สรุปงบล่าสุด SCGD

บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุปสั้น
ยังไม่มีรายละเอียด อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูล
สรุปด้วย AI(O) BOT
**สรุปผลประกอบการ SCGD: ไตรมาส 4 ปี 2567 และภาพรวมปี 2567 พร้อมข้อมูลเพิ่มเติม**
SCGD หรือ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) ในไตรมาส 4 ปี 2567 ยังคงมุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพภายในอย่างต่อเนื่อง แม้ต้องเผชิญกับสภาวะตลาดที่ชะลอตัวทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงผลกระทบจากน้ำท่วมในฟิลิปปินส์ โดยมีพัฒนาการที่สำคัญคือการเร่งลงทุนในโครงการลดต้นทุน เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานชีวมวล ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่อตารางเมตรลดลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และนำเทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์มาใช้ในกระบวนการทำงาน ทำให้สามารถลดผลกระทบจากสภาวะตลาดที่ยังคงชะลอตัวได้ ในส่วนของงบการเงิน แม้ว่ารายได้รวมของปี 2567 จะลดลง 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เหลือ 25,563 ล้านบาท แต่กำไรสุทธิกลับเติบโตอย่างโดดเด่น โดยมีกำไรสุทธิ 810 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 147% จากปีก่อนหน้า และ 810.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% หากไม่รวมรายการพิเศษ (Non-Recurring) และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 3.6% (ไม่รวมรายการพิเศษ) เพิ่มขึ้นจาก 2.9% ในปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ณ สิ้นปี 2567 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 39,823 ล้านบาท โดยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 9,174 ล้านบาท และมีหนี้สินรวม 19,117 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย 13,870 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น 20,706 ล้านบาท ทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.4 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 0.2 เท่า บริษัทมีรายจ่ายลงทุนและเงินลงทุนในปี 2567 อยู่ที่ 2,047 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการขยายธุรกิจ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ
สำหรับแผนธุรกิจและกลยุทธ์ในอนาคต SCGD มุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง การขยายตลาดไปยังต่างประเทศ และการปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดต้นทุน บริษัทได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานชีวมวลให้มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดต้นทุนด้านพลังงาน นอกจากนี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาระดับความสามารถในการทำกำไร โดยคาดการณ์ว่าตลาดในต่างประเทศจะค่อยๆฟื้นตัว โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง แต่บริษัทก็พร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยเน้นธุรกิจสุขภัณฑ์และวัสดุตกแต่งพื้นผิว และแสวงหาพันธมิตรเพื่อขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว มีการลงทุนในโครงการต่างๆ เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการใช้พลังงานชีวมวล โครงการกระเบื้องเกรซพอร์ซเลน และโครงการวัสดุปิดผิวอื่นๆ รวมถึงการขยายสาขาร้านค้าทั้งในและต่างประเทศ
จากผลประกอบการล่าสุดและอัตราส่วนทางการเงินที่ผ่านมา การลงทุนใน SCGD อาจเป็นโอกาสที่น่าสนใจ แม้ว่าราคาหุ้นเฉลี่ยจะลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 10.08 บาทในไตรมาส 4 ปี 2566 มาอยู่ที่ 6.23 บาทในไตรมาส 4 ปี 2567 แต่ก็สะท้อนถึงความคาดหวังที่ลดลงของนักลงทุน ซึ่งอาจเป็นโอกาสในการเข้าซื้อสำหรับนักลงทุนที่มองระยะยาว เนื่องจาก P/E ปัจจุบันอยู่ที่ 8.59 และ P/BV อยู่ที่ 0.4 ซึ่งแสดงว่าหุ้นมีราคาค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี ในขณะที่ YIELD อยู่ที่ 3.29% ซึ่งอาจจะไม่ดึงดูดนักลงทุนที่เน้นรับเงินปันผลมากนัก แต่หากมองในแง่ของการเติบโตในอนาคต การที่บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิได้ถึง 809.881 ล้านบาทในปี 2567 โดยมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 3.6% (ไม่รวมรายการพิเศษ) และมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง 3,487.53 ล้านบาท บ่งบอกถึงศักยภาพในการเติบโตในอนาคต นอกจากนี้ บริษัทมี D/E ต่ำกว่า 1 (0.96) ซึ่งแสดงว่าฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง แม้ว่าเงินสดสุทธิจากกิจกรรมลงทุนจะติดลบ (-1,730.041 ล้านบาท) แต่ก็หมายถึงการที่บริษัทนำเงินไปลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจ สินทรัพย์รวมของบริษัทอยู่ที่ 39,823 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าหนี้สินรวมที่ 19,117 ล้านบาท สะท้อนถึงความมั่นคงทางการเงิน นอกจากนี้ การที่บริษัทมีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ก็ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดต้นทุนในระยะยาวได้อีกด้วย
**โอกาส:**
* การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการต่างๆ
* การพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและตอบสนองความต้องการของตลาด
* การฟื้นตัวของตลาดต่างประเทศในระยะยาว โดยเฉพาะในเวียดนามและอินโดนีเซีย
* การขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ โดยมีช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย
* ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและมีความสามารถในการลงทุน
**ความเสี่ยง:**
* ความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ลดลง
* ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา
* ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติที่อาจกระทบต่อการดำเนินงาน
* ความเสี่ยงด้านกฎหมายในต่างประเทศ
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ SCGD ยังคงเป็นบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว แม้ว่าอาจต้องเผชิญกับความท้าทายในระยะสั้น ดังนั้น SCGD อาจเหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองเห็นศักยภาพในการเติบโตระยะยาวมากกว่านักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้นหรือเน้นรับเงินปันผล โดยอาจต้องใช้เวลาในการรอให้บริษัทแสดงศักยภาพในการเติบโตอย่างเต็มที่ และนักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
(3.78%)
(71.62%)
(8.33%)
(70.07%)
(4.71%)
(5.47%)
(3.26%)
(65.90%)
(57.87%)
(20.04%)
(332.94%)
(7.52%)