อยลง ทำให้เงินทุนหมุนเวียนลดลง และมันก็แปลงกลับมาเป็น ไม่จำเป็นต้องมีเงินหมุนเยอะ และสามารถลด อัตราดอกเบี้ยที่มันเกิดขึ้นจากการที่ต้องมีเงินไปจมอยู่ตรงนี้ได้มากขึ้น
มีกระแสเงินสดที่เพียงพอดีขึ้น จาก Performance ที่ดีขึ้น ก็นำไปลดหนี้ มีการเปลี่ยน อัตราดอก เปลี่ยนเงินกู้ Refinance จากเงินกู้ที่อัตราดอกเบี้ยสูง มาใช้ อัตราดอกเบี้ยต่ำ สามารถประหยัดเรื่องของ Financing Cost ตรงนี้ได้ถึง 33 ล้านบาท
6. ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session): [เริ่ม Q&A นาทีที่ 40:07]
มุมมองต่อการเติบโตของบริษัทในปีหน้า
ปีหน้า Regional ยังเติบโต เวียดนามในไตรมาส 4 และปีหน้ายังคงเติบโตต่อเนื่องโดยตลาด ฟิลิปปินส์และอินโดคงค่อยๆ ดีขึ้น แต่อาจจะไม่มากเท่าเวียดนาม เมืองไทยก็อาจจะยังคงชะลอตัวต่อ ต้องรอผลจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ
วัฒนธรรมภายในองค์กรของ Decore
มีการกระจายอำนาจการตัดสินใจ ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม และการตระหนักถึงการลดต้นทุนอยู่เสมอ มีการเน้นย้ำในเรื่องของวัฒนธรรมการทำงาน ใช้คำว่า Great Culture ส่งเสริมให้พนักงานมีความคิดใหม่ๆ มีความคิดริเริ่ม มีความเป็นมืออาชีพ Professional ตั้งใจทำงาน ทำงานหนัก มีความยืดหยุ่นกับสถานการณ์ สามารถยืดหยุ่น ปรับตัวได้รวดเร็ว และมีการทำงานร่วมกัน เหล่านี้จะช่วยส่งเสริมในเรื่องของการช่วยการลดค่าใช้จ่าย ทำอะไรที่มัน Efficient ขึ้น เรื่องของความคุณธรรมจริยธรรมเป็น DNA ของ SCG อยู่แล้ว
การแก้ไขปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่กระทบต่อรายได้ของบริษัท
แล้วแต้ตลาด เมืองไทย กรณีที่ขายไปให้สินค้าในประเทศเพื่อนบ้าน พยายามให้ซื้อขายเป็นบาท ประเทศเพื่อนบ้านใช้เงินบาทกันอยู่แล้ว ถ้ามีการซื้อขาย Export หรือ Import เวลาที่มี Order แล้ว จะพยายามปิดความเสี่ยงตรง Order นั้นเลย ใช้ Underline Sale เนี่ยเป็น Underline และทำซื้อ Forward Currency ในระดับ Operation มีการปิดความเสี่ยงในเรื่องของความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน
แผนรับมือต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ
บริษัทมีการใช้ BCM (Business Continuity Management) มีคณะทำงานที่เป็นระดับตั้งแต่ระดับผู้บริหารระดับสูง ระดับกลาง แล้วก็ระดับที่เป็นไซส์งาน แบ่งความรับผิดชอบแบ่งหน้าที่กันในแต่ละคณะ มีการซ้อมแผนรับมือภัยพิบัติ หรือว่าเหตุฉุกเฉินต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ไซส์งานกังวลเรื่องน้ำท่วม มีการเตรียมที่ตัวไซส์งาน เตรียมที่ อุปกรณ์ในการป้องกันหรือในเรื่องไม่ว่าจะเป็นปั๊มน้ำ หรือแผงกั้นน้ำ เรื่อง Asset ในเมืองไทยค่อนข้างรัดกุม Implement ใช้ทุกที่ เมืองไทย ฟิลิปปินส์ เจอพายุต่อเนื่อง หรือที่เวียดนาม อินโดก็เช่นกัน
งบประมาณสำหรับทำการตลาดของบริษัทต่อปี
ปกติจะมีอยู่ประมาณ 3% on sale ต่อปีสำหรับเรื่อง Marketing Budget
ภาพรวมการเติบโตยอดขายของ คอตโต้ ไลฟ์
สาขาดอนเมืองเป็นสาขาใหญ่สุด เป็นสาขาที่อยู่กับสำนักงานใหญ่ ยอดขายยังดีอยู่ต่อเนื่อง มีสินค้าครบ สินค้าและบริการครบ ที่ภูเก็ตที่เพิ่งเปิด ก็มียอดขายได้ตามเป้าหมาย
ศักยภาพในการเป็นผู้เล่นในระดับเอเชียในอีก 1 ทศวรรษข้างหน้า
Position หรือตั้งเป้าหมายตัว SCGD เป็น Leading ในอาเซียน Country อาจจะไม่ได้ตั้งเป้าหมายไปถึงเอเชีย เอเชียนี่รวมไปถึง จีนไปถึงหลายที่ ในอาเซียนเป็น Leading อยู่แล้ว และตั้งเป้าให้ดีขึ้นและจะเป็นเบอร์หนึ่ง
แผนการดำเนินงานเรื่อง M&A ในเวียดนาม
M&A Project ในปีนี้คงต้องชะลอออกไปเป็นปีหน้า ในการทำ M&A ค่อนข้างรัดกุม จะดูเรื่องคุณภาพของการลงทุนของ Deal ตัวนี้ ให้รัดกุม ให้รอบคอบ เพื่อ ป้องกันความ ผิดพลาดหรือความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นหลังจากการเข้าไป ลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำมาโดยตลอด เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ถือหุ้นเสียหายกับการลงทุน ที่บางทีเร็วเกินไป หรือบางที ดูไม่ ดูไม่ละเอียดรอบคอบพอ
แผนที่จะลดต้นทุน
ต้นทุนพลังงาน ก็จะหันไปใช้ Biomass เพิ่มขึ้น ยังมีรูมที่จะทำอีกเยอะ เป้าหมายคือ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ Solar ก็จะเพิ่มได้อีกหน่อย ใน Operation โรงงาน สามารถที่จะเปลี่ยนจากระบบที่มันเป็น Mechanic ปกติ หรือเป็น Manual ให้หันมาเป็น Automation มากขึ้น ในส่วนของ Office ใช้ Software ต่างๆ ล่าสุดมี AI จะช่วยพัฒนาการทำงาน ให้มันมีประสิทธิภาพมากขึ้น งานขยายแต่ใช้คนเท่าเดิม หรือใช้คนเพิ่มขึ้นไม่เยอะ
มีการยืมเงินกู้มาจากต่างประเทศหรือไม่
ไม่มี เงินกู้สกุลเงินไทยบาททั้งหมด
แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4 และภาพรวมอุตสาหกรรมในปีหน้า
ไตรมาส 4 เมืองไทยตลาดยังคงชะลอตัวอยู่ ที่เวียดนามน่าจะดีขึ้นอีก เพราะว่าเป็นช่วง High Season ฟิลิปปินส์และอินโดคงทยอยดีขึ้น ในภาพรวมแล้ว ถ้า Top Line เป็นอย่างที่เรียน ในเรื่องของต้นทุนมั่นใจ Result มาโดยตลอด ถ้าต้นทุนเป็นอย่างที่ว่า มั่นใจ ผลดำเนินงานคงเป็นอย่างที่พอคาดเดาได้ ปีหน้าเป็นปีที่ท้าทาย พยายาม ลดค่าใช้จ่ายลดต้นทุนต่อเนื่อง พยายามขายสินค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้น จะเห็นอยู่ ในสไลด์ว่ามีการเติบโตในกลุ่มสินค้าใหม่ๆ ต่อเนื่อง จะทำต่อเนื่องผลักดันและจะทำให้มากขึ้น เพื่อชดเชย หรือว่าจะสร้าง Growth ในภาพรวม
โดยสรุป SCGD ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะเวียดนาม พร้อมทั้งควบคุมต้นทุนและพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น