สรุป OPPDAY หุ้น KTC
Oppday
สรุป OPPDAY
โอเคค่ะ เริ่มกันเลยนะคะ
KTC เผยกลยุทธ์Q3/2566: โตอย่างยั่งยืนด้วยดิจิทัล, AI และใส่ใจสังคม
สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้ KTC จะมาสรุปผลประกอบการและแนวโน้มธุรกิจในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงแผนงานสำหรับปีหน้าค่ะ งบการเงินของ KTC ได้เผยแพร่ออกมาแล้ว ทั้งในส่วนของรีวิวและพรีลิมที่ออกไปเมื่อเดือนที่แล้ว
ตอนนี้ก็ใกล้สิ้นปีแล้ว เหลือเวลาอีกเพียงเดือนกว่าๆ เท่านั้น เราจะมาพูดคุยถึงผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา และเจาะลึกถึงแผนการดำเนินงานของ KTC ในปี 2567 ที่กำลังจะมาถึงนี้
ภาพรวมผู้บริหารที่เข้าร่วม
ผู้บริหารที่เข้าร่วมในการสรุปผลประกอบการครั้งนี้:
คุณพิทยา CEO ของ KTC คุณ CFO ผู้ดูแลธุรกิจหลัก:
- คุณปรัณยา (บัตรเครดิต)
- คุณพิชามน (สินเชื่อส่วนบุคคล)
ภาพรวมผลกระทบต่อธุรกิจ (Business Impact Overview)
โครงสร้างผู้ถือหุ้น: ยังคงเหมือนเดิม KTB ยังถือหุ้น 49% ผู้ถือหุ้นรายย่อยประมาณ 40,000 ราย
ธุรกิจหลัก: ยังคงเป็นบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิตมีสัดส่วน 65% ของพอร์ต
กฎเกณฑ์จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.): ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพดานดอกเบี้ยยังคงเดิม (บัตรเครดิต 16%, สินเชื่อส่วนบุคคล 25%, Auto Title Loan 23%)
Minimum Payment: ยังต้องรอประกาศจาก ธปท. ว่าจะต่ออายุ 8% หรือปรับเป็น 10% เนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
โครงการปิดหนี้ไวไปต่อได้: KTC เข้าร่วมโครงการนี้ เนื่องจากเป็นบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ โครงการนี้ช่วยเหลือลูกหนี้ NPL ที่มีหนี้รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท KTC ยังไม่สามารถบอกผลกระทบได้ ต้องรวบรวม Name List ก่อน
ผลประกอบการ 9 เดือน: แม้เศรษฐกิจไม่ดีนัก แต่ KTC ยังสามารถโตได้เล็กน้อย (Net Profit โต 2.8%, Credit Card Spending 3.8%) พอร์ตใกล้เคียงเดิม Personal Loan โต 3%
คุณภาพพอร์ต: ควบคุมคุณภาพได้ดี NPL รวม KTB อยู่ที่ 1.85% หากแยก KTC อย่างเดียวอยู่ที่ 1.57% Coverage Ratio สูง (รวม 426%, แยก 470%)
Cost to Income Ratio: ใกล้เคียงเดิมที่ 35% แต่ปีหน้าอาจสูงขึ้นเนื่องจาก Implement Core System ใหม่ คาดว่าจะอยู่ที่ 36-38%
Expected Credit Loss: ยังอยู่ใน Range ที่ 5-6% Allowance เทียบกับพอร์ตอยู่ที่ 7-8%
โอกาสทางธุรกิจ (Business Opportunities)
Cost of Fund: ปีหน้าจะลดลงกว่า 2.9% เนื่องจาก Bond เดิมที่จะครบกำหนดมี Cost ที่สูงกว่า Bond ที่จะออกใหม่
NIM: คาดว่าจะดีขึ้นหาก Cost of Fund ลดลง
ความเสี่ยงที่กำลังเผชิญ (Risks and Challenges)
Expected Credit Loss: ยังอยู่ใน Range ที่ 5-6% Allowance เทียบกับพอร์ตอยู่ที่ 7-8%
การเติบโต: เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนอาจทำให้การเติบโตไม่เป็นไปตามเป้า
วิธีการแก้ไขปัญหาผลกระทบ (Problem-Solving and Mitigation)
โครงการปิดหนี้ไวไปต่อได้: KTC จะเข้าร่วมโครงการนี้และช่วยเหลือลูกหนี้ตามเกณฑ์ที่กำหนด
การควบคุมคุณภาพพอร์ต: ยังคงให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพพอร์ตอย่างเข้มงวด
การลดต้นทุน: ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อลดต้นทุน
การหาแหล่งรายได้ใหม่: ขยายธุรกิจไปยัง Insurance Brokerage และ Collaboration กับพันธมิตรต่างๆ
แนวโน้มและอนาคต (Outlook and Future Trends)
เป้าหมายปี 2567:
Credit Card Spending Growth 5% (อาจเหนื่อย เพราะเศรษฐกิจต่ำกว่าปี 2566) Personal Loan Growth 2% (ตอนนี้โต 1.8% ก็เหนื่อยเหมือนกัน) กลยุทธ์:
สร้าง Strength ในหลายรูปแบบ ใช้ Core System ใหม่เพื่อ Improve Portfolio Quality, Service Excellence, Usage Growth และ Saving ขยายธุรกิจ Insurance Brokerage และ Collaboration กับกรุงไทย Leverage Digital และ AI พัฒนา App ให้ดีขึ้น Insurance Brokerage: ได้ License แล้ว Soft Launch แล้ว จะสร้าง Fee Income, Boost Spending และขยายฐานลูกค้า KTC แข็งแกร่งในเรื่อง Spending ของบัตรเครดิตที่ใช้กับประกัน เรามี Relationship กับ Insurer หลายราย
KTC จะ Collaborate กับกรุงไทย มากขึ้นในหลาย Segment และ Focus ที่ Government Officer
ช่วงถาม-ตอบ (Q&A Session) เริ่มต้นในนาทีที่ 41:19
ธุรกิจประกันมีจุดเด่นกับตลาดอย่างไร
บี: ธุรกิจประกันเป็นเรื่องใหม่ของ KTC แต่เราเชื่อมั่นใน Portfolio ลูกค้าที่มีคุณภาพและ Active สูง เรา Work ใกล้ชิดกับ Partner ทั้ง Life และ Non-Life เรามี Connection ที่ดีและแลกเปลี่ยนกันได้
เราพัฒนา Digital และเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า เรามี Data และ Design ผลิตภัณฑ์ได้ตรงใจลูกค้าเป้าหมาย เราได้ License นายหน้ามา จะทำให้เราสื่อสารกับลูกค้าได้ลึกซึ้งมากขึ้น
ประกันเป็นพอร์ตใหญ่ของ Credit Card Total อยู่ประมาณ 10 กว่า % เป็นพอร์ตที่มีการใช้จ่ายสูง เราสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้มากขึ้น ในอดีตทำได้แค่บอกว่ามีโปรโมชั่น แต่หลังจากนี้เราเปรียบเทียบได้ เราทำ End-to-End ประกัน Journey ได้
ปัจจุบันเราได้ General License เราคิดว่าถ้าต่อยอดเป็น Digital License ในปีหน้า เราจะทำได้มากขึ้นโดยใช้ Technology และ AI ทำให้ Journey Seamless ขึ้น
ทำไมตั้งเป้าเติบโตค่อนข้างน้อยในปี 2567
พี่ฮั้ว: การตั้งเป้าไม่ได้เกี่ยวกับการจ่ายปันผล เราอยากตั้งเป้าที่เป็นไปได้ แม้ตั้งเป้าแค่ 5% แต่ภายในเรามีเป้าที่เข้มข้นกว่า การเติบโตของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจและ Portfolio เดิมของเรา ลูกค้าเรา Active อยู่แล้ว เราไม่กังวลว่าลูกค้าจะหยุดใช้
การเติบโตส่วนหนึ่งมาจากลูกค้าใหม่ การหาลูกค้าใหม่ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ที่ยังไม่ชัดเจนและมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้เรายังมองเห็นว่าการตั้งเป้าที่ใกล้ความ เป็น ไป ได้ อย่างปีนี้ตั้งเป้า 10% เราน่าจะจบได้ประมาณ 4% ก็เสียใจ แต่เป็นเรื่องดีที่ลูกค้ายังมีความสามารถในการใช้จ่าย
เราเห็นด้วยในเรื่องการระมัดระวัง เราไม่ควรออกมาและประโคมให้เขาใช้เยอะๆ ไม่ใช่วิสัยของเรา เราควรมีความรับผิดชอบต่อธุรกิจและสังคม เราพยายามตั้งเป้าแบบที่มันเป็นไปได้ และคอยปรับตามสถานการณ์ ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้น เราก็จะ Aggressive มากขึ้นในแง่ของการทำกิจกรรมการตลาด
ปีนี้เรายังสามารถดูแลในเรื่องของกำไรและค่าใช้จ่าย เพราะเรามีการปรับตัวตลอดเวลา เราลงไปดูในรายละเอียดของการใช้จ่าย ลงไปดูว่าตรงไหนที่ใช้แล้วได้ผลจริงหรือไม่ เพราะการที่จะหวาดเงินไปโดยที่ อย่างเช่นเรื่องของการตลาด การรับลูกค้าใหม่เข้ามา มันเป็นค่าใช้จ่ายที่เยอะมาก แต่มันแปรผัน ถ้าเราได้ลูกค้าเข้ามามันแปรผันแต่บางส่วนมันไม่แปรผัน
ต้นทุนต่อหัวที่เราจ่ายให้เซลล์ถ้าไม่ Appprove เราไม่จ่าย แต่การลงโฆษณาถ้าลงไปแล้วได้ลูกค้ากลับมาไม่คุ้ม เราก็คงไม่อยากทำ การทำกระบวนการทำงานของเราให้สั้นลง ลด Cost ของพนักงาน OT น้อยลง ลดการสกรีนด้วยสายตาทิ้งไปและใช้ระบบและ AI จะช่วยให้เราสกรีนง่ายขึ้น
การตั้งเป้า 5% ในปีหน้าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะ Achieve ได้ถ้าเศรษฐกิจยังเป็นแบบนี้ แต่ไม่ต้องห่วงถ้าเศรษฐกิจ Pick Up เราพร้อมเสมอทั้งระบบทั้งคนที่จะสนับสนุน
โดยสรุป
KTC ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันจะยังมีความท้าทาย แต่ KTC ก็ยังคงมองหาโอกาสใหม่ๆ และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป