สรุปงบล่าสุด KTC
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
สรุปงบการเงิน
ไตรมาสที่ 2 ปี 2567
สรุปสั้น
กำไรสุทธิ 1,826 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1% จากปีที่แล้ว แต่กำไรครึ่งปีแรกอยู่ที่ 3,629 ล้านบาท ลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับปี 2566 สาเหตุหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคต่ำลง โดยเฉพาะพอร์ตบัตรเครดิตที่ไม่เติบโตมาก
เงินให้สินเชื่อรวม 98,278 ล้านบาท โดยมีหนี้สินรวม 61,965 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้น 28% และระยะยาว 72% อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E Ratio) ลดลงเหลือ 1.97 เท่า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการบริหารหนี้สินที่ดีขึ้น
โอกาส ความเสี่ยง และภาวะเศรษฐกิจ: KTC มีการตั้งเป้าหมายการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อและการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในครึ่งปีแรก แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แข็งแกร่งทำให้มีความเสี่ยงในการขยายตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทมีคุณภาพพอร์ตสินเชื่อที่ดีและบริหารจัดการผลขาดทุนด้านเครดิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นโอกาสในการเติบโตและการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะกับนักลงทุนที่ต้องการหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งและผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง
สรุปด้วย AI(O) BOT
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC มีผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2567 ที่น่าสนใจ โดยมีกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ 1,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้รวมเติบโต 8.7% จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและหนี้สูญได้รับคืน อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 12.8% ส่วนหนึ่งเกิดจากค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณธุรกรรมที่ขยายตัว
คุณภาพสินทรัพย์ของ KTC อยู่ในระดับที่ดี โดยมี NPL รวมอยู่ที่ 1.97% ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน และ Coverage Ratio อยู่ที่ 363.3% สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเงินสำรอง อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวมของงบการเงินเฉพาะกิจการอยู่ที่ 1.68% ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 1.78% โดยมีค่าเผื่อผลขาดทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 6,928 ล้านบาท คิดเป็นอัตราค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อ NPL เท่ากับ 402.7% ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนที่อยู่ที่ 472.4% สำหรับ NPL Coverage Ratio ของงบการเงินเฉพาะกิจการและกลุ่มบริษัทในไตรมาส 2 ปี 2567 มีค่าเท่ากันกับไตรมาสหนึ่งปี 2567 ที่ผ่านมา โดยมีค่าที่ 6.3% และ 6.4% ตามลำดับ
ค่าใช้จ่ายรวมของ KTC ในไตรมาส 2 ปี 2567 อยู่ที่ 4,497 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่เกิดจากค่าธรรมเนียมจ่ายและค่าบริการที่สูงขึ้นตามจำนวนรายการธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายทางด้านไอที ทำให้ Cost to Income Ratio อยู่ที่ 34.8% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปี 2566 ที่อยู่ที่ 34.2% ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 1,690 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.5% จากการตั้งสำรองตามคุณภาพของลูกหนี้ที่เปลี่ยนแปลงไป ผลของการตัดหนี้สูญที่เร็วขึ้นในปีนี้ รวมถึงมีการตั้งสำรองส่วนเพิ่มตามหลักความระมัดระวัง เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ต้นทุนทางการเงิน 448 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% จากอัตราดอกเบี้ยของตลาดการเงินที่ปรับสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
แผนธุรกิจในอนาคตของ KTC เน้นการสร้างมูลค่ากำไรสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรักษาคุณภาพพอร์ตให้ NPL ไม่เกินเป้าหมายที่กำหนดไว้ กลยุทธ์ที่สำคัญคือการสร้างฐานลูกค้าบัตรเครดิตในกลุ่มที่มีรายได้สูงขึ้น การคัดกรองคุณภาพพอร์ตทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ตลอดจนการปรับเพิ่มช่องทางการรับสมัครผ่านการเปิดจุดบริการรับสมัคร “KTC พี่เปิ้ม รถแลกเงิน” ในพื้นที่ใกล้กลุ่มเป้าหมาย เพื่อต่อยอดสร้างฐานรายได้ในอนาคต KTC มองว่าเศรษฐกิจไทยปี 2567-2568 จะขยายตัว 2.6% และ 3.0% ตามลำดับ โดยได้รับแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ แต่ยังมีความไม่แน่นอนจากภาคการส่งออกและการผลิต
โดยสรุป KTC มีผลประกอบการที่ดีในไตรมาส 2 ปี 2567 แม้จะมีความท้าทายจากเศรษฐกิจที่ยังคงมีความไม่แน่นอน P/E ล่าสุดอยู่ที่ 14.18, P/BV อยู่ที่ 2.73, YIELD อยู่ที่ 3.19 และราคาหุ้นในช่วง 52 สัปดาห์ สูงสุด/ต่ำสุด อยู่ที่ 77.72/33.83 ราคาล่าสุด อยู่ที่ 43.78 บาท KTC เป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง มีผลประกอบการที่เติบโตและมีความสามารถในการชำระหนี้สูง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อรอการเติบโตของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เนื่องจากความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกและภายในประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจของ KTC ได้
(0.27%)
(8.68%)
(0.24%)
(4.54%)
(0.50%)
(3.80%)
(1.50%)
(11.38%)
(1.29%)
(1.13%)