สรุป OPPDAY หุ้น PRM

บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 4 ปี 2567
สรุป OPPDAY
PRM: พลิกกลยุทธ์ ปรับพอร์ตธุรกิจ สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ปี 2567 ไตรมาส 4
สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งในงานพบปะนักลงทุนของบริษัท พริมา มารีน จำกัด มหาชน ประจำไตรมาส 4 ของปี 2567 ครับ วันนี้เราได้รับเกียรติจากคุณ ฤทธิพล จุกไตรรัตน์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี และผม ภัทร เลิศสมบูรณ์ ผู้จัดการฝ่ายการเงินและ IR ครับ
พริมา มารีน ขอเริ่มต้นด้วยภาพรวมของผลการดำเนินงานประจำปีที่ผ่านมาครับ
ก่อนอื่น ขอเรียนให้ทราบว่าพริมา มารีนมีการปรับกลยุทธ์เพื่อให้โครงสร้างรายได้มีความสมดุลมากขึ้นในแต่ละธุรกิจ เพื่อลดความเสี่ยงในการพึ่งพารายได้จากธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง บริษัทมุ่งเน้นการขยายธุรกิจ Offshore Support หรือ OSV ซึ่งสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงจากสัญญา Time Charter ระยะยาวได้ และยังสนับสนุนการฟื้นตัวของ FSU นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานในการขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปและเคมีก็มีการขยายตลาดให้กับลูกค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
มาดูที่ตัวเลขกันนะครับ ฝั่งช่องซ้าย เราเปรียบเทียบให้เห็นใน Q3 ของปีที่แล้ว กับ Q3 และ Q4 ของปี 2567 หากเปรียบเทียบใน Q4 ปี 2567 กับปี 2566 จะเห็นว่ารายได้เพิ่มขึ้นมา 47 ล้านบาท แต่ถ้าไปเปรียบเทียบกับ Q3 จะเห็นว่าลดลงไป 70 ล้านบาท อันนี้เนื่องจากว่าใน Q4 ปีที่ผ่านมาเรามีเรือเข้าอู่หลายลำ
ด้านขวา ช่องบน จะเห็นว่ารายได้ในปี 2567 คือ 8,790 ล้านบาท ถ้าเปรียบเทียบกับปี 2566 รายได้ก็เพิ่มขึ้นมา 703 ล้านบาท
ด้านล่าง กำไรใน Q4 ปี 2567 คือ 487 ล้านบาท ถ้าเทียบกับ Q3 ในปีเดียวกัน ก็ติดลบไป 7 ล้านบาท แต่ถ้าเทียบกับ Q4 ปี 2566 จะเห็นว่าติดลบไป 282 ล้านบาท ต้องเรียนให้ทราบว่าใน Operation จริงๆ ของ Q4 ปี 2566 คือ 457 ล้านบาท ต่ำกว่าปีนี้ 30 ล้านบาท แต่เนื่องจากมีรายการพิเศษ คือการขายเรือ Crystal Star ไป ทำให้มีกำไรมา 312 ล้านบาท
ต่อไปเป็นผลการดำเนินงานแยกรายธุรกิจนะครับ
ธุรกิจที่ 1 กลุ่ม PCT หรือเรือขนส่งน้ำมันและเคมีเหลว ในกลุ่มนี้มีเรือทั้งสิ้น 38 ลำ ทั้งในส่วนของรายได้และกำไรขั้นต้นของปี 2567 เติบโตขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 สาเหตุหลักคือ
- การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ทำให้การขนส่งน้ำมันของบริษัทมีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งน้ำมันเบนซิน ดีเซล และ Jet A1 โดยเฉพาะการขนส่ง Jet A1 ไปยังภาคใต้
- การขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเรือที่ลงทุนซื้อในปี 2566 คือกลุ่มของเรือเคมี 2 ลำ ซึ่งเข้าทำงานในปี 2567 เต็มปี และยังมีการซื้อเรือขนส่งน้ำมันเพิ่มเติมเข้ามา 1 ลำในช่วงกลางปี
ธุรกิจที่ 2 Crude Oil Carrier หรือ COC เป็นธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบ ความแตกต่างจากธุรกิจแรกคือ PCT ขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปที่กลั่นจากโรงกลั่นแล้วส่งไปให้ผู้บริโภคที่ภาคใต้เป็นหลักและขนส่งเคมีเหลว ส่วน COC เป็นการขนส่งน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางเข้ามาโรงกลั่นในประเทศไทย ปัจจุบันมีเรือให้บริการในกลุ่มนี้ 3 ลำ เป็นเรือขนาด VLCC ขนได้ประมาณ 300 ล้านลิตรต่อรอบ แม้ว่ารายได้และกำไรขั้นต้นอาจลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่สาเหตุหลักคือการปรับกลยุทธ์ โดยในปี 2566 จะมีเรือขนาด Aframax 1 ลำ และ VLCC 3 ลำ รวมเป็น 4 ลำ แต่เรือ Aframax มีอายุค่อนข้างเยอะ 19 ปีแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่อยากให้เรือมีอายุไม่เกิน 20 ปี ดังนั้นพริมา มารีนจึงปรับกลยุทธ์โดยการ Convert เรือ Aframax ให้กลายเป็น FSO ซึ่งเป็นเรือที่อยู่ในกลุ่มของธุรกิจ Offshore Support Vessel
ธุรกิจที่ 3 Floating Storage Unit หรือ FSU เป็นธุรกิจที่เอาเรือเก่าเรือมือสองมาดัดแปลงให้กลายเป็นคลังน้ำมันลอยน้ำ ซึ่งทำอยู่ที่ประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ ปี 2567 เป็นปีที่ดีของ FSU มาก เพราะทั้งรายได้และกำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 สาเหตุหลักมาจากอัตราการใช้เรือที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน เพราะความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ทำให้เรือพยายามหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าใกล้ทะเลแดง ทำให้เรือต้องใช้เส้นทางที่อ้อมมากขึ้น ประกอบกับจุดเติมน้ำมันบังเกอร์ในประเทศสิงคโปร์ซึ่งเป็นจุดซื้อขายน้ำมันแหล่งใหญ่ของเอเชีย เรือจำนวนมากจึงต้องซื้อน้ำมันเก็บตุนไว้บนเรือก่อนเดินทางไปยังภูมิภาคตะวันตก นอกจากนี้ Supply เรือที่ตึงตัว ทำให้เจ้าของเรือเก่าชะลอการขายเรือ ทำให้เรือ FSU ใหม่ๆ ที่จะเข้าในตลาดมีไม่มาก ลูกค้าจึงพยายามจับจองใช้เรืออย่างเต็มที่เพื่อป้องกันการขาด Supply เรือ
นอกจากนี้ กฎระเบียบทางสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเกรดแปลกๆ มีเยอะขึ้น ปริมาณถังบนบกที่สิงคโปร์อาจไม่เพียงพอ จึงมีการขยายการเก็บไปบนเรือ ทำให้ FSU ปรับตัวดีขึ้น
ธุรกิจที่ 4 OSV หรือ Offshore Support Vessel เป็นธุรกิจเรือที่สนับสนุนการสำรวจและผลิตน้ำมันกลางทะเล โดยเฉพาะในอ่าวไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธุรกิจนี้เติบโตอย่างมากในปี 2567 โดยรายได้โตขึ้นกว่า 65% และกำไรขั้นต้นโตกว่า 67% เพราะพริมา มารีนมองเห็นว่าธุรกิจนี้มีโอกาสมากขึ้นในอนาคต เนื่องจากความต้องการใช้เรือในอ่าวไทยมีค่อนข้างมากหลังจากการเปลี่ยนผ่านของผู้ที่ได้รับสัมปทานในอ่าวไทย บริษัทเริ่มลงทุนต่อเรือตั้งแต่ปี 2566 และเรือที่ต่อก็เข้างานตั้งแต่ต้นปี 2567 ประกอบด้วย
- เรือ AWB หรือเรือโรงแรมลอยน้ำ จากเดิม 1 ลำ เพิ่มเป็น 2 ลำ
- เรือ Crew Boat ที่ขนส่งคนและเครื่องจักรต่างๆ ระหว่างชายฝั่งไปแท่นขุดเจาะ หรือระหว่างแท่นขุดเจาะที่ 1 ไปแท่นขุดเจาะที่ 2 ก็มีการสั่งต่อเรือตั้งแต่ปี 2566 และเข้างานตั้งแต่ต้นปี 2567 เรือ Crew Boat ลำใหม่เป็นเรือประเภท Hybrid Crew Boat ที่ใช้ระบบแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อนเหมือนรถ Hybrid ซึ่งเป็นกองเรือแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการรับรอง
จากการที่เรือเพิ่มมากขึ้น ทั้งเรือ AWB และเรือ Hybrid Crew Boat ที่ช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอน ทำให้ทั้งรายได้และกำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจ OSV ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ การนำเรือ Aframax มาดัดแปลงเป็นเรือ FSO ซึ่งจะเข้างานในปีนี้ ก็จะทำให้ธุรกิจ Offshore Support Vessel เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ธุรกิจสุดท้าย Ship Agent & Shipping หรือ SAS เป็นธุรกิจที่สนับสนุนการทำงานของกลุ่มพริมา มารีน ในเรื่องของการทำ Shipping, พิธีกรมศุลกากร, การนำเข้าส่งออกต่างๆ ธุรกิจนี้เติบโตอย่างชัดเจนเช่นเดียวกันจากปีที่ผ่านมา โดยรายได้เติบโตกว่า 28% และกำไรขั้นต้นเติบโตเกือบ 200% เพราะในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา บริษัทได้ทำการซื้อกิจการบริษัท VCC Shipping ซึ่งมีความเชี่ยวชาญอย่างสูงในการทำ Shipping Ship Agent เกี่ยวกับสินค้าที่เป็นปิโตรเคมี
เมื่อพริมาซื้อเข้ามา ก็สามารถบุ๊คกำไรได้ทันที สาเหตุหลักก็คือพริมาได้รับรู้รายได้และกำไรของ VCC Shipping ใน Q4 ปี 2567 และเชื่อมั่นว่าหากรับรู้กำไรเต็มปีในปี 2568 จะเห็นตัวเลขที่ดูดีขึ้น
ครบถ้วนทั้ง 5 ธุรกิจ ต่อไปจะเป็นเรื่องของงบการเงินรวม
มาดูที่งบกำไรขาดทุน ใน 2 ช่องขวาเลยนะครับ เพราะคำถามเข้ามาเยอะเหลือเกิน ในปี 2567 รายได้ 8,790 ล้านบาท ถ้าเปรียบเทียบกับปี 2566 ก็เพิ่มขึ้นมา 703 ล้านบาท มาดูกำไรขั้นต้น 3,202 ล้านบาท ถ้าเปรียบเทียบกับปี 2566 ก็เพิ่มขึ้นมา 366 ล้านบาท บรรทัดที่ 3 ดู Other Income ในปี 2567 คือ 183 ล้านบาท แต่ในปี 2566 คือ 478 ล้านบาท ลดลงไป 295 ล้านบาท จากที่ได้บอกไปว่ามีการขายเรือในปี 2566 ได้กำไรไป 312 ล้านบาท ก็เลยทำให้ตัวเลขในปี 2566 สูงกว่าในปี 2567
อีกบรรทัด จะเห็นว่าค่าใช้จ่ายในการบริหารเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย เพราะผลประกอบการมีการเติบโตขึ้น ส่วน Finance Cost ก็ใกล้เคียงกัน ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยน ในปี 2567 มีกำไร 22 ล้านบาท ปี 2566 ขาดทุนไป 15 ล้านบาท มาดูที่กำไรสุทธิ ในปี 2567 คือ 2,249 ล้านบาท ถ้าเปรียบเทียบกับปี 2566 ก็เพิ่มขึ้นมา 35 ล้านบาท
ต่อไปเป็นงบดุล สินทรัพย์ในสิ้นปี 2567 มีอยู่ 23,047 ล้านบาท สินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นมาจากการลงทุนขยายกองเรือ ส่วนหนี้สิน 11,316 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมา 2,639 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการมีเงินกู้จากสถาบันการเงิน ส่วนของผู้ถือหุ้น จะเห็นว่าลดลงไป 307 ล้านบาท อันนี้ลดจากการที่มีการจ่ายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืนในปีที่ผ่านมา
สำหรับผลการดำเนินงาน ต่อไปจะเป็นภาพรวมธุรกิจและแผนการลงทุน อันแรก ก็จะพูดถึงเรื่องของการปรับ Portfolio ของตัว FSU ในตารางด้านซ้ายมือ ปัจจุบัน FSU ของกลุ่มพริมา มารีน มี 5 ลำ ซึ่งมีลำหนึ่งที่ทำงานมาแล้ว 13 ปี และปัจจุบันอายุ 26 ปี ซึ่งเป็นเรือที่ค่อนข้างเก่ามาก เพราะกลุ่มพริมา มารีนใช้งานมาอย่างยาวนาน และเรือค่อนข้างเก่า ประกอบกับราคาเหล็กในตลาดโลกลดลงเรื่อยๆ จาก 500 กว่าเหรียญในปี 2567 เหลือประมาณ 400 กว่าเหรียญในปี 2568 ดังนั้น เรือที่ชื่อ Fortune Star ซึ่งให้บริการกับกลุ่มที่เป็น Oil Trader ของทาง UAE จึงตัดสินใจที่จะปลดระวาง เพราะหากยืดอายุการใช้งานต่อไป อาจจะทำให้การขายในภายหลังได้ราคาที่ลดลง กลุ่มพริมา มารีนจึงตัดสินใจที่จะปลดระวางเรือ FSU เพราะมีการซื้อเรือ FSU ลำใหม่เข้ามาในช่วงปลายปี โดยเรือที่ชื่อ Kidin Star จะเข้ามาทดแทนหลังจากที่เข้าซื้อมาในช่วงปลายปี 2567 และตอนนี้เข้าอู่อยู่ คาดว่าจะกลับมาเข้างานในเดือนพฤษภาคม ทำให้ภาพรวมของ FSU ในปี 2568 จะมี 5 ลำเท่ากับปี 2567 โดยเป็นการขายเรือเก่าและ Replace เรือเข้ามา ธุรกิจจึงจะไม่ลดลง เป็นแค่การ Replace
Project ต่างๆ ที่มีอยู่และสามารถ COD ได้แล้ว อันที่ 1 คือโครงการ FSO ปตท.สผ. ต้องการผู้ที่ทำหน้าที่เป็น Contractor ในการให้บริการในพื้นที่ของ G1 ซึ่งผู้ได้รับสัมปทานคือกลุ่ม Nova X พริมา มารีนได้รับสัญญาต่อจากกลุ่ม Nova X ในการให้บริการเรือ FSO ในพื้นที่นี้ ภายใต้สัญญา Bareboat 5+5 ปี เพื่อให้ Nova X เอาเรือลำนี้ไปให้บริการสผ.ต่อ ซึ่งเรือลำนี้เริ่มเข้างานแล้วตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของกลุ่มพริมา มารีนคือ เรือ Crew Boat ของพริมา มารีนเดิมให้บริการแค่ลูกค้าในไทย เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จในการให้บริการเรือ Crew Boat ที่เป็น Hybrid อีกกลุ่มหนึ่ง ตอนนี้พริมามี Hybrid Crew Boat 4 ลำแล้ว 2 ลำชื่อ Adnoc 05 และ 06 Adnoc คือชื่อลูกค้าเลย เพราะลูกค้าของเรือ 2 ลำนี้คือบริษัทน้ำมันแห่งชาติอาบูดาบี ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดใน UAE ให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา ภายใต้สัญญา 3+2 ปี สามารถยาวถึง 5 ปี
พริมา มารีนมีการสั่งต่อเรือ Crew Boat เพิ่มขึ้น 2 ลำ โดยลำที่ 1 รับมอบแล้ว และจะเริ่มให้บริการในอีก 2 วันข้างหน้า ชื่อ TMS Jana ซึ่งเป็น Crew Boat Series ที่ต่อตั้งแต่ปี 2567 และเริ่มเข้างานในช่วงปลายสัปดาห์นี้ โดยเป็นการเข้างานที่เป็น Pre-Commercial Testing ก่อน เพื่อทดสอบเรือก่อน แต่ก็จะมีรายได้อยู่ ซึ่งพอเข้างานในช่วง Pre-Commercial Testing เรียบร้อยแล้ว จะทำให้เรื่องของถ้าเรือโอเค ก็จะมีการทำสัญญายาวต่อไป
ช่วงปลายปีที่ผ่านมา มีการนำเรือโรงแรมลอยน้ำชื่อ นวธานี เข้าอู่ก่อน เพื่อปรับปรุงความพร้อมของเรือ และกลับเข้ามาให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา
ต่อมา เป็นเรือชุดต่อไป ที่มีการปรับ Portfolio ของ FSU มีการซื้อเรือมาตั้งแต่ปลายปี 2567 และนำไปเข้าอู่ในประเทศจีน ตอนนี้ก็อยู่ในอู่ และจะกลับมาเข้างานในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2568 จะเตรียมรับรู้รายได้ใน Q2 และเรือ VLCC มีการ Off Hire เพื่อไปทำ Dry Docking และกลับเข้าให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
สุดท้าย เรื่องของแผนการ Dry Docking ที่เกิดขึ้นในปี 2568 ในแต่ละไตรมาสจะมีเรือ Dry Docking ประมาณหนึ่งลำ แต่ก็น้อยกว่าปีที่ผ่านมา เพราะปี 2567 มีเรือที่ครบกำหนดการ Dry Docking ค่อนข้างเยอะ Q1 ปี 2568 จะมีเรือที่ต้องเข้าอู่ กลุ่ม PCT เรือขนส่งน้ำมัน 3 ลำ และเรือขนส่งเคมีเหลว 1 ลำ กลุ่ม COC เรือเทนกิเข้าอู่ตั้งแต่ช่วงธันวาคมที่ผ่านมา และออกจากอู่แล้วเข้าทำงานแล้วตั้งแต่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กลุ่ม FSU จะมี 2 ลำ ซึ่งไม่ได้เข้าอู่ แต่เป็นการซ่อมทำที่ทำมาเรื่อยๆ เพราะเรือใหญ่จะมีช่วงที่สามารถขออนุญาตในการซ่อมเรือค่อนข้างยาวนานประมาณ 1 ปี และกลุ่ม Offshore Support เรือนวธานีเข้าอู่ตั้งแต่ปลายปี 2567 และเข้าให้บริการกลับคืนที่เดิมแล้ววันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา Q2 จะลดลง จะมีเรือของตัว Oil Tanker 3 ลำ และเรือขนส่งเคมีทั้งหมด 2 ลำ จะมีต่อเนื่องของเรือ FSU 2 ลำ Q3 จะมี Oil Tanker 5 ลำ และจะมีกลุ่ม Offshore Support Vessel 2 ลำ Q4 ตอนนี้มีแพลนอยู่ที่ Chemical 1 ลำ และกลุ่มของเรือ COC 1 ลำ
ช่วงปลายปี Schedule ต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสมของสภาพเรือและความว่างของอู่
ภาพรวมของกองเรือต่างๆ ของกลุ่มพริมา มารีน ณ ปัจจุบัน กลุ่มของเรือขนส่ง PCT มีทั้งสิ้น 38 ลำ ประกอบด้วยเรือขนส่งน้ำมัน 29 ลำ และเรือขนส่งเคมี 9 ลำ เรือขนส่งน้ำมันดิบระหว่างประเทศ COC มี 3 ลำ FSU ปัจจุบันมี 6 ลำ โดย 1 ลำอยู่ในระหว่างการเข้าอู่เพื่อเตรียมพร้อมการเข้างานในเดือนพฤษภาคม และสลับกับเรือที่ถูกขายไป กลุ่ม Offshore Support Vessel ตอนนี้มีเรือถึง 3 ประเภท เรือโรงแรมลอยน้ำ หรือ AWB 2 ลำ เรือ Crew Boat มี 18 ลำ ในนี้เป็น Hybrid ถึง 4 ลำ และเรือ FSO 1 ลำ
ต่อไปคือช่วงคำถามคำตอบ
- เส้นทางหลักที่บริษัทใช้ขนส่งคือที่ไหน? ถ้าเส้นทางหลักจริงๆ ที่พริมา มารีนขนส่งทุกวันคือเป็นบ้านดอน เส้นทางก็จะเป็นแม่น้ำตาปี แต่ถ้าเป็นเรือระหว่างประเทศ เส้นทางหลักมีคำถามว่าผ่านคลองสุเอซไหม? ตอบว่าไม่ผ่านครับ เพราะเส้นทางของเรือขนส่งระหว่างประเทศจะขนส่งจากตะวันออกกลางมาเข้าโรงกลั่นที่ศรีราชา เส้นทางที่จะผ่านก็คือช่องแคบมะละกา ซึ่งไม่มีความเสี่ยงเท่ากับคลองสุเอซหรือทะเลแดง
- สัญญาในการให้บริการกับลูกค้ายาวนานแค่ไหน ราคาต่อสัญญาถูกกำหนดอย่างไร? ทางบริษัทฯ ยินดีอย่างยิ่งที่จะให้ท่านนักลงทุนต่างๆ เข้ามาเยี่ยมชมกิจการ หรือเป็นเรื่องของ Company Visit สามารถติดต่อได้ทาง IR เรื่องของสัญญายาวแค่ไหน ในกลุ่มของ PCT เรือขนส่งน้ำมันและเคมีเหลวในประเทศ ถ้าเป็นเรือน้ำมันจะมีสัญญาที่เรียกว่า Evergreen สัญญาวิ่งได้เรื่อยๆ ตราบใดที่เรือสามารถตรวจผ่านเงื่อนไขของลูกค้า ถ้าตรวจเรือผ่านก็ยังสามารถให้บริการกับต่อไปได้เรื่อยๆ แม้ว่าเรือจะมีอายุค่อนข้างมาก เช่นบางลำอายุ 30 กว่าปีก็ยังให้บริการได้ถ้าตรวจเรือผ่าน ส่วนสัญญาของกลุ่มของเรือขนส่งเคมีเหลว ส่วนมากจะเป็นลูกค้าต่างประเทศ เช่นกลุ่มปิโตรนาส สัญญาจะเป็นสัญญา Time Charter ประมาณ 2 ปีต่อ 1 รอบ พริมา มารีนเริ่มให้บริการปี 2564 และต่อสัญญามาแล้ว 2 รอบ ส่วนของกลุ่ม FSU สัญญาประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี และกลุ่ม Offshore Support Vessel สัญญาค่อนข้างยาว 3-5 ปีขั้นต่ำ
- สถานการณ์ Supply เรือบรรทุกน้ำมันเป็นอย่างไร คู่แข่งขยายกองเรืออย่างไร? Supply เรือน้ำมันในประเทศค่อนข้างที่จะตึงตัวนิดนึง เพราะเรือต้องบอกว่าการต่อใหม่ต้องใช้เวลานาน 18 เดือนขั้นต่ำ การที่จะเพิ่มเรือมี 2 ทางคือซื้อเรือมือ 2 กับต่อเรือ แต่การซื้อเรือมือ 2 ในประเทศค่อนข้างลำบาก เพราะการขนส่งลงภาคใต้ต้องเข้าทางแม่น้ำ จึงต้องเป็นเรือท้องแบน การหาเรือมือ 2 ที่สอดคล้องกับสภาพเรือท้องแบนจึงลำบาก ส่วนมากจะเป็นการต่อเรือใหม่ และเรือขนส่งระหว่างประเทศ Supply เรือตึงตัวแน่ เพราะเรือปัจจุบันอยู่ในช่วงที่ค่าเฟรทเรทสูง เจ้าของเรือพยายามที่จะวิ่งเรือก่อน ชะลอการขายลง เรือที่จะเปิดขายมีน้อยมากในตลาด เรือขนส่งระหว่างประเทศก็มี Supply ที่ช็อตเหมือนกัน
- อายุเฉลี่ยของกองเรือเป็นเท่าไร? ทั้งกองเรือทั้งฟลีท เฉลี่ยประมาณ 15.5 ปี แต่ละกองเรือ เรือกลุ่ม PCT มีอายุเฉลี่ยประมาณ 17.3 ปี ถือว่าเป็นเรือที่กองเรือที่ค่อนข้างใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในประเทศไทย เรือกลุ่ม COC อายุเฉลี่ย 17 ปี กลุ่ม FSU เป็นเรือเก่าๆ มือสองที่เอามาดัดแปลง อายุจะเยอะขึ้นหน่อย เฉลี่ยประมาณ 24 ปี กลุ่ม Offshore Support Vessel เป็นกองเรืออายุที่น้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในประเทศ เรือของ AWB 13 ปี Crew Boat แค่ 8.6 ปี และ FSO 20 ปี
- เรือจะถูกปลดระวางเมื่อไหร่? ถ้าเป็นเรือวิ่งระหว่างประเทศจะถูกปลดระวางเมื่ออายุประมาณ 20 ปี และเรือ FSU อายุจะใช้ได้ 25-26 ปี และถ้าเรือในประเทศ ถ้าสามารถผ่านเกณฑ์เงื่อนไขของการตรวจของลูกค้า และผ่านเกณฑ์เงื่อนไขการตรวจของเจ้าท่า ก็สามารถวิ่งได้เรื่อยๆ
- แรงค์ของ VLCC ทั้ง 3 ลำ เป็นรายได้หลักของบริษัทหรือไม่? ไม่ใช่รายได้หลัก เพราะรายได้หลักของกลุ่มพริมา มารีน อันดับ 1 คือธุรกิจขนส่ง PCT สัดส่วนรายได้ ณ ปี 2567 ประมาณ 41% และสัดส่วนรายได้ที่ 2 คือ FSU สัดส่วนรายได้ ณ สิ้นปี 2567 ประมาณ 28% ส่วนกลุ่ม COC จะเป็นสัดส่วนรายได้กลุ่มที่ 3 คือประมาณ 18.9%
- ผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมมีใครบ้าง? พริมา มารีนเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ตอนนี้ขนส่งในประเทศน่าจะอยู่อันดับ 1
- ความผันผวนของกองเรือเป็นอย่างไร? พริมา มารีนเกือบทุกธุรกิจไม่ได้อ้างอิงราคาค่าขนส่งในตลาดโลก แต่เป็นค่าขนส่งที่เจรจาต่อรองกับลูกค้าเป็นรายๆ ไป จะแทบจะไม่มีความผันผวนเรื่องของอัตราค่าระวางเรือกับบริษัทฯ ในกลุ่มของ PCT ใช้สัญญาที่เป็น Cost Plus สัญญาจะอ้างอิงตามราคาน้ำมันเติมเรือ จึงไม่ได้อ้างอิงราคาใดๆ ในตลาดโลก กลุ่ม COC เป็นสัญญา Time Charter ที่ทำเฉพาะกับลูกค้า คือกลุ่ม Thaioil ซึ่งตัวของสัญญาจะไม่แปรผันตามราคาค่าขนส่งในตลาดโลก กลุ่ม FSU เป็นการเจรจากับลูกค้าแต่ละราย ไม่ได้ใช้ Index ต่างๆ ในการคำนวณ กลุ่ม Offshore Support Vessel จะเป็นการเจรจากับลูกค้าเป็นรายๆ เหมือนกัน
ถ้าหากผลประกอบการดีขึ้น จะมีการพิจารณาปันผลเพิ่มขึ้นด้วย
เรือเข้าอู่ Q1 ปี 2568 เข้า 6 ลำแล้ว กระทบหรือไม่? ถ้าเรือเข้าอู่จะไม่นับเป็น Utilization Rate Utilization Rate จะกลายเป็น 0 ในช่วงนั้น
แนวโน้มผลประกอบการ Q1 ปี 2568 เป็นอย่างไร? ดูมีผลดีขึ้น จากสาเหตุที่ Q4 ปีที่ผ่านมามีเรือเข้าอู่ค่อนข้างเยอะ และเรือ Offshore นวธานีกลับมาประจำการแล้ว เรือเทรดต่างประเทศก็ครบใน Q1 และยังมีเรือในประเทศที่ขนส่งน้ำมันค่อนข้าง Full Utilization คาดว่า Q1 จะเทียบแล้วน่าจะดีกว่า Q4 ที่ผ่านมา และน่าจะดีกว่าของปีที่แล้ว
เป้าหมายการเติบโตปีนี้? ยังคงวางเป้าเติบโต เพราะมีเรือใหม่ๆ ที่เข้ามา คือกลุ่ม FSO และมีเรือ Crew Boat ที่เพิ่มเข้ามา พร้อมกับเรือเดิมที่ปีที่ผ่านมามีการเข้าอู่กลับเข้ามาทำงานหมดแล้ว ยังคงวางเป้าหมายเติบโตรายได้ 8-10% จากปี 2567 จากเรื่องของเรือกลุ่ม Offshore Support Vessel เป็นหลัก โดยยังคงวางแผนการลงทุนเพิ่มเติมในช่วงประมาณ Q2 Q3 เป็นต้นไป
ต้นทุนเรือ คิรินตา? สามารถอ้างอิงได้จากราคาเหล็กในช่วงนั้นตามกราฟที่ได้โชว์ให้ดู ราคาค่อนข้างใกล้เคียงกับกราฟที่โชว์ให้ดู
การขนส่ง LPG ยังไม่สนใจ เพราะพริมา มารีน ยังคงมุ่งเน้นในเรื่องของตัวน้ำมันและปิโตรเคมีเหลว โดยที่ธุรกิจที่ยังสนใจมากๆ คือกลุ่มการขนส่งปิโตรเคมีเหลว เพราะโรงกลั่นในภูมิภาคเอเชีย ยังเป็นโรงกลั่นที่ขยายกำลังการผลิต ในแต่ละประเทศ เช่น ปิโตรนาส มีโครงการ Rapid ที่ขยายกำลังการผลิตโรงกลั่น ซึ่งจะทำให้ Output ของเขาออกมาค่อนข้างเยอะขึ้น จะมีการเทรดเยอะขึ้น และกลุ่ม Offshore Support Vessel เพราะความต้องการเรือกลุ่มนี้ในอ่าวไทยมีค่อนข้างสูง ทั้งเรื่องของการที่ผู้เล่นรายใหม่ที่ได้รับสัมปทานรายใหม่ ต้องเข้าพื้นที่เข้าไปลงทุน รวมถึงงานเรื่องของกลุ่ม Decommissioning หรือผู้รับสัมปทานรายเดิมที่ต้องถอนตัวไปที่ต้องมีการเก็บงานเก่าให้เรียบร้อย Demand ยังสูงอยู่
ระยะเวลาการต่อเรือ? ถ้าเรือขนส่งขนาดเล็กประมาณ 18 เดือน เรือขนาดใหญ่พริมา มารีนซื้อมือ 2 เรือ Crew Boat ประมาณ 8 เดือนถึง 1 ปี เรือกลุ่ม AWB ประมาณ 2 ปี
งบลงทุนเท่าไหร่ ทำอะไรบ้าง? ปี 2568 งบลงทุนประมาณ 2-3 พันล้านบาท จะมี 2 กลุ่ม กลุ่มเรือขนส่งปิโตรเคมีเหลว กับกลุ่มของ Offshore Support Vessel ถ้ามีความชัดเจนมากขึ้นจะชี้แจงผลการดำเนินงานเพิ่มเติม เพราะถ้าเปิดทุกอย่าง Supplier เรือจะมีการรู้ข้อมูลมากเกินไป แต่ยังคงมุ่งเน้นใน 2 กลุ่มนี้ เรื่องของขนส่งเคมีเหลวกับ Offshore Support Vessel เพราะเชื่อว่ายังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3-5 ปีต่อจากนี้
โดยสรุป, พริมา มารีนมีการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สำคัญเพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการขยายธุรกิจที่มีศักยภาพและลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง แม้ว่าจะมีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบ แต่บริษัทฯ ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะรักษาและเพิ่มศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น และสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) [เริ่มใน นาทีที่ 44:20]
หัวข้อ: ประเภทของสินค้าที่ขนส่ง
- คำถาม: นอกจากน้ำมันแล้วมีการขนส่งประเภทอื่นอีกหรือไม่?
- คำตอบ: มีการขนส่งก๊าซ LPG ในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ไม่ใช่รายได้หลักของบริษัท
หัวข้อ: โอกาสในการลงทุนในอนาคต
- คำถาม: มีแผนที่จะลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนหรือไม่?
- คำตอบ: อยู่ในแผนงานระยะยาว แต่ปัจจุบันยังเน้นธุรกิจหลักก่อน
หัวข้อ: การจัดการต้นทุน
- คำถาม: มีวิธีการจัดการกับความผันผวนของราคาน้ำมันอย่างไร?
- คำตอบ: ใช้สัญญา Cost Plus และมีการทำ Hedging เพื่อลดผลกระทบ
หัวข้อ: ผลกระทบจากกฎระเบียบใหม่
- คำถาม: กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมใหม่มีผลกระทบต่อต้นทุนอย่างไร?
- คำตอบ: มีผลกระทบบ้าง แต่บริษัทฯ มีการปรับตัวและใช้เทคโนโลยีเพื่อลดผลกระทบ
หัวข้อ: ความเสี่ยงด้านการแข่งขัน
- คำถาม: มีการประเมินความเสี่ยงจากการแข่งขันในตลาดอย่างไร?
- คำตอบ: มีการติดตามและประเมินอย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
หัวข้อ: เป้าหมายการเติบโตในระยะยาว
- คำถาม: มีเป้าหมายการเติบโตในระยะยาวอย่างไร?
- คำตอบ: ต้องการเป็นผู้นำในธุรกิจขนส่งทางทะเล และขยายไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
หัวข้อ: นโยบายการจ่ายปันผล
- คำถาม: มีนโยบายการจ่ายปันผลที่ชัดเจนหรือไม่?
- คำตอบ: มีนโยบายที่ชัดเจน และจะพยายามรักษาอัตราการจ่ายปันผลให้สม่ำเสมอ
หัวข้อ: การบริหารความเสี่ยง
- คำถาม: มีการบริหารความเสี่ยงด้านต่างๆ อย่างไร?
- คำตอบ: มีการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และมีการทำประกันภัยเพื่อลดความเสี่ยง
หัวข้อ: การใช้เทคโนโลยี
- คำถาม: มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดำเนินงานอย่างไร?
- คำตอบ: มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนในการดำเนินงาน
หัวข้อ: ตลาดต่างประเทศ
- คำถาม: มีแผนที่จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศหรือไม่?
- คำตอบ: มีแผนที่จะขยายไปยังตลาดที่มีศักยภาพ แต่ยังเน้นตลาดในประเทศก่อน