สรุปด้วย AI(O) BOT

บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2567 มีผลขาดทุนสุทธิ 6.72 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.37 ล้านบาท ผลประกอบการหดตัวลงเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้เกิดช่องว่างในช่วงที่โครงการเดิมแล้วเสร็จ แต่โครงการใหม่ที่บริษัทประมูลได้แล้วหลายสัญญา ผู้ว่าจ้างเพิ่งแจ้งให้เริ่มงานก่อสร้างได้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 - ต้นไตรมาสที่ 3 นอกจากนี้ พร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ของภาครัฐเพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายน ทำให้การเปิดประมูลโครงการต่างๆ ได้ทยอยออกมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 3

บริษัทมีแผนธุรกิจในอนาคตเน้นการขยายงานในโครงการขนาดใหญ่ (Megaproject) ของภาครัฐ เช่น โครงการทางด่วนสายใหม่ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง โครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มงานก่อสร้างได้ตั้งแต่ปลายปี 2567 โดยบริษัทคาดหวังว่ารายได้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568 โดยเฉพาะในไตรมาส 3 และ 4 ซึ่งจะได้รับผลดีจากการทยอยเริ่มงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ

จากผลประกอบการไตรมาสล่าสุดและอัตราส่วนทางการเงินย้อนหลัง บริษัท PYLON มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำกว่า 1 สะท้อนถึงฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทมีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน 261.26 ล้านบาท และมีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการลงทุน 0 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7.15% และ YIELD 7.91% ราคาหุ้นเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี (2564-2567) อยู่ที่ประมาณ 4.12 บาท P/E และ P/BV ล่าสุดอยู่ที่ 28.46 และ 1.27 ตามลำดับ บริษัทมีวงจรเงินสด 36.91 โดยรวมแล้ว บริษัทมีฐานะการเงินที่มั่นคงและมีโอกาสเติบโตสูงในอนาคต จากแผนธุรกิจที่จะเน้นการขยายงานในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาถึงความเสี่ยงดังต่อไปนี้:

**โอกาส:**
* ภาครัฐมีแผนลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในอนาคต
* บริษัทมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างฐานราก
* บริษัทมีฐานะการเงินที่มั่นคง

**ความเสี่ยง:**
* ภาวะเศรษฐกิจอาจชะลอตัว
* โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐอาจล่าช้า
* คู่แข่งในตลาดมีมาก

จากการวิเคราะห์ PYLON เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาโอกาสลงทุนระยะยาว โดยบริษัทมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแผนธุรกิจที่เน้นการขยายงานในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ และมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง นักลงทุนอาจพิจารณาการลงทุนเพื่อรับเงินปันผล หรือเก็งกำไรระยะยาว โดยควรติดตามผลประกอบการและแผนธุรกิจของบริษัทอย่างใกล้ชิด